วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 451: แทรกแซงภายใน
ฉีฉีไม่มีทางเข้าใจเซี่ยอันน่า เซี่ยอันน่าก็ไม่คิดอยากให้ฉีฉีเข้าใจเรื่องราวเลวร้ายเหล่านี้เช่นกัน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
ได้ยินเสียงใครบางคนเคาะประตู เซี่ยอันน่าจึงหันไปพูด “เข้ามา”
คุณยายฉางเดินเข้ามาพร้อมกับแก้วน้ำผลไม้ ยิ้มแล้วพูดว่า “สาวๆ มาดื่มน้ำผมไม้สักหน่อยเถอะ”
“ขอบคุณค่ะคุณยาย”
คุณยายฉางวางแก้วน้ำผลไม้ลง สังเกตไปที่ฉีฉี แล้วเอ่ยถาม “หนูเป็นเพื่อนที่โรงเรียนอันน่าหรือจ๊ะ?”
“ค่ะ เราเป็นรูมเมทกันค่ะ”
“เฮ้อ มองดูพวกหนูแล้วช่างสวยกันจริงๆเลย”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉีฉีก็จับที่ท้ายทอยตัวเอง พลางยิ้มอย่างซื่อๆ
คุณยายฉางเอื้อมมือไปจับมือของฉีฉี แล้วพูดว่า “ถ้าหนูไม่ว่าอะไรก็มาอยู่เป็นเพื่อนอันน่าสิ ที่นี่เหงามาก พวกคุณจะได้อ่านหนังสือด้วยกัน ที่นี่อาจเป็นที่เฉพาะหน่อย แต่ก็มีคนขับรถไปรับไปส่งหนูได้”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ใบหน้าของฉีฉีก็เต็มไปด้วยความสุข
เธอไม่เคยเสพสุขกับสภาพแวดล้อมดีขนาดนี้มาก่อน ถ้ามีประสบการณ์ได้สัมผัสสักครั้งต้องมีความสุขมากแน่ๆ
แต่ในฐานะเพื่อนของเซี่ยอันน่า ฉีฉีต้องแสดงศักดิ์ศรีสักเล็กน้อย อย่าปล่อยให้คนอื่นถูกดูเซี่ยอันน่าได้
ดังนั้น ฉีฉีจึงกล่าวอย่างสุภาพ “เอ่อ แล้วหมายความว่ายังไงคะ”
“ถ้าไม่ว่าอะไร หนูมาอยู่เป็นเพื่อนอันน่าได้ไหม เธอจะได้มีความสุขขึ้นมาหน่อย แบบนี้อาการป่วยจะได้ดีขึ้นเร็วๆ อันน่าหนูว่าไงจ๊ะ?”
เซี่ยอันน่าคิดว่า เมื่ออาการป่วยดีขึ้น เสี่ยวอวี้หลินอาจไม่มีข้ออ้างที่จะเก็บเธอไว้ จึงพูดชักชวน “ฉีฉี ถ้าแกมีเวลาว่าง ก็มาทบทวนด้วยกันก็ได้ เค้กที่นี่อร่อยมากเลยนะ”
ฉีฉีถูกล่อลวง เมื่อได้ยินว่ามีของกินอร่อยๆ ก็รีบพยักหน้าโดยเร็ว ยิ้มแล้วพูดว่า “ได้ๆๆ สภาพแวดล้อมที่นี่ดีกว่าห้องสมุดมาก ไม่ได้ไปจับจ้องที่นั่งก่อน”
เมื่อเห็นว่าฉีฉีรับปาก คุณยายฉางจึงรีบพูด “งั้นก็ดี พรุ่งนี้เราจะให้คนขับรถไปรับหนูนะ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูนั่งรถบัสมาเองได้”
“เดินจากที่นี่ไปป้ายรถเมล์ไกลมาก ไม่ค่อยสะดวก ในเมื่อหนูจะมาอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนอันน่า เราจะไม่ทำให้หนูลำบาก เพียงแค่หนูเตรียมตัวตามที่ยายบอก”
“งั้น ก็ได้ค่ะ”
……
จากการเชิญชวนของคุณยายฉาง ฉีฉีก็กลายเป็นแขกที่เข้ามาเยี่ยมชมในคฤหาสน์หลังนี้
ทั้งสองใช้ที่นี่เป็นห้องเรียน อ่านหนังสือ เรียน กินขนม พูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระ ดูเหมือนว่าการใช้ชีวิตก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก
แต่ทางด้านเซี่ยอันน่า มีความกลัดกลุ่มใจที่แน่นหนาเกินกว่าจะปล่อยวางได้
ขณะที่กำลังอ่านหนังสือเซี่ยอันน่าก็หันออกไปมองนอกหน้าต่าง และเริ่มเหม่อลอยอีกครั้ง
ฉีฉีคาบปากกาไว้ในปาก จ้องมองไปที่เซี่ยอันน่า
หลังจากนั้นไม่นาน เซี่ยอันน่าก็ได้สติกลับมา บังเอิญประสบเข้ากับสายตาของฉีฉีพอดี
เซี่ยอันน่าชะงักไป แล้วก็ยิ้ม “แกมองอะไร มีบทเรียนอยู่บนหน้าฉันหรือไง?”
ฉีฉีขมวดคิ้ว ใบหน้างงงวย “อันน่า ทำไมแกดูไม่มีความสุขเลย?”
เธอกระพริบตา เซี่ยอันน่าพลิกหน้ากระดาษพร้อมกับพูดว่า “ใกล้จะสอบแล้วฉันยังทบทวนไม่เสร็จเลย แน่นอนว่าก็ต้องไม่มีความสุขอยู่แล้ว”
ฉีฉีโน้มตัวไปข้างหน้า จนใบหน้าของเธอเกือบจะชนเข้ากับใบหน้าของเซี่ยอันน่า พูดขึ้นอย่างจริงจัง “ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้ ฉันรับรู้ได้ถึงความเศร้าในแววตาแก กับความกังวลเรื่องเรียนมันไม่เหมือนกัน”
เซี่ยอันน่ายื่นมือออกไปผลักหน้าผากของฉีฉี แล้วถอยกลับมา “ฉันไม่เป็นรู้สึกเลย แกเป็นผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์เรื่องความรู้สึกรึไง?”
“สัญชาตญาณของฉันแม่นยำมาก อันน่าบอกฉันมาแกกำลังคิดอะไรอยู่”
เซี่ยอันน่าลู่ตาลง พูดขึ้นน้ำเสียงราบเรียบ “ฉันกำลังคิดว่า จะทำอย่างไรให้รักษาระยะห่างจากเสี่ยวอวี้หลินได้”
“พวกเธอสองคนเป็น…”
ฉีฉียังพูดไม่ทันจบ ก็ได้รับการเตือนจากสายตาของเซี่ยอันน่า
จึงกลืนคำพูดหลังจากนั้นไป และเปลี่ยนคำพูด “เอ่อ ฉันหมายถึงพวกเธอเป็นคนโสดด้วยกันทั้งคู่ ถ้าลองคบๆกันดู จะมีปัญหาอะไรไหม?”
“ใครบอกว่าคนโสด ต้องลองคบกันดู? เขากับฉันอยู่กันคนละโลกมาตั้งแต่แรก จะดีกว่าไหมถ้าไม่ต้องทำให้มันยุ่งยาก”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ฉีฉีพูดไม่ออก
“อันน่าแกมาจากยุคโบราณในศตวรรษไหน ทำไมในหัวมีความคิดคร่ำครึแบบนี้? ถ้าชอบก็ต้องกล้าที่จะไล่ตามมัน ความสุขของตัวเอง ตัวเองไม่สู้ คิดจะให้คนอื่นมอบมันให้แกรึไง?”
“แต่ฉันไม่ชอบเสี่ยวอวี้หลิน”
ฉีฉียิ้มแล้วพูดว่า “คำนี้แกหลอกคนอื่นได้ แต่แกหลอกฉันไม่ได้”
“ฉันพูดความจริง”
“ช่างเถอะ ฉันอยู่กับแกตลอดทั้งวัน คิดว่าไม่รู้เหรอว่าแกคิดยังไง? แม้ว่าเสี่ยวอวี้หลินจะไม่ค่อยน่าไว้ใจในบางครั้ง แต่เขาก็ปกป้องแกจากคนอื่น เพื่อแก้ปัญหามรสุมของแก ฉันคิดว่าผู้ชายคนนี้ก็ไม่เลวนะ ลองคิดดูดีๆ”
“ใครเป็นคนบอกว่าเขาดีกับฉัน ก็ต้องคิดว่าชอบฉัน? ก็อาจจะเป็นได้…” น้ำเสียงขาดหายไปชั่วขณะ สีหน้าของเซี่ยอันน่าดูเศร้าหมอง “เป็นไปได้ว่าตอนที่เบื่อๆ ก็แค่หาอะไรเล่นเพื่อฆ่าเวลา”
ฉีฉีจ้องมองใบหน้าด้านข้างของเซี่ยอันน่า เธอเอียงศีรษะและพูดความฉงน “อันน่าเมื่อก่อนแกไม่ใช่คนมองโลกในแง่ร้ายแบบนี้”
ใช่ เมื่อก่อนเธอรุกไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ ไม่กลัวฟ้าดิน
แต่ตั้งแต่ที่ได้พบกับเสี่ยวอวี้หลิน ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
เธอกลัวว่าจะควบคุมหัวใจของตัวเองไม่ได้ เช่นนั้น เธอคงทุกข์ทรมานจริงๆ
ดังนั้น เซี่ยอันน่าจึงบอกตัวเองตัวเองซ้ำๆ อย่าให้อารมณ์หวั่นไหว อย่าใจอ่อน เธอและเสี่ยวอวี้หลินไม่เหมาะสมกัน ทุกอย่างจะได้ค่อยๆ จางหายไป
หลับตาลงเบาๆ เซี่ยอันน่าปกปิดเยื่อใยในแววตา “เมื่อไม่นานมานี้มีหลายอย่างเกิดขึ้น ฉันต้องเตรียมพร้อมป้องกันตัวจากคนอื่น”
“แบบนี้ก็คงไม่ได้ คนที่แกเป็นกังวลจริงๆ แกก็ไม่ยอมเปิดประตูให้เขาเข้ามา”
เซี่ยอันน่าไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อ เงยหน้าขึ้น แล้วยิ้มให้ฉีฉี “ช่างเถอะฉีฉี เราอ่านหนังสือกันต่อเถอะ”
“อืม”
เมื่อฉีฉีเห็นว่าเซี่ยอันน่าไม่อยากพูดคุยเรื่องนี้ต่อ จึงทำได้เพียงแค่ก้มหน้าอ่านหนังสือ สายตาจริงๆ กลับมองไปที่เซี่ยอันน่า
วันนี้ทบทวนบทเรียนเสร็จเรียบร้อย ฉีฉีเก็บของแล้วจากออกมา
เมื่อเดินมาถึงประตู ฉีฉีก็พบกับคุณยายฉาง จึงยิ้มทักทายเธอ
“คุณยายฉาง หนูกลับแล้วนะคะ”
“ค่ะ วันนี้เหนื่อยเลยนะคะ”
“ไม่หรอกค่ะ ที่นี่มีของให้กินให้ดื่ม แถมยังมีเครื่องปรับอากาศ สะดวกสบายมากค่ะ”
“แต่พวกหนูเรียนกันหนักขนาดนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของอันน่าเหรอจ๊ะ?”
“ยังไหวอยู่ค่ะ”
คุณยายฉางถอนหายใจ ด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ยายเห็นว่าสองวันมานี้อันน่าจริงจังมาก คิดว่าอาการของเธอจะทรุดหนักอีกรอบ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉีฉีก็รีบพูด “ตอนนี้คุณยายก็เห็นว่าอันน่าไม่มีความสุขเหมือนกันเหรอคะ?”
“ใช่จ้ะ” คุณยายฉางคิ้วขมวด รอยย่นบนใบหน้าปรากฎลึกขึ้นเรื่อยๆ แล้วเอ่ยถาม “หนูเป็นเพื่อนร่วมห้องของอันน่า รู้ไหมทำไมเธอถึงเป็นแบบนี้?”
ฉีฉีครุ่นคิด แล้วตอบไป “อันน่าไม่ได้บอกหนูตรงๆ หนูคิดว่าอันน่ามีบางอย่างที่อธิบายออกมาไม่ได้”
“แบบนี้ งั้นเราต้องช่วยอันน่าแก้ปมในใจ เกรงว่าหากติดอยู่แบบนั้นจะทำให้สุขภาพยิ่งแย่ลง”
เมื่อได้ยินว่าสถานการณ์ร้ายแรง ฉีฉีจึงรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “หนูจะคุยกับอันน่าให้ค่ะ”
“อันที่จริง ปล่อยให้อันน่าคิดทบทวนกับตัวเองจะดีกว่าไหม แบบนี้จะได้ผลกว่าคำพูดปลอบโยนประโลมใจเป็นร้อยคำ”
“หนูเข้าใจนะคะ แต่คิดจะพูดโน้มน้าวอันน่า ก็เป็นเรื่องยาก”
“เฮ้ ยังมียายอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ ยายช่วยได้ เพียงแค่ต้องการ หนูช่วยถามให้หน่อยได้ไหมว่าอันน่าสนใจอะไร จะได้สั่งยาให้ตรงกับโรค”
ภายใต้การจ้องมองอย่างกดดันของคุณคุณยายฉาง ฉีฉีจึงพยักหน้า “งั้นหนูจะลองดูค่ะ”
“ความสุขของอันน่าและเสี่ยวอวี้หลิน ไหว้วานฝากไว้ที่หนูนะจ๊ะ”
“เอ่อ นี่เกี่ยวกับเสี่ยวอวี้หลินยังไงคะ?”
“อันน่ามีความสุข นายน้อยเสี่ยวก็มีความสุข ถ้าอันน่าเอาแต่ซึมเศร้าตลอดทั้งวัน หนูคิดว่านายน้อยเสี่ยวจะมีความสุขได้ยังไงล่ะ?”
“ที่คุณยายพูดก็มีเหตุผล” ฉีฉีกระชับกระเป๋านักเรียน มองไปที่ท้องฟ้า “เฮ้อ หนูรู้สึกว่าเสี่ยวอวี้หลินดีกับอันน่ามาก แต่ยัยนั้นบอกว่าเธอกับเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ต่อกัน ถ้าทุกอย่างไม่ได้มีความรู้สึกให้กัน แล้วมันจะเกี่ยวกันยังไงคะ?”
“คำตอบของคำถามเหล่านี้ มีเพียงอันน่าเท่านั้นที่จะให้คำตอบแกเราได้ ฉีฉีต้องสู้ๆ”
“ค่ะ หนูต้องทำได้”
ฉีฉีหันเดินจากไป คุณยายฉางยิ้มจนตาหยี
มีฉีฉีคอยช่วยอีกคน คุณยายฉางต้องเข้าใจความคิดของเซี่ยอันน่าได้อย่างแน่นอน
เช่นนี้ เพียงแค่ให้สองคนหนุ่มสาวค่อยๆ เดินมาบรรจบกันอย่างช้าๆ
เฮ้อ หนุ่มสาวสมัยนี้ จะพัฒนาความสัมพันธ์กันอย่างรวดเร็วก็ต้องทำให้คนอื่นต้องเป็นกังวล หากพัฒนาช้าไปก็น่าเป็นห่วงอีกเช่นกัน พวกเขาไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองเลยสักนิด จะเข้าใจตัวเองได้เร็วๆนี้ไหมนะ?
คุณยายฉางเอามือไพล่หลัง แล้วเดินกลับไปอย่างช้าๆ
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว คุณยายฉางก็มองเห็นเงาของใครบางคนอยู่ด้านหลังต้นเสาไกลๆ
คุณยายฉางยิ้มเบาๆ แล้วถอนหายใจ “ไอ้เด็กนิสัยเสีย แอบฟังตั้งแต่เมื่อไร”
……
ตามแผนของคุณยายฉาง เธอต้องการให้ฉีฉีช่วย ให้เข้าใจอย่างชัดเจนว่าเซี่ยอันน่าคิดอย่างไรกับเสี่ยวอวี้หลิน
แต่ยังไม่รอให้เธอได้พบคำตอบ ทางด้านฉีฉีก็เกิดปัญหาขึ้น
วันนี้ เดิมทีฉีฉีต้องไปที่คฤหาสน์เพื่อทบทวนบทเรียนในตอนเช้า
แต่จนถึงเที่ยงวัน เซี่ยอันน่าก็ไม่เห็นฉีฉีมา จึงอยากโทรหาเธอสักหน่อย
“คุณหนูเซี่ยคะ มีคนมาหาค่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของคนรับใช้ เซี่ยอันน่าก็วางโทรศัพท์ลง แล้วเดินไปที่ประตูห้อง
เซี่ยอันน่ามองเห็นด้านหลังของคนคนหนึ่ง จึงพูดขึ้นว่า “ยัยนี้มาเอาป่านนี้ ฉันกำลังจะโทรหาแกอยู่…”
ยังพูดไม่ทันจบคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าก็หันกลับมา แล้วส่งยิ้มให้เซี่ยอันน่า
เธอมองไปยังหญิงสาวแต่งตัวดีที่อยู่ตรงข้าม เซี่ยอันน่าขมวดคิ้ว “เธอมาได้ยังไง?”
ปรากฎว่าคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามเธอไม่ใช่ฉีฉี แต่เป็นซู่เฉียวเฉียว
ซู่เฉียวเฉียวยิ้มกว้าง “ฉีฉีมีธุระกระทันหัน ก็เลยไหว้วานให้ฉันมา”
เซี่ยอันน่ายังจำได้ว่าซู่เฉียวเฉียวและวู่จิ่งพูดฉีกหน้าตัวเองอย่างไร จึงไขว่แขนไว้แล้วพูดขึ้น “ดูเหมือนว่า ฉันกับเธอจะไม่ได้สนิทกันนะ”
“อย่าพูดแบบนี้สิ ทุกคนก็เป็นเพื่อนร่วมห้องกันหมด รู้ว่าเธอไม่สบาย ฉันก็อยากมาเยี่ยม แต่เพียงแค่ไม่มีโอกาสเท่านั้นเอง”
“บังเอิญว่าวันนี้เจอฉีฉีเข้าพอดี เธอมีธุระชั่วคราวมาไม่ได้ ฉันก็เลยอาสามาแทนเธอ อันน่าเธอจะไม่ต้อนรับฉันไม่ได้นะ”
“ฉัน…”
ก่อนที่เซี่ยอันน่าจะพูดจบ คุณยายฉางก็เดินเข้ามาอย่างอารมณ์ดี
“อันน่าจ๊ะ ได้ยินมาว่าเพื่อนคุณมาหา ยายเลยเตรียมผลไม้มาให้ และก็ยังมีติ่มซำที่คุณชอบด้วยนะ”
เธอวางจานไว้บนโต๊ะ คุณยายฉางหันกลับมา สายตาประสบเข้ากับสายตาของซู่เฉียวเข้าพอดี
ซู่เฉียวเฉียวยิ้ม “ขอบคุณค่ะ”
คุณยายฉางชะงักไป “เอ่อ ไม่ใช่หนูฉีฉีหนิจ๊ะ”
“ฉีฉีมีธุระด่วนค่ะ หนูเลยมาอยู่เป็นเพื่อนอันน่าแทน”
“อ่อๆ”
คุณยายฉางรู้สึกหดหู่อยู่ในใจเล็กน้อย ฉีฉีอยู่ที่นี่เพื่อคอยช่วยสืบคำพูดที่อยู่ในใจของเซี่ยอันน่า
เซี่ยอันน่ามองไปที่ซู่เฉียวเฉียวเพียงแวบหนึ่ง จึงเดินกลับไปที่โต๊ะอ่านหนังสือ ก้มหน้าอ่านหนังสือ ไม่ได้สนทนากันมากไปกว่านั้น
แต่ซู่เฉียวเฉียวกลับเป็นฝ่ายรุก พูดคุยปรึกษาปัญหากับเซี่ยอันน่า
แต่ท่าทีของเซี่ยอันน่ายังเป็นปกติเช่นเดิมมาโดยตลอด
สิ่งนี้ทำให้ซู่เฉียวเฉียวกัดฟันแน่น
เซี่ยอันน่าถือดีอะไร เพียงเพราะว่าเสี่ยวอวี้หลินชอบเธอ เห็นทำดีด้วยหน่อยมันชักจะมากเกินไปแล้ว
ถ้าเสี่ยวอวี้หลินไม่ได้ชอบเธอ เธอก็เป็นแค่ของเล่น!
เธอเม้มริมฝีปาก ซู่เฉียวเฉียวหยิบของว่างที่อยู่ข้างๆขึ้นมาใส่ปาก จากนั้นคิ้วโก่งสวย ก็หันไปหาคุณยายฉาง “ติ่มซำเจ้านี้อร่อยจังเลยค่ะ ไส้มัทฉะข้างในเข้มข้นมาก ดูเหมือนว่าจะเป็นยี่ห้อหนึ่งที่จากมาฮอกไกโดนะคะ”
“คุณหนูลิ้นดีจริงๆค่ะ หนูเดาถูกต้องแล้วล่ะจ้ะ”
ซู่เฉียวเฉียวท่าทีประหลาดใจ “จริงเหรอคะ? ฉันแค่พูดเรื่อยเปื่อยเอง”
“พูดไปเรื่อยยังทายถูก ดูเหมือนว่าหนูสนใจด้านของกินนะจ๊ะ ยังถือว่าเป็นการวินิจฉัยเช่นกัน”
“ใช่ค่ะ หนูชอบเรื่องของกินมาก หนูชอบที่จะขบคิดเรื่องพวกนี้ คุณยายฉางทำของพวกนี้เองเหรอคะ?”
“ใช่จ้ะ”
ซู่เฉียวเฉียวทำสีหน้าประหลาดใจแล้วพูดว่า “คุณยายเก่งมากเลยค่ะ ถ้ามีเวลาว่าง หนูขอคำแนะนำจากคุณยายด้วยนะคะ”
“ไม่มีปัญหาเลย ตราบใดที่หนูไม่รังเกียจหญิงแก่ชราจู้จี้จุกจิกอย่างยาย”
“ได้ยังไงล่ะค่ะ คุณยายเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ หนูก็ต้องให้ความเคารพ”
แม้ว่าซู่เฉียวเฉียวจะถ่อมตัว ลดท่าทีลงเพื่อพยายามเอาใจคุณยายฉาง แต่คุณยายฉางกลับไม่ชอบซู่เฉียวเฉียวเอาเสียเลย
ผู้หญิงอย่างซู่เฉียวเฉียว คุณยายฉางเจอมามากแล้ว พวกเธอยังสาวยังสวย ฉลาดและมีมารยาท แต่เป้าหมายแรงกล้า จะทำอะไรต้องมีเจตนาแอบแฝง
ในทางตรงกันข้าม ความเรียบง่ายของเซี่ยอันน่าแสดงออกมาถึงความน่าทะถุถนอม ทำให้คนอื่นอดไม่ได้ที่จะอยากดูแลและคอยปกป้อง
ไม่ว่าซู่เฉียวเฉียวจะพยายามอย่างไร เกรงว่าทุกอย่างจะเป็นเพียงดอกไม้ในกระจกที่จับต้องไม่ได้
แต่ซู่เฉียวเฉียวไม่ได้คิดเช่นนั้น เธอคิดว่าเซี่ยอันน่าโชคดีกว่า หากเธออยู่ตรงนั้น สิ่งดีๆเหล่านี้ ก็จะไม่ใช่เซี่ยอันน่า
เมื่อซู่เฉียวเฉียวรับประทานใกล้หมด คุณยายฉางก็ยกจานติ่มซำออกไป
เมื่อในห้องนี้ไม่มีคนนอก เซี่ยอันน่าก็ไม่เสแสร้งอีกต่อไป ใบหน้าเย็นชาเอ่ยถามขึ้น “เธอมานี่ มีจุดประสงค์อะไร?”
“ก็มาเยี่ยมเธอปกติ ฉันจะบอกว่าเป็นเพื่อนร่วมห้องกัน ไม่จำเป็นต้องทำตัวห่างเหินกันขนาดนั้นก็ได้”
เซี่ยอันน่าลดสายตาลง “ฉันยังไม่ลืมว่าเธอกับวู่จิ่งพูดหักหน้าฉันยังไง”
“เฮ้อ วู่จิ่งเป็นคนไม่มีสมอง คนอื่นว่ายังไงก็ว่าตาม ฉันเคยพูดกับเธอไปแล้ว หลังจากนี้เธอไม่กล้าก่อกวนเธออีก”
เธอลุกขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าต่าง อยู่ในห้องนี้ มองเห็นดอกไม้งดงามของที่นี่ได้ ทำให้เจริญหูเจริญตา
ซู่เฉียวเฉียวยิ้มตาหยีแล้วเอ่ยขึ้น “ตอนนี้เธอก็เป็นนกฟีนิกซ์ที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ เมื่อกลายเป็นคนที่อยู่สูงกว่า ก็เลยมีความมั่นใจที่จะพูดออกมา”
มือของเซี่ยอันน่าพลิกหนังสืออย่างลวกๆ แล้วพูดส่งๆ ออกไป “เธอมองว่าฉันอยู่สูงกว่าได้ยังไง? ฉันเกือบจะเป็นนักโทษอยู่แล้ว”
“ทำไมพูดแบบนี้? เสี่ยวอวี้หลินดีกับเธอมากแค่ไหน เพื่อให้เธอได้พักรักษาตัวให้หายป่วย แถมยังจัดสถานที่ที่เงียบสงบพิเศษแบบนี้ให้เธอ โอ้เธอนี่ ตัวอยู่ในความสุขแท้ๆ แต่กลับไม่เห็นค่า”