วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 452 : ยุให้รำ ตำให้รั่ว
มีความสุขอยู่กับตัวแต่กลับไม่รู้คุณค่างั้นเหรอ?
เซี่ยอันน่าส่ายหัว ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “งั้นเธอก็มาเปลี่ยนเสพความสุขไปเป็นไง?”
ซู่เฉียวเฉียวคิดว่าเซี่ยอันน่ากำลังเยาะเย้ยตัวเอง เธอกำหมัดแน่น “หากของพวกนี้เป็นของฉัน เธอก็คิดที่จะขโมยมันไปใช่ไหม?”
ซู่เฉียวเฉียวรู้สึกอิจฉา สีหน้าเธอน่ารังเกียจ จนทำให้เซี่ยอันน่าหัวเราะออกมา “พวกเธอถือว่าเป็นของมีค่า แต่กลับไม่รู้ว่าจริงๆแล้วมันคืออะไร”
“เธออย่าอวดฉลาดหน่อยเลย ไม่แน่ในใจเธอคงมีความสุขมากสินะ”
สีซอให้ควายฟังจริงๆ มันไม่ใช่แบบนั้น
เซี่ยอันน่าไม่อยากเสวนากับซู่เฉียวเฉียวเกี่ยวกับปัญญานี้อีก “พรุ่งนี้ เธอไม่ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนฉันอีกนะ”
ซู่เฉียวเฉียวเป็นคนหยิ่งยโส เธอไม่เต็มใจมาอยู่เป็นเพื่อนเซี่ยอันน่าตั้งแต่แรก แต่กลับถูกเซี่ยอันน่าปฎิเสธ สิ่งนี้ยิ่งทำให้ซู่เฉียวเฉียวรู้สึกว่าตัวเองไร้ยางอาย
แต่เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ซู่เฉียวเฉียวจึงพยายามพูดดีๆ ด้วย “แบบนั้นคงไม่ได้ ฉันรับปากกับฉีฉีเอาไว้ จนกว่าเธอจะดีขึ้นฉันจะมาอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเธอตลอด”
“ฉีฉีอยู่ที่นี่ฉันรู้สึกผ่อนคลาย แต่เธอ….เธอเก่งเกินไป การทบทวนบทเรียนเร็วๆ ทำให้ฉันกดดัน”
“งั้นก็ไม่ดีนะสิ? เธอทำตรงไหนไม่ได้ ฉันจะได้อยู่ข้างๆค่อยชี้จุดให้เธอ”
เมื่อเห็นว่าการบอกเป็นนัยๆ ใช้ไม่ได้ผล เซี่ยอันน่าจึงพูดไปตามตรง “งั้นฉันขอพูดตรงๆ ฉันเพียงคิดว่าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของซู่เฉียวเฉียวไม่อาจแสร้งยิ้มต่อไปได้อีก สีหน้าเธอหม่นลง “เธอพูดมาขนาดนี้ ต้องเป็นฉีฉีเท่านั้น ไม่ใช่ฉันงั้นเหรอ?”
“ไม่ว่าเธอจะคิดยังไง ขอเพียงแค่อย่ามารบกวนฉันก็พอ”
ซู่เฉียวเฉียวอยากจะสาปแช่งเธอ
แต่เธอไม่อาจยั่วโมโหเซี่ยอันน่าได้ ยัยนี่ยังมีประโยชน์ ดังนั้น ซู่เฉียวเฉียวทำได้เพียงแค่ระงับความโกรธเอาไว้ ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ฉันจะออกไปสูดอากาศข้างนอก”
เธอเดินเข้าไปในสวนคนเดียว มองไปที่ดอกไม้และต้นหญ้าเหล่านั้นที่ขวางหูขวางตาเธอจนอยากจะเผาไหม้ให้สิ้นซาก
เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นเงาของคนคนหนึ่ง ดวงตาของซู่เฉียวเฉียวก็แดงขึ้นมา วิญญาณนักแสดงเข้าครอบงำ
ซู่เฉียวเฉียวหยิบหน้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดที่หางตา แล้วเอ่ยว่า “อันน่าเธอต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ คุณชายเสี่ยวเป็นห่วงเป็นใยเธอขนาดนี้ เธอยังคิดถึงแต่ผู้ชายสารเลวคนนั้นอีก เวลาของผู้หญิงเรามีค่ามากแค่ไหน ทำไมต้องมั่วแต่เสียเวลากับคนแบบนั้น?”
“เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ?”
“ใครอยู่ตรงนั้น” ซู่เฉียวเฉียวทำหน้าตกใจ หันกลับไปมอง
เมื่อเธอเห็นเสี่ยวอวี้หลิน ก็ตบที่หน้าอกตัวเองแล้วถอนหายใจยาว “คุณชายเสี่ยวนี่เอง”
สีหน้าของเสี่ยวอวี้หลินไม่สบอารมณ์นัก “ผมถามคุณ เมื่อกี้ที่คุณพูดผู้ชายสารเลวอะไร?”
สีหน้าของซู่เฉียวเฉียวลุกลี้ลุกลน รีบโบกมือบอกปัดไปว่า “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันก็พูดไร้สาระไปเรื่อยแหละ”
“คุณคิดว่าผมเชื่อคุณงั้นเหรอ? คุณไปรู้อะไรมารีบพูดออกมาให้หมด ความอดทนผมมีจำกัดนะ!”
ใบหน้าของเสี่ยวอวี้หลินราวกับฆาตกร ซู่เฉียวเฉียวลำบากใจ เธอลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วพูดออกไปว่า “เอางั้นก็ได้ค่ะ ฉันบอกคุณก็ได้ หวังว่าคุณชายเสี่ยวจะโน้มน้าวอันน่าได้นะคะ ทำให้เธอเลิกโง่สักที”
เสี่ยวอวี้หลินจ้องเธอตาเขม็ง ซู่เฉียวเฉียวยังคงพูดต่อไป
“อันที่จริง อันน่ามีแฟนอยู่คนหนึ่ง แต่คบกันแบบลับๆ คนอื่นไม่มีใครรู้ ส่วนฉันบังเอิญไปรู้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเข้าโดยบังเอิญ”
“ผู้ชายคนนั้นอายุเยอะกว่าเรามาก และเขามีครอบครัวแล้ว แน่นอนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาคงไม่ถูกยอมรับ อันน่ายังคงหมกหมุ่นต่อไป มันก็มีแต่จะทำร้ายตัวเอง ไม่มีผลอะไรเลย”
“ก่อนหน้านี้ฉันกับอันน่าพูดคุยเกี่ยวกับปัญหานี้กัน หวังว่าเธอจะได้สติทันเวลา แต่อันน่าไม่ฟัง แม้จะได้รู้จักผู้ชายดีๆอย่างคุณ เธอก็ไม่ยอมถอยออกมา”
“คุณชายเสี่ยว ฉันคิดว่าคุณมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างลึกซึ้งกับอันน่า คุณช่วยเธอหน่อยได้ไหม พูดโน้มน้าวเธอ?”
ซู่เฉียวเฉียวพูดจบ แล้วมองไปที่สีหน้าเคร่งขรึมของเสี่ยวอวี้หลิน
หลังจากที่ยินคำพูดของซู่เฉียวเฉียว เสี่ยวอวี้หลินก็หรี่ตาลง และพูดสรุปว่า “เธอเป็นเมียน้อย…”
ไม่ต้องบอกว่าเสี่ยวอวี้หลินสรุปได้ดีทีเดียว นี่คือสิ่งที่ซูเฉียวเฉียวอยากให้เสี่ยวอวี้หลินได้เห็น
แต่ซูเฉียวเฉียวคนนี้เป็นเพื่อนของเซี่ยอันน่า เธอควรพูดถึงแต่ภาพลักษณ์ดีๆ ของเซี่ยอันน่าสิ
“คุณอย่าพูดถึงอันน่าแบบนี้สิคะ เธออาจจะชอบผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่มีความมั่นคง คิดว่าคนแบบนี้คงจะให้ความปลอดภัยแก่เธอได้ แต่อันน่าไม่ได้ต้องการอยากทำร้ายครอบครัวของคนอื่นอย่างแน่นอน บางทีเธอก็คงเจ็บปวดเช่นกัน ต้องการใครสักคนมาพูดโน้มน้าวเธอ”
เมื่อนึกถึงท่าทีของเซี่ยอันนาที่มีต่อตัวเอง เสี่ยวอวี้หลินก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คนอย่างเธอ ยังต้องการคนพูดโน้มน้าวอีกงั้นเหรอ? ต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร เธอรู้ดีกว่าใคร”
ซู่เฉียวเฉียวไม่เข้าใจว่าทำไมเสี่ยวอวี้หลินถึงพูดแบบนั้น แต่เธอมองออกว่าเสี่ยวอวี้หลินกำลังโกรธ
นี่เป็นสัญญาณที่ดี
ซู่เฉียวเฉียวก้มหน้าลง ซ่อนรอยยิ้มไว้ในแววตาลึกๆ พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “เฮ้อ หวังว่าอันน่าจะมองออกได้เร็วๆ อย่าให้เสียเวลาไปนานปลายปี”
“เธอจะเสียเวลาไปกี่ปี แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม!”
พูดจบ เสี่ยวอวี้หลินก็หันหลังเดินจากไป
ซู่เฉียวเฉียวมองไปที่แผ่นหลังของเสี่ยวอวี้หลินแล้วยิ้มอย่างมีชัย
“เซี่ยอันน่า เธอคิดว่าเธอเป็นอะไร เธอสมควรได้รับสิ่งเหล่านี้งั้นเหรอ? ฉันจะทำให้เธอตื่นจากฝัน แล้วตกลงมาอย่างแสนสาหัส!”
เวลานี้ เซี่ยอันน่าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองถูกวางกับดักอีกครั้ง ยังคงเอาแต่โทรหาฉีฉี
“ฉีฉีเกิดอะไรขึ้น ทำไมวันนี้ซู่เฉียวเฉียวถึงมาที่นี่?”
“เฮ้อ อย่าให้พูดเลย ฉันกำลังจะไปหาแก แต่ถูกคนของสมาคมเรียกไว้ก่อนบอกว่ากำลังมีการจัดนิทรรศการภาพถ่าย ต้องให้ฉันไปช่วย ฉันไม่มีทางเลือก จึงทำได้แค่ไปแจ้งกับคนขับรถ”
“แต่ฉันไม่คิดว่าจะเจอกับซู่เฉียวเฉียวที่นั่น เธอแอบฟังบทสนทนาของฉันกับคนขับรถ แล้วก็อาสาบอกว่าจะไปอยู่เป็นเพื่อนแกทบทวนบทเรียน”
“แน่นอนว่าฉันไม่เห็นด้วย แต่ซู่เฉียวเฉียวเร็วกว่าฉัน เธอเข้าไปนั่งในรถ แล้วบอกให้คนขับออกรถ คนขับก็เหมือนกันถูกซู่เฉียวเฉียวพูดให้หวั่นไหวสองสามคำ ก็ขับรถพาเธอออกไป”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฉีฉีก็นึกเป็นห่วง “อันน่า ซู่เฉียวเฉียวไปก่อกวนเธอใช่ไหม?”
เซี่ยอันน่าไม่รู้ความจริงว่าอะไรเป็นอะไรจึงยังไม่มั่นใจ “คิดว่าอยู่ที่นี่เธอไม่กล้าทำอีกหรอก”
“อืม งั้นก็ดีแล้ว”
“ฉันบอกซู่เฉียวเฉียวไปแล้วว่าเธอไม่ควรมาก่อกวนฉันอีก”
ความรู้สึกผิดปรากฎขึ้นบนใบหน้าของฉีฉี “ขอโทษนะอันน่า ฉันสัญาว่าจะอยู่เป็นเพื่อนแก แต่บางครั้งฉันก็ทิ้งบางเรื่องไปไม่ได้”
“ไม่เป็นไร ทางนี้ยังไม่มีเรื่องอะไร ที่นี่มีคนอยู่เป็นเพื่อนฉันเยอะ ก็เพียงแค่น่าเบื่อเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง”
“แต่แกยังป่วยอยู่ ไม่มีฉันคอยอยู่คุยเป็นเพื่อนไม่เหงาเหรอ?”
“ก็ไม่ใช่ว่าเราจะโทรหากันไม่ได้ และอีกอย่างคุณยายฉางก็ยังอยู่เป็นเพื่อนฉัน แกวางใจได้ อีกหน่อยฉันคงดีขึ้น จากนั้นก็จะกลับไปมหาวิทยาลัยได้”
“งั้นแกก็ต้องรีบหายเร็วๆนะ ฉันอยู่ในห้องน่าเบื่อจะตายอยู่แล้ว”
“อืม วางใจได้”
หลังจากวางสายโทรศัพท์ รอยยิ้มบนใบหน้าเซี่ยอันน่าก็ค่อยๆ จางหายไป
เมื่ออ่านหนังสืออยู่ในห้องได้สักพัก เซี่ยอันน่าก็ออกไปสูดอากาศข่้างนอก
แต่กลับได้ยินเสียงคนพูดคุยกันมาจากมุมๆหนึ่ง
เซี่ยอันน่าชะโงกหน้าออกไปดู ก็เห็นคุณยายฉาง และแผ่นหลังของเสี่ยวอวี้หลินที่ค่อยๆ ห่างออกไป
พวกเขาทั้งสองคุยเรื่องอะไรกันะ?
เซี่ยอันน่าเดินเข้าไปด้วยความสงสัย แล้วเอ่ยถามขึ้น “คุณยายฉางมีเรื่องอะไรกันเหรอคะ?”
คุณยายฉางเงยหน้าขึ้นมองเซี่ยอันน่าคิ้วขมวด “นายน้อยบอกว่า ให้คุณกลับมหาวิทยาลัยได้แล้วค่ะ”
ภายในใจจมดิ่งลง ความรู้สึกของเซี่ยอันน่ากำลังขัดแย้งกับตัวเอง
เมื่อเป็นอิสระ ก็ควรมีความสุข ทำไมตัวเธอจึงรู้สึกผิดหวังล่ะ?
เธอก็เป็นผู้หญิงโลภมากคนหนึ่ง รู้ทั้งรู้เสี่ยวอวี้หลินไม่ได้เป็นของตัวเอง แค่ยังโชคดีที่ไม่ถูกจับได้
ตอนนี้เธอตื่นจากฝันแล้ว จะได้เลิกเสแสร้งสักที
ดวงตาของเซี่ยอันน่าลู่ลง ยิ้มอย่างเย้ยยันแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ช้าก็เร็วยังไงหนูก็ต้องไปอยู่ดี กลับไปตอนนี้ก็ดีแล้วค่ะ”
“แต่ร่างกายคุณยังไม่ฟื้นตัวดี จะเป็นยังไงถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาอีก?”
“หนูเพียงแค่เป็นไข้หวัด ไม่ได้เป็นโรคที่รักษาไม่หายสักหน่อย และยิ่งไปกว่านั้นหนูก็เกือบหายดีแล้ว เอาแต่อุดอู้อยู่ที่นี่ทั้งวัน กลับกันอาจจะป่วยขึ้นมาง่ายๆ”
“แต่…”
“ใช่แล้ว เสี่ยวอวี้หลินบอกว่า จะให้หนูออกไปเมื่อไหร่คะ?”
คุณยายฉางเม้มริมฝีปาก แล้วเอ่ยว่า “…ตอนนี้ค่ะ”
ดูเหมือนว่าเสี่ยวอวี้หลินจะไม่ได้ไปส่งเซี่ยอันน่า แต่คือไล่เธอกลับไป
รอยยิ้มเย้ยยันตัวเอง “งั้นหนูไปเก็บของก่อนนะคะ”
คุณยายฉางคว้าตัวเธอไว้ “อันน่า พรุ่งนี้ค่อยไปก็ได้”
“ไม่ล่ะค่ะ หนูต้องรีบกลับ ฉีฉีรอหนูอยู่”
พูดจบเซี่ยอันน่าก็หันหลังกลับและเดินเข้าไปในห้อง คุณยายฉางถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ทำอะไรไม่ได้
เมื่อหันกลับไปคุณยายฉางก็เห็นเสี่ยวอวี้หลินที่เดินจากไปแล้วหวนกลับมา
อันที่จริงที่เขาพูดไปเมื่อสักครู่เพราะอารมณ์โกรธ นั้นคือเหตุผลที่เขาต้องการให้เซี่ยอันน่าย้ายออกไปทันที
เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืด เสี่ยวอวี้หลินก็เกิดเปลี่ยนใจ อยากให้เซี่ยอันน่าอยู่ต่ออีกคืน
แต่คิดไม่ถึงว่า เขาจะได้ยินบทสนทนาระหว่างเซี่ยอันน่าและคุณยายฉางเข้า
คุณยายฉางมองไปที่สีหน้าเคร่งขรึมของเสี่ยวอวี้หลินแล้วเอ่ยถาม “เห็นอยู่ชัดเจนว่านายน้อยชอบผู้หญิงคนนี้ แล้วทำไมถึงไล่เธอไป?”
สองมือล่วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เสี่ยวอวี้หลินยืนกราน “ใครบอกว่าผมชอบเธอ ผมแค่คิดว่าเธอตลกดีเลยเอามาอยู่ข้างๆ จะได้สนุก ตอนนี้ผมไม่สนใจเธอแล้ว ก็ต้องไล่เธอไปสิ”
“หึ ฉันเลี้ยงนายน้อยมาตั้งแต่เล็กจนโต คิดว่าฉันไม่รู้หรือว่าคุณคิดอะไร? คุณน่ะชอบหาเหาใส่หัว”
เสี่ยวอวี้หลินหรี่ตาลงเล็กน้อย “ยายบอกว่ารู้จักผม ก็ควรจะรู้ว่าผมเป็นใคร ผมไม่ปล่อยให้ใครมาคอยจูงจมูกผมเดินหรอก โดยเฉพาะผู้หญิงที่ไม่มีผมอยู่ในหัวใจอย่างเธอ”
“รู้ยังไงว่าเธอไม่มีคุณอยู่ในหัวใจ? ถ้าไม่มีจริงๆ ผู้หญิงคนนั้นคงไม่เอาแต่เหม่อลอยตลอดทั้งวัน”
เสี่ยวอวี้หลินจงใจเพิกเฉยต่อการเต้นของหัวใจ และยังคงยืนกรานคำเดิม “ในหัวเธอมีเรื่องให้คิดมากมายใครจะไปรู้ว่าเธอเหม่อลอยเรื่องอะไร ผมขี้เกียจเดา และข้างนอกก็ยังมีผู้หญิงอีกเยอะแยะ ทำไมผมต้องมาเสียเวลากับเธอด้วย”
“แต่คุณชอบเธอ”
“ผมไม่ได้ชอบเธอ!”
“คุณเป็นผู้ชาย ชอบก็ชอบว่าชอบ มีอะไรที่คุณไม่กล้ายอมรับ?”
“ผมไม่ได้สนใจเธอตั้งแต่แรก ทำไมผมต้องยอมรับด้วย”
“ไม่ชอบ แล้วทำไมต้องให้ฉันมาดูแล เพียงแค่หาใครสักคนจบๆ ไปก็ได้”
“นั้นก็เพราะ…เพราะ…”
เสี่ยวอวี้หลินผู้ที่ยืนกรานมั่นใจในคำพูดมาโดยตลอด ถึงกับพูดไม่ออก
เมื่อเห็นท่าทีของเขา คุณยายฉางจึงพูดรับรองให้ว่า “เธออยู่ในใจคุณ และคุณเองก็คงอยู่ในสถานะไม่ต่างกัน”
เสี่ยวอวี้หลินรู้เรื่องนี้ และก็ไม่อาจปฎิเสธได้
ที่ผ่านมา เขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่นับจากนี้เป็นต้นไป เสี่ยวอวี้หลินจะไม่ให้คนอื่นมากุมความคิดเขาได้อีก
แววตาของเขาจมลง “จากนี้ไป เธอกับผมเป็นเพียงแค่คนรู้จักกัน”
“แม้ฉันจะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ คุณถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้ แต่ฉันคิดว่าเรื่องนี้ไม่ควรรีบร้อนตัดสินใจ มิฉะนั้นในอนาคตคุณต้องเสียใจแน่นอน”
“เพื่อผู้หญิงคนนั้นงั้นเหรอ ไม่คู่ควร”
พูดจบ เสี่ยวอวี้หลินไม่ลังเลใจ เขาจะไม่ยอมอีกครั้ง หันหลังแล้วเดินจากไป
คุณยายฉางพยายามพูดเกลี้ยกล่อม แต่เสี่ยวอวี้หลินก็ยังไม่เปลี่ยนความคิด แบบนี้ทำให้เธอไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
เซี่ยอันน่ามีของไม่มาก ไม่นานก็เก็บของเสร็จเรียบร้อย พร้อมที่จะออกเดินทาง
เธอยืนอยู่ที่หน้าประตู เซี่ยอันน่ามองไปยังคุณยายฉางที่มาส่งอำลา พูดขึ้นอย่างไม่เต็มใจ “คุณยายคะ ไม่กี่วันมานี้ขอบคุณที่คอยดูแลหนูนะคะ หวังว่าคงมีโอกาสได้พบกันอีก”
“แน่นอนที่สุด ยายยังทำติ่มซำมาให้หนูด้วยนะ”
คำพูดเมื่อสักครู่ แต่เซี่ยอันน่ารู้ เกรงว่าเธอและเสี่ยวอวี้หลินจะไม่ได้ติดต่อกันอีก และเช่นนั้นคุณยายฉางก็คงไม่ได้พบเธอ
ความขื่นข่มที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ เซี่ยอันน่าพยักหน้า จากนั้นหันหลังก้มตัวเข้าไปในรถ
เซี่ยอันน่าลดกระจกลง โบกมือลาคุณยายฉาง จากนั้นคุณยายฉางก็เฝ้ามอง รถขับออกจากไปคฤหาสน์
จนกระทั่งขับออกไปไกล คุณยายฉางจึงหันกลับมา
สายตาที่หมุนกลับมา มองขึ้นไปชั้นบนเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่าง
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นใคร
คุณยายฉางถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน พึมพำกับตัวเอง “เฮ้อ ปากอย่างใจอย่างทั้งสองคน อารมณ์ถึงได้รุนแรงขนาดนี้”
……
ฉีฉีกลับมาจากทำงานข้างนอก เมื่อเห็นเซี่ยอันน่าอยู่ในห้องนอน ก็อดแปลกใจขึ้นมาไม่ได้
“อันน่าทำไมแกกลับมาแล้วล่ะ?”
เซี่ยอันน่ามองไปที่ฉีฉีด้วยรอยยิ้มบางๆ “ฉันได้ยินว่าแกคิดถึงฉัน ฉันเลยกลับมา”
“แต่ทำไมเสี่ยวอวี้หลินถึงยอมปล่อยแกมา?”
“แล้วทำไมเขาต้องไม่ปล่อยฉันล่ะ ฉันกับเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันสักหน่อย”
“แต่…”
“แกมีอะไรให้กินบ้าง ฉันหิวแล้ว”
ฉีฉีรู้ว่าเซี่ยอันน่าไม่อยากพูดอะไรไปมากนี้ เธอจึงไม่พูดต่อ เพียงแค่หยุดหัวข้อสนทนานี้ไว้ หันกลับไปหยิบขนมปังออกมาจากตู้ แล้วส่งให้เซี่ยอันน่า
เมื่อก่อนขนมปังชิ้นนี้เป็นรสชาติที่เซี่ยอันน่าและฉีฉีชอบมาก
แต่ตอนนี้ เซี่ยอันน่ากลับคิดว่าของเหล่านี้ยากที่จะกลืนลงไปได้
ดูเหมือนว่าต่อมรับรสของเธอจะเรื่องมากเข้าแล้ว
นี่เป็นสัญญาณอันตราย
เธอเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีสิทธิ์เสวยสุขกับของเล่นของพวกคนรวย
อย่าลืมฐานะของตนเอง มิฉะนั้น เธอก็จะได้แต่รอคอย และเพียงแค่ตายไปอย่างน่าอนาท
เมื่อมองไปที่ท่าทางกังวลของเซี่ยอันน่า ฉีฉีถอนหายใจ แล้วพึมพำอยู่ข้างๆ “จะบอกว่าได้เจอซู่เฉียวเฉียวก็ไม่ใช่เรื่องดีแล้ว คิดง่ายๆ เธอก็เป็นแค่ดาวไม้กวาดนั้นแหละ”
เมื่อเซี่ยอันน่าได้ยินแบบนี้ หัวใจก็พองโตเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เจาะลึกลงไปกว่านั้น
กลับมาที่มหาวิทยาลัย ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม
ข่าวซุบซิบที่แพร่กระจายไปทั่วมหาวิทยาลัยก็จางหายไปแล้ว ทุกคนคิดว่าเซี่ยอันน่าเป็นแฟนของเสี่ยวอวี้หลิน เมื่อเจอเธอจึงเคารพยำเกรง และรักษาระยะห่างไว้อย่างเหมาะสม
แม้ว่าความสัมพันธ์ของเธอกับเสี่ยวอวี้หลินจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่มีใครมาก่อกวนเธอ เป็นเวลาสั้นๆที่เซี่ยอันน่ามีความสุข