วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 466 ขอโทษผม
ระหว่างที่นางเอกสาวกำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่นั้น
ก็มีหญิงคนหนึ่งมานั่งข้างๆ และพูดขำๆขึ้นว่า “สวัสดีค่ะ ฉันเป็นแฟนคลับคุณค่ะ ขอคุยด้วยได้ไหมคะ?”
นางเอกสาวปฏิเสธอย่างเบื่อหน่าย “นี่เป็นเวลาส่วนตัวของฉัน กรุณาออกไปจากตรงนี้!”
“พูดแค่ไม่กี่ประโยคเอง คุณน่าจะมีเวลาอยู่นะคะ”
“นี่เธอฟังไม่รู้เรื่องหรือ ออกไป ถ้ายังไม่ไป ฉันจะเรียกรปภ.!”
สายตาของนางเอกสาว มองเหยียดเหมือนกำลังคุยกับสิ่งสกปรก
หญิงสาวคนนั้นถอนหายใจและพูดขึ้น “คิดไม่ถึงเลยว่าคนสวยๆแบบคุณจะเป็นแบบนี้”
“ไสหัวไป!”
“โอเค คุณคงจะไม่สนใจสิ่งนี้ซินะ งั้นฉันคงโพสลงข่าวเลยแล้วกัน”
หญิงสาวพูดไป พร้อมกับจงใจแกว่งรูปในมือไปมา หน้านางเอกสาว
รูปนั่น…. นางเอกสาวตาโตด้วยความตกใจ
“หยุดอยู่ตรงนั้น!” จากนั้นถามต่อว่า “ในมือเธอคืออะไร?”
“คุณมองไม่เห็นหรือ? ก็รูปของคุณไง และถ้าคุณสะดวก จะเซ็นชื่อบนรูปด้วยก็ได้นะ”
ถึงแม้เมื่อกี้จะกำลังอึ้งและงงอยู่ แต่นางเอกสาวก็รู้ว่าคนในรูปคือเธอ
และชายรูปร่างท่วมคนนั้น ก็เป็นคนเดียวกับไอ้อ้วนเมื่อวาน
ให้ตายเถอะ ทำไมถึงมีคนถ่ายรูปพวกนี้นะ ถ้ารูปนี้ถูกแพร่กระจายออกไป เธอจบเห่แน่
เธอมองไปที่หญิงสาวด้วยความโกรธ และถามว่า “สารเลว แกไปเอาของพวกนี้มาจากไหน”
หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ถ้าไม่อยากให้คนรู้ ก็ทำตามทำที่บอก ไม่งั้นก็….”
“รีบพูดมาซิ ว่าแกเอารูปพวกนี้มาจากไหน? แกเป็นปาปารัซซี่หรือ?”
“เปล่านี่ แต่ฉันอยากคุยข้อตกลงแลกเปลี่ยนกับคุณเสียก่อน”
“แลกเปลี่ยนอะไร?”
หญิงสาวค่อยๆพูด “บอกฉันมา ว่าใครเป็นคนสั่งให้เธอทำร้ายเซี่ยอันน่า แล้วฉันจะเอาของพวกนี้ทั้งหมดให้เธอ”
นางเอกสาวแสร้งยิ้มเยาะออกมา “ใครทำร้ายเซี่ยอันน่า พูดพล่อยๆ”
“ดูเหมือนว่าเธอจะไม่อยากให้ความร่วมมือ”
พูดจบ หญิงสาวก็หมุนตัวเตรียมเดินจากไป
“เดี๋ยวๆ” นางเอกสาวรีบห้ามเธอไว้ “ถ้าฉันบอกแล้ว เธอจะเอารูปทุกอย่างให้ฉันใช่ไหม?”
“แน่นอน”
“แล้วฉันจะเชื่อเธอได้อย่างไร?”
หญิงสาวยิ้มเยาะออกมา “ตอนนี้เธอมีสิทธิเลือกด้วยหรือ? ถ้าครั้งนี้พวกเราพลาด ก็ยังพอมีโอกาสอื่น แต่ถ้าครั้งนี้เธอพลาด ลองคิดดูแล้วกันนะว่าจะเป็นอย่างไร”
ที่ยัยนั่นพูดถูกทุกอย่าง ถ้าเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไป ชีวิตการแสดงที่เธอสั่งสมมา คงจบกัน
เมื่อเธอคิดได้ดังนั้นก็รีบพูดขึ้นว่า
“มีหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งโทรมาหาฉัน บอกให้ฉันกำจัดเซี่ยอันน่าซะ ตอนแรกฉันก็ไม่ได้คิดจะทำ แต่ช่วงนี้เห็นท่าทีของยัยนั่นแล้ว ฉันก็อดใจไม่ไหว เลยลงมือ”
“หญิงวัยรุ่น?” เธอครุ่นคิดเล็กน้อย และถามต่อว่า “เขาทำอะไร? อายุเท่าไหร่? รูปร่างท่าทางเป็นอย่างไร?”
นางเอกสาวคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “น่าจะอายุราวๆ28ปี ยังวัยรุ่นอยู่ ดูแล้วน่าจะเป็นนักศึกษา รูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร”
“เธอพูดกว้างมากเลย นี่จงใจหลอกให้ฉันหาไม่เจอหรือไง”
นางเอกสาวรีบตอบกลับว่า “อนาคตของฉันอยู่ใรกำมือพวกแกแล้ว คิดว่าฉันยังจะกล้าหลอกอีกหรือ? ฉันไม่ได้อยากจะฆ่าตัวเองหรอกนะ”
“นอกจากอันนี้แล้ว ยังมีอะไรอื่นอีกไหม?” หญิงสาวยิ้มเล็กน้อย ก่อนพูดข฿่ว่า “ก่อนจะพูดอะไร คิดดีๆก่อนจะพูด พูดอะไรที่เป็นประโยชน์ เพราะถ้าฉันโมโหขึ้นมา เราก็แยกย้าย”
นางเอกสาวเงียบอยู่ครู่หนึ่ง และพูดว่า “ฉันบังเอิญนึกขึ้นได้อีกอย่าง เด็กคนนั้นเหมือนเป็นแค่นกต่อ เพราะเวลาเธอทำอะไร เธอต้องรายงานคนข้างบนอีกที”
“คนข้างบน….”
“ใช่ ฉันรู้สึกว่ามีอีกคนที่คอยสั่งการเธอ และคนคนนั้นภูมิหลังก็ใหญ่โตไม่น้อย ไม่งั้นจะเอาอะไรมาเสนอกับฉัน”
หญิงสาวคิดและยิ้มออกมา “ดูเหมือนว่าข้อเสนอที่ฝ่ายนั้นให้ คงจะทำให้เธอใจเต้นแรงมากซินะ”
นางเอกสาวไม่ได้พูดตอบอะไร ได้แต่ยืนนิ่งเงียบ
“คนที่อยู่เบื้องหลัง นับวันยิ่งใหญ่มากขึ้นทุกทีซินะ”
นางเอกสาวมองไปทางรูปและค่อยๆพูดกับหญิงสาวว่า “ที่ฉันรู้ฏ้มีแค่เท่านี้แหละ งั้นพวกเธอจะเอารูปให้ฉันได้หรือยัง?”
“ให้ซิ ยังไงก็ให้ หวังว่าเธอจะไม่พูดอะไรที่ไม่ควรพูดอีก ไม่งั้นพวกฉันกลับมาเล่นกับเธออีกแน่”
พูดจบหญิงสาวก็วางรูปไว้บนโต๊ะ และเดินจากไป
พอได้รูปคืน นางเอกสาวก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
และมองไปทางแผ่นหลังของหญิงคนนั้นอย่างเกลียดชัง “สารเลว ฉันจะต้องแก้แค้นพวกแกให้ได้”
ตอนนี้ได้รูปคืนมาแล้ว ต่อไปทำอะไรต้องระวังให้มากขึ้นกว่าเดิม
เมื่อหญิงสาสเดินออกจากร้านกาแฟมา ก็ตรงดิ่งขึ้นรถคันสีดำไป
บนรถมีชายสองคนจ้องมาที่เธอ
หญิงสาวคนนั้นค่อยๆถอดหมวกออก เธอคือเย่ชวูเสวียนั่นเอง
“เกมนี้ ยิ่งเล่นยิ่งสนุก”
“พูดมาเร็วๆ เธอได้ความว่าอะไรบาง?”
เมื่อเห็นท่าทีร้อนรนของเสี่ยวอวี้หลิน เธอจึงแกล้งพูดว่า “ไอหยา นายจะเร่งอะไรเนี่ย ถ้าฉันรน เดี๋ยวฉันก็ลืมทุกอย่างหมดหรอก”
หนางกงเจาขำเล็กน้อย ก่อนพูดขึ้นว่า “เอาล่ะเย่ชวูเสวีย เลิกแกล้งเขาได้แล้ว ตอนที่คุณอยู่ข้างใน เขาแทบจะนั่งไม่ติดเลย”
“โอเคๆ เห็นท่าทีเป็นห่วงเซี่ยอันน่าขนาดนี้ งั้นฉันจะพูดแล้วนะ” เธอกระแอมเล็กน้อยและพูดต่อว่า “ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า มีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งสั่งให้เธอทำ แล้วอีกอย่างเด็กคนนั้นเหมือนเป็นแค่นกต่อ เพราะยังมีคนข้างบนอีก”
เสี่ยวอวี้หลินหรี่ตา และพูดว่า “งั้นต้องจับเด็กวัยรุ่นคนนั้นให้ได้ก่อน แล้วค่อยสืบต่อไปหา่เบื้องหลังมัน”
เย่ชวูเสวียตกใจเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อว่า “นายยังจะสืบจากยัยนางเอกนั่นอยู่หรือ? แต่ฉันให้รูปเธอคืนไปแล้ว”
“เธอไม่มีไฟล์หรือ?”
“ไม่มี ฉันจะเก็บรูปพวกนั้นไว้ทำไม?”
เย่ชวูเสวียพูดอย่ารู้สึกผิด เสี่ยวอวี้หลินหัวเสียมาก
เมื่อหนานกงเจาเห็นท่าทีของเสี่ยวอวี้หลิน จึงรีบพูดขึ้น “ฉันว่า เราไม่จำเป็นต้องใช้งานผู้หญิงคนนั้นแล้วล่ะ ถึงเด็กคนนั้นจะเคยติดต่อผ่านเธอก็ตาม แต่เราก็ตามหาเด็กคนนั้นเองได้”
เสี่ยวอวี้หลินครุ่นคิดสักพัก “เด็กผู้หญิงอีกแล้ว ครั้งก่อนไฟไฟม้ที่ร้าน ก็เด็กผู้หญิง”
หนานกงเจาถามเขากลับ “นายคิดว่าสองคนนี้มีอะไรเกี่ยวเนื่องกันไหม?”
“พวกเธอตามอันน่ามาทั้งนั้น ไม่ต้องสงสัยเลย ตอนนี้ฉันเลยคิดว่า พวกมันน่าจะเป็นพวกเดียวกัน ถ้าอย่าให้เจออีกครั้ง ไม่งั้นพวกมันตายแน่!”
เย่ชวูเสวียฟังๆดูก็รู้สึกว่ามีเหตุผล และคิดว่าตอนนี้เซี่ยอันน่ากำลังตกอยู่ในอันตราย “งั้นเราต้องรีบตามหาตัวมันมาให้ได้ อย่าให้มันได้มาทำร้ายอันน่าอีก”
“มือหนึ่งหา อีกมือหนึ่งต้องคอยปกป้องอันน่าอย่างใกล้ชิด ไม่ให้มันมีโอกาสมาทำอะไรอันน่าได้อีก”
เสี่ยวอวี้หลินตอบว่า “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉัน”
เย่ชวูเสวียพูดต่อว่า “เสี่ยวอวี้หลิน นายมั่นใจมาจากไหน ตอนนี้เซี่ยอันน่าขยาดนายจะตาย นี่นายจะปกป้องเธอ หรือไล่เธอกันแน่”
“เซี่ยอันน่าขยาดฉันได้ยังไง ความสัมพันธ์ของพวกเราดีจะตาย”
เย่ชวูเสวียส่ายหัวเล็กน้อย “นี่มองไม่ออกจริงๆหรือ”
“เธอ….”
หนานกงเจารู้ดีว่าเย่ชวูเสวียน่าจะมีแผนไว้ในใจ จึงพูดแทรกขึ้นว่า “ลองฟังแผนของเย่ชวูเสวียดูก่อน”
เสี่ยวอวี้หลินตอบกลับว่า “ยัยนี่จะมีแผนอะไรดีๆ”
ถึงแม้จะพูดไปแบบนั้น แต่เขาก็ตั้งตารอเย่ชวูเสวียพูดอย่างใจจดใจจ่อ
“เย่ชวูเสวียยิ้มมุมปาก และพูดขึ้นว่า “เรื่องดูแลอันน่าอย่างใกล้ชิด ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง”
เสี่ยวอวี้หลินรีบพูดขึ้นว่า “ฉันจะเชื่อใจเธอได้อย่างไร แม้กระทั่งตัวเองยังดูแลไม่ได้ แล้วจะไปปกป้องคนอื่นได้อย่างไร?”
เมื่อนึกถึงเรื่องในอดีตได้ เธอก็รู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย พูดแก้ตัวไปว่า “มันก็แค่อุบัติเหตุ ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่ได้เรื่อง อีกอย่าง นายลืมไปแล้วหรือว่าฉันเป็นลูกสาวของใคร เป็นน้องสาวของใคร ยังไงซะพวกมันก็ต้องเกรงกลัวบ้างแหละ”
เย่ชวูเสวียพูดก็จริง ในโลกนี้ไม่มีใครไม่รู้จักแบ็คของเธอ
แต่ก็มีคนหนึ่งที่ได้รับการยกเว้น
เขาคือพี่หก ผู้ที่ไม่เคยเกรงกลัวอะไร ทำทุกอย่างโดยไม่สนใจโลก เสี่ยวอวี้หลินคิดได้ดังนั้นก็รู้สึกไม่ว้าวุ่นใจ รีบตอบกลับว่า
“ไม่ได้ เรื่องนี้จะให้เธอมาจัดการไม่ได้”
เย่ชวูเสวียถามอย่างหัวเสียว่า “ทำไมไม่ได้?”
“ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ไม่มีเหตุผล”
“เอาแต่ใจตัวเองที่สุด!”
“แล้วแต่เธอจะคิด”
“สารเลว…”
หนานกงเจารีบพูดแทรกขึ้นว่า “เขายืนยันว่าจะทำ ก็ให้เขาจัดการเถอะ อย่างไรซะการปกป้องผู้หญิงของตัวเอง ก็เป็นสิ่งที่เขาควรจะทำ”
เย่ชวูเสวียตอบกลับว่า “ใครบอกว่าอันน่าเป็นผู้หญิงของเขา อันน่ายังไม่ยอมรับเลย”
“เอาล่ะๆ คุณก็เลิกไปเหน็บแนมเขาได้แล้ว ผู้หญิงที่ชอบอย่ข้างกายแท้ๆ แต่ยังถูกเข้าใจผิด ความรู้สึกนี้ก็แย่พอแล้ว ผมเข้าใจดี”
เย่ชวูเสวียได้ยินแบบนั้น ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรต่อ
จากนั้นเธอก็พูดขึ้นว่า” ก็ได้ ฉันยอมให้นายจัดการก็ได้ แต่ถ้าเซี่ยอันน่าไม่โอเค นายก็ห้ามฝืน แล้วให้ฉันเป็นคนทำแทน โอเคไหม?”
“ไว้ใจได้ จะไม่มีปัญหานี่เกิดขึ้น”
พูดจบ เขาก็เปิดประตูและเดินลงจากรถ
เย่ชวูเสวียมองตามแผ่นหลังของเขาและพูดว่า “ตานี่ อวดดีจริงๆ”
หนานกงเจาจึงพูดต่อว่า “ดูเหมือนว่าไม่ว่าใคร เวลาตามหารักแท้ ก็มักจะเต็มไปด้วยขวากหนาม”
เย่ชวูเสวียจึงหันไปถาม “นี่นายกำลังบ่นหรือท”
“เปล่า ผมแค่ดีใจ ที่ผมหารักแท้ของผมเจอเร็ว”
หนานกงเจาพูดจบ ก็กอดเย่ชวูเสวียแน่น ทำเอาเย่ชวูเสวียแทบจะละลาย
เธอยิ้มอย่างชอบอกชอบใจในอ้อมกอดนั้น
……………..
เมื่อบทของเธอถ่ายจบ เซี่ยอันน่าก็ตัดสินใจกลับมหาวิทยาลัย
แต่เพราะชื่อของเสี่ยวอวี้หลิน ทำให้ก่อนเธอจะกลับ ผู้คนต่างก็มอบดอกไม้ มอบของให้เธอเต็มไปหมด จนเซี่ยอันน่ารู้สึกอึดอัด
ในที่สุดเธอก็บอกลาทุกคนได้สำเร็จ เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นเดินออกไป เตรียมจะเรียกรถกลับ
ทันใดนั้น ก็มีรถสีดำมาจอดด้านหน้าเธอ
กระจกรถค่อยๆเลื่อนลง และคนที่อยู่ในรถคือเสี่ยวอวี้หลิน “ขึ้นรถซิ”
เซี่ยอันน่าเดินถอยหลังด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เซี่ยอันน่ายืนรอรถอยู่ครู่ใหญ่ แต่ไม่มีแท็กซี่คันไหนจอดรับเพราะมีรถหรูจอดเทียบอยู่ เธอยืนตากแดดจนหน้าแดง
เสี่ยวอวี้หลินเห็นแบบนั้น จึงพูดขึ้นว่า “ขึ้นรถเถอะ เดี๋ยวก็ดำหรอก”
“ไม่”
“แต่เธอเรียกรถไม่ได้แบบนี้ เธอก็ให้ฉันไปส่งก็จบ”
“นายก็รู้ว่าฉันเรียกรถไม่ได้ นายก็หลบไปไหลๆหน่อยได้ไหม”
“ไม่ได้”
เซี่ยอันน่าได้ยินแบบนั้นก็ควันออกหู
โอเค นายไม่ไป งั้นฉันไปเอง!
เซี่ยอันน่าค่อยๆเดินไปข้างหน้า โดยที่เสี่ยวอวี้หลินตามอยู่ข้างหลัง
วันนี้ปกติก็ร้อนอยู่แล้ว แต่เพราะเซี่ยอันน่าต้องแบกของพวกนี้อีก ทำให้เธอเหงื่อไหลออกมาไม่หยุด รู้สึกตัวเหนียวๆ ไม่สบายตัวเอาซะเลย
ยิ่งเห็นเสี่ยวอวี้หลินตามมา เธอยิ่งอารมณ์เสีย
หันหลังไปถามว่า “นายจะตามไปถึงเมื่อไหร่!?”
“ถึงตอนที่เธอให้ฉันไปส่ง”
“แล้วถ้าฉันไม่ยอมล่ะ?”
“ก็กลับไปด้วยกันแบบนี้แหละ”