วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 467 ฉีฉีได้รับบาดเจ็บ
ฉีฉียกมือขึ้นมาโอบไหล่เซี่ยอันน่าและพูดว่า “ไปพวกเราไปหาอะไรอร่อยๆกินฉลองกันดีกว่า”
“นี่ ไม่ใช่มั้ง”
“ฉันจริงจังนะ จากนี้ก็ไม่ต้องเจอคนเลวหนึ่งคนแล้ว ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีรึไง”
“แต่ถ้าโดนไล่ออกแล้ว วู่จิ่งก็ประวัติด่างพร้อยนะ”
ฉีฉียักไหล่อย่างไม่สนใจและพูดว่า “ใครทำอะไรไว้ก็ต้องรับกรรมของตัวเอง ถ้าเธอไม่ลอกข้อสอบ จะโดนลงโทษได้ยังไง จะมีใครทำอะไรเธอได้ ไปเถอะไม่ต้องคิดอะไรแล้ว”
ฉีฉีอยากกินหม่าล่า จึงลากเซี่ยอันน่าไปถนนข้างโรงเรียนเพื่อซื้อกิน
ตอนนี้เป็นตอนเที่ยง คนจึงเยอะและคึกคักมาก
ฉีฉีมองไปทั่วร้าน ก่อนจะชี้ไปข้างหน้าและพูดว่า “ตรงนั้น รีบไปเถอะ เดี๋ยวมีคนแย่งที”
ฉีฉีเบียดตัวเข้าไป ในที่สุดก็แย่งโต๊ะสุดท้ายมาได้
เธอหยิบเมนูขึ้นมาและพูดยิ้มๆ “วันนี้อารมณ์ดี สั่งเยอะหน่อย”
เธอเรียกพนักงานมาสั่งอาหารเยอะมาก สั่งมาเผื่อเซี่ยอันน่าด้วย
เซี่ยอันน่าจิบน้ำมองไปที่ฉีฉี
ทุกครั้งที่มาร้านอาหาร เซี่ยอันน่าแค่นั่งนิ่งๆก็พอ ที่เหลือฉีฉีจัดการเอง
อาหารมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว ฉีฉีนั่งเท้าคาง และยังพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาอยู่
ฉีฉีใส่ใจเซี่ยอันน่ามาก ใครที่ไม่ดีต่อเธอ ฉีฉีก็รู้สึกไม่ชอบเช่นกัน
ความใส่ใจนี้ทำให้เซี่ยอันน่ารู้สึกอบอุ่นมาก
แต่ในใจของเซี่ยอันน่าก็ยังรู้สึกมีคำถาม
ถ้ามีเวลาว่างเธอจะต้องโทรหาเสี่ยวอวี้หลินถามให้เข้าใจ
ทั้งสองคนอีกคนพูดไม่หยุด ส่วนอีกคนก็นั่งนิ่ง ก่อนจะมีคนค่อยๆเดินเข้ามา
สายตาของคนคนนั้นดูเกลียดชังมาก พร้อมจะทำลายล้างทุกอย่าง
ฉีฉีเงยหน้าขึ้นมาทันเห็นสายตามุ่งร้ายของวู่จิ่งกำลังมองไปที่เซี่ยอันน่าพอดี
ทันใดนั้นวู่จิ่งก็ยกค้อนขึ้นมาเตรียมจะทุบไปที่เซี่ยอันน่า
“เซี่ยอันน่าแกไปตายซะเถอะ”
“เซี่ยอันน่าระวัง”
ฉีฉีรีบวิ่งไปบังเซี่ยอันน่าตามสัญชาตญาณ
เซี่ยอันน่ายังไม่ทันรู้ตัวก็ได้ยินเสียงอื้อๆ ก่อนที่เสียงคนรอบข้างจะดังขึ้นมา
เลือด เลือดเยอะมาก
เธอเห็นเลือดไหลออกมาจากหน้าผากของฉีฉีไม่หยุด
วู่จิ่งเหมือนเป็นบ้าไปแล้ว เธอไม่สนใจว่าใครจะได้รับบาดเจ็บ เธอตีไปทั่ว
เลือดไหลลงมาบนมือของเซี่ยอันน่า ความร้อนของมันราวกับเหล็กไม่มีผิด ทำให้เธอกลับมามีสติอีกครั้ง
เธอยกขาขึ้นเตะท้องของวู่จิ่งเพื่อปกป้องฉีฉี และตะโกนว่า “นังบ้า ไสหัวออกไป”
วู่จิ่งเสียสติไปแล้วจึงไม่ฟังคำพูดของเซี่ยอันน่า เธอยกค้อนขึ้นมาเตรียมจะพุ่งเข้ามาอีกครั้ง
ทันใดนั้นคนรอบข้างก็เข้ามาช่วยหยุดวู่จิ่งไว้ ทุกคนแย่งค้อนไป และควบคุมเธอไว้
แต่วู่จิ่งก็ยังคงตะโกนใส่เซี่ยอันน่า ราวกับจะฝ่าออกมาให้ได้
เซี่ยอันน่าไม่สนใจวู่จิ่งเลย เธอรีบกดแผลของฉีฉีไว้ และตะโกนใส่คนข้างๆว่า “เรียกรถพยาบาล ช่วยเรียกรถพยาบาลให้หน่อย”
ภายใต้ความโกลาหลก็มีคนโทรให้ เธอรออย่างยากลำบาก
เซี่ยอันน่าสมองว่างเปล่า เธอร้องไห้มองไปที่ฉีฉี สีหน้าที่มีชีวิตชีวาของเธอตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีขาวแล้ว
“ฉีฉีอย่าเป็นอะไรไปนะ”
เธอรีบมาโรงพยาบาลพร้อมกับรถพยาบาล ฉีฉีถูกส่งตัวเข้าไปในห้องฉุกเฉิน เซี่ยอันน่าจึงรออยู่ข้างนอกอย่างวุ่นวายใจ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ข้างหลังก็มีเสียงคนดังขึ้น
“เซี่ยอันน่าเกิดอะไรขึ้น ฉันได้ยินว่าเธอโดนทำร้ายหรอ”
หลังจากรับสายโทรศัพท์ เสี่ยวอวี้หลินก็รีบมาทันที เมื่อเห็นว่าเซี่ยอันน่าไม่เป็นอะไรเขาถึงสบายใจขึ้นมา
เซี่ยอันน่าก้มหน้าลง ร้องไห้น้ำตาใหล “วู่จิ่งเป็นคนทำ”
“ดีที่คุณไม่เป็นอะไร ไม่อย่างนั้นผมจะไปถลกหนังมัน”
แต่เซี่ยอันน่าก็รู้สึกตระหนกมาก เธอพูดทั้งดวงตาแดงก่ำว่า “ฉันไม่เป็นไรแต่ฉีฉีเป็น เธอเข้ามาช่วยฉันจากวู่จิ่ง ไม่อย่างนั้นคนที่อยู่ในนั้นก็คือฉัน”
เมื่อคิดถึงฉากเมื่อกี้ เซี่ยอันน่าก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นขึ้นมา
เมื่อเห็นเซี่ยอันน่าอยู่ในสภาพนี้ เสี่ยวอวี้หลินก็รู้สึกเสียใจมาก เขาทุบเก้าอี้และพูดว่า “ยัยนั่นไม่สมควรมีชีวิตอยู่”
เซี่ยอันน่าไม่มีเวลามาโทษใคร ตอนนี้เธอขอเพียงแค่ว่าให้ฉีฉีปลอดภัย
เธอเข้าไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง สิ่งนี้ทำให้เซี่ยอันน่าวุ่นวายใจมาก
เซี่ยอันน่าเงยหน้าไปมองเสี่ยวอวี้หลินและพูดว่า “ทำยังไงดี ฉีฉีจะเป็นยังไงบ้าง”
“ใจเย็นๆเถอะ ก่อนมาที่นี่ผมหาหมอที่ดีที่สุดมาช่วยฉีฉีแล้ว”
“เซี่ยอันน่าพูดทั้งน้ำตา เพราะฉีฉีช่วยฉันจึงได้เป็นอย่างนี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฉีฉี ฉันก็จะกลายเป็นคนบาป ฉันจะไม่ให้อภัยตัวเองเลยตลอดชีวิต”
เขาจับไหล่เซี่ยอันน่าอย่างทุกข์ใจ พร้อมพูดอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องร้อง มีผมอยู่”
เซี่ยอันน่าพิงไหล่ของเสี่ยวอวี้หลินร้องไห้จนเสื้อชุ่มไปด้วยน้ำตา “ทำไมคนดีๆต้องมาเจออย่างนี้อยู่เรื่อย ไม่ยุติธรรมเลย พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ทำร้ายคนอื่น ทำไมพวกเราต้องทนทุกข์ทรมานอย่างนี้”
เสี่ยวอวี้หลินฟังเซี่ยอันน่าเงียบๆไม่ได้พูดอะไรออกไป เขากอดเธอให้ความอบอุ่นและให้ความแข็งแกร่งแก่เธอ เพื่อให้เธอค่อยๆสงบลง
ผ่านไปอีกพักหนึ่ง ก็มีคนออกมาจากห้องฉุกเฉิน
เซี่ยอันน่ารีบตรงเข้าไปถาม “หมอคนป่วยเป็นยังไงบ้าง”
“คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้ว ตอนเย็นพวกคุณก็สามารถไปเยี่ยมได้”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นเซี่ยอันน่าก็ยิ้มออกมาทันที “ขอบคุณค่ะ”
ฉีฉีไม่เป็นอะไร เซี่ยอันน่าเป็นคนที่มีความสุขที่สุด
“ตอนบ่ายถึงจะมาเยี่ยมได้พวกเราไปกินข้าวกันก่อนเถอะ”
พูดจบเสี่ยวอวี้หลินก็จับมือเซี่ยอันน่าเดินไป
ตอนนี้เซี่ยอันน่าเหมือนฝันไม่มีผิด เธอยังคิดถึงเรื่องของฉีฉีอยู่ จึงไม่รู้ว่าใครมาดึงมือเธอไป
จนเมื่อมาถึงร้านอาหารเธอถึงได้สติกลับมา
“ตอนนี้คุณอาจจะไม่มีอารมณ์กิน แต่ก็ต้องกินหน่อย ไม่งั้นร่างกายจะรับไม่ไหว ฉีฉียังต้องได้รับการดูแลจากคุณ คุณอย่าพึ่งเป็นอะไรไป”
เสี่ยวอวี้หลินพูดพลางคีบอาหารให้เซี่ยอันน่าไปด้วย
แค่ช่วงเวลาสั้นๆเธอก็รู้สึกเหนื่อยมาก
“คุณคีบน้อยหน่อย ฉันกินไม่ไหวแล้ว”
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ว่าเธอก็กินเร็วมาก
ตอนแรกเธอก็กินแค่เล็กน้อย แต่เพราะเธอเพิ่งร้องไห้มา และใช้พลังงานไปไม่น้อย ดังนั้นตอนนี้เธอจึงหิวมาก
เพราะรู้สึกสบายใจเธอจึงกินไม่หยุด
เมื่อเห็นเซี่ยอันน่าราวกับเป็นกระรอกน้อย กินไม่หยุด เสี่ยวอวี้หลินก็วางตะเกียบลง และตั้งใจมองเธอ
เมื่อเธอถูกจ้องจึงพูดว่า “อวี้หลินคุณก็กินสิ ของเยอะขนาดนี้ฉันกินไม่หมด”
“ก่อนมาผมกินแล้ว คุณค่อยๆกินเถอะผมมองคุณก็พอ”
พูดจบเขาก็เอามือสองข้างยกขึ้นมาเท้าคาง และมองเธออย่างอบอุ่น
“แต่มองฉันอย่างนี้ฉันกินไม่ลงนี่นา”
“ทำไมถึงกินไม่ลง หลงเสน่ห์ผมหรอ”
เซี่ยอันน่าหมดคำจะพูด ผู้ชายคนนี้ปกติไม่ถึงสามนาทีจริงๆ
ช่างเถอะ ขี้เกียจสนใจเขาแล้ว เดี๋ยวยังมีเรื่องที่ต้องทำ ไม่มีเวลาช้าต่อไปแล้ว
เซี่ยอันน่ารีบกินข้าว เธอตั้งใจว่าหลังกินข้าวเสร็จจะไปเตรียมของมานอนเฝ้าฉีฉีที่โรงพยาบาล
เมื่อเห็นเซี่ยอันน่ากินไปคำใหญ่เขาจึงยื่นน้ำไปให้และพูดว่า “กินช้าๆหน่อย ผมไม่ได้จะแย่งคุณสักหน่อย”
“ฉันรีบนี่นา”
“รีบไปไหน”
“ไปเตรียมของที่ฉีฉีต้องใช้น่ะสิ”
“ไม่ต้องกังวล ของพวกนี้มีคนไปเตรียมแล้ว คุณแค่ต้องไปนั่งคุยกับฉีฉีแก้เบื่อเท่านั้น”
เธอเงยหน้าขึ้นไปถามเสี่ยวอวี้หลิน “เรื่องพวกนี้คุณก็จัดการเสร็จแล้วหรอ”
“ใช่ ซึ้งใจใช่ไหมล่ะ ผมบอกแล้วถ้ามีผมคุณก็ไม่ต้องกังวลอะไร”
เสี่ยวอวี้หลินทำท่าทะนงตัว รอให้เซี่ยอันน่าซึ้งจนน้ำตาใหล
แต่เซี่ยอันน่านิ่งสงบมาก เธอมองเสี่ยวอวี้หลินและพูดว่า “งั้นคุณคิดจะเอาคืนวู่จิ่งยังไง”
เมื่อพูดถึงวู่จิ่งสายตาของเสี่ยวอวี้หลินก็ดุดันขึ้น
“ผมให้โอกาสผู้หญิงคนนั้นแล้ว แต่เธอยังไม่สำนึกบุญคุณ แล้วยังคิดจะมาทำร้ายคุณอีก ผมจะไม่วางมือแล้ว”
ดวงตาของเซี่ยอันน่าหม่นลง เธอพึมพำกับตัวเองว่า “คุณเป็นคนทำจริงๆด้วย”
เสี่ยวอวี้หลินฟังไม่ชัดจึงถาม “อะไรนะ”
เซี่ยอันน่าเงยหน้าขึ้นมามองเสี่ยวอวี้หลิน และพูดอย่างจริงจัง “เสี่ยวอวี้หลินฉันว่าคุณทำมากพอแล้ว”
“คุณไม่ต้องรู้สึกว่ารบกวนผม ผม….”
“ฉันไม่ต้องการ”
ยังไม่ทันที่เสี่ยวอวี้หลินจะพูดจบ เซี่ยอันน่าก็ตัดบทสนทนาของเขา
เสี่ยวอวี้หลินตะลึง คิดว่าตัวเองฟังผิดไป
และคำพูดต่อไปของเซี่ยอันน่าก็ทำให้เขารู้ว่าตัวเองทำอุกอากไปแค่ไหน
“ถ้าคุณไม่บีบวู่จิ่งไปจนถึงทางตัน เธอก็คงไม่ทำอะไรบ้าๆแบบนี้ คุณช่วยฉันอยู่จริงๆหรอ”
หลังจากตะลึงไปชั่วครู่ เสี่ยวอวี้หลินก็พูดอย่างไม่ปฏิเสธ “ใช่ เพราะผมฟังคุณมากเกินไปผมจึงไม่ได้กำจัดวู่จิ่ง ถึงได้ปล่อยให้เธอมาทำร้ายฉีฉี ถ้าผมทำร้ายแรงกว่านี้ ก็คงไม่เกิดอะไรขึ้นกับฉีฉี”
“ระหว่างเพื่อนกับศัตรู เราจำเป็นต้องฆ่าศัตรูหรอ ถึงจะทำให้เพื่อนอยู่อย่างสงบได้”
“งั้นคุณคิดว่าจะทำยังไงล่ะ หวังให้วู่จิ่งร้องไห้ ขอให้คุณให้อภัยหรอ หลังจากนั้นทุกคนก็จะมีความสุข สิ่งนี้มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าวู่จิ่งรู้จักสงบ เธอคงไม่มาจนถึงจุดนี้อย่างทุกวันนี้”
เซี่ยอันน่าพูดไม่ออก
“เรื่องพวกนี้ผมจะจัดการต่อเอง ผมจะไม่มีทางอ่อนข้อให้เพราะความใจอ่อนของคุณ คุณคิดดูดีๆนะ ถ้าเรายอมถอยออกมา ก็มีแต่ทำร้ายตัวคุณกับคนรอบตัวคุณเท่านั้น”
เซี่ยอันน่าคิดตามคำพูดของเสี่ยวอวี้หลินเงียบๆด้วยความสับสน
…..
ฉีฉียังเป็นวัยรุ่นอยู่ ดังนั้นจึงฟื้นตัวได้เร็วมาก วันถัดไปเธอก็สามารถกินข้าวได้พูดคุยได้
เซี่ยอันน่ายังคงรู้สึกผิดอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ฉีฉีคงไม่ต้องมานอนอยู่อย่างนี้
แต่ฉีฉีกลับรู้สึกว่านี่ไม่เกี่ยวกับเซี่ยอันน่าเลย คนที่ทำร้ายเธอคือวู่จิ่ง วู่จิ่งต่างหากที่เป็นคนผิด
และตอนนี้ก็ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไร ไม่ได้สมองเสื่อม ไม่ได้โง่ขึ้น แผลบนหน้าผักก็สามารถไปศัลยกรรมได้ ไม่มีทางทิ้งรอยแน่นอน
ฉีฉีมองโลกในแง่ดีและยังปลอบใจเซี่ยอันน่าไม่ให้คิดมาก
บางเรื่องถ้าเซี่ยอันน่าไม่คิด ก็สามารถคิดว่ามันไม่เกิดขึ้นก็ได้
อย่างเช่นวู่จิ่ง
เซี่ยอันน่าแน่ใจว่าเสี่ยวอวี้หลินต้องจัดการวู่จิ่งอย่างหนักแน่ วู่จิ่งคงมีจุดจบที่น่าอนาถ
ถึงจะรู้อย่างนั้นเซี่ยอันน่าก็ไม่ทำอะไร นี่ดูโหดร้ายเกินไปหรือเปล่า
แต่ถ้าเธอช่วยวู่จิ่ง แล้วฉีฉีล่ะ ยังไงวู่จิ่งก็ไม่คิดดีกับเธออยู่แล้ว
นี่มันช่างขัดแย้งกันจริงๆ
“เซี่ยอันน่า”
เซี่ยอันน่าดึงสติกลับมามองไปที่ฉีฉีบนเตียง และถามอย่างงงงวยว่า “มีอะไร”
ฉีฉีถาม “เธอคิดอะไรอยู่ ฉันเรียกเธอหลายรอบแล้วก็ไม่ตอบ”
“ขอโทษเมื่อกี้ฉันเหม่อ เรียกฉันมีอะไร”
“ฉันหิวน้ำ เทน้ำให้หน่อย”
“รอแป๊บนึงฉันจะไปเอามาเดี๋ยวนี้” เซี่ยอันน่ารีบไปเทน้ำส่งให้ฉีฉี พร้อมช่วยป้อนเธอทีละคำ
“เป็นไงบ้าง รู้สึกดีขึ้นมาหรือยัง”
ฉีฉีพยักหน้าบอกให้เซี่ยอันน่าวางแก้วลงได้แล้ว
ฉีฉีมองเสี้ยวหน้าของเซี่ยอันน่าและถาม “เมื่อกี้เธอคิดอะไรอยู่”
“ไม่มีอะไร”
ฉีฉีหรี่ตามอง “เธอมีไม่มีอะไรทำไมฉันจะดูไม่ออก บอกมาทะเลาะกับเสี่ยวอวี้หลินใช่ไหม”
“เธอพักผ่อนเถอะ อย่าคิดแต่อะไรไร้สาระ”
“ก็เพราะว่ารักษาตัวอยู่ไงสมองถึงได้โล่งอย่างนี้ จึงมองทุกอย่างได้อย่างละเอียด สองวันมานี้เสี่ยวอวี้หลินมาที่โรงพยาบาลทั้งๆที่ไม่มีอะไร ถึงจะบอกว่าเอาผลไม้มาให้ แต่ที่จริงหาโอกาสเจอหน้าเธอมากกว่า”
“ฉันว่านะ ผู้ชายอย่างเสี่ยวอวี้หลินยอมทำอย่างนี้ให้เธอได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว แถมเธอก็ชอบหนิ ก็ตอบตกลงเขาไปสิ”
เซี่ยอันน่าปากแข็ง “ฉันไม่ได้ใจสั่นสักหน่อย”
“เซี่ยอันน่าเธอโกหก จมูกยาวแล้วนะ”
“ฉันไม่ได้ใจสั่นซักหน่อย”
“งั้นใครนะเอาแต่มองตามหลังเสี่ยวอวี้หลินไปจนสุดสายตา”
“ฉีฉี ป่วยอยู่ก็ไม่สามารถหยุดความเผือกเธอได้ ผู้ชายหล่อๆไม่ชอบผู้หญิงพูดมากหรอก”
เมื่อเห็นท่าทางของเซี่ยอันน่า ฉีฉีจึงไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ต่อ เธอยิ้มและพูดว่า “พอฉันแทงใจดำเข้าหน่อยก็อายแล้วหรอ”
เซี่ยอันน่าหันหลังไปปอกผลไม้เพราะไม่อยากสนใจฉีฉี
เมื่อกรอกเสร็จก็เอามาให้ฉีฉีที่เตียง พลางเหม่อมองเธอที่กำลังกินคำใหญ่อยู่
ผ่านไปพักใหญ่เซี่ยอันน่าก็พูดว่า “ฉีฉีเธอเกลียดวู่จิ่งไหม”
ฉีฉีกินแอปเปิ้ลแล้วพูด “เกลียดจนพูดไม่ออก ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ฉันคงไม่ต้องมานอนอยู่ที่นี่หรอก”
ดังนั้นเธอยังติดใจอยู่ใช่ไหม”
“แน่นอนสิ”
“ถ้าฉันขอให้เธอให้อภัยล่ะ”
ฉีฉีรีบส่ายหน้า “ให้อภัยหรอ เป็นไปไม่ได้ ฉันไม่ได้ใจดีขนาดนั้น”