วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 485: จงใจทำให้เรื่องมันยุ่งยาก
เซี่ยอันน่ารู้สึกอึดอัดมากที่เสี่ยวอวี้หลินนอนทับอยู่แบบนี้
เธอผลักเสี่ยวอวี้หลินด้วยแรงทั้งหมดที่มี แต่เธอไม่สามารถผลักออกได้เลย
ทำไมผู้ชายคนนี้ตัวหนักจัง …
เซี่ยอันน่าไม่รู้จะทำยังไงจึงพูดว่า “ออกไปจากตัวฉัน!”
ยิ่งเธอพูดแบบนี้เสี่ยวอวี้หลินยิ่งกอดแน่นมากขึ้น
ในตอนนี้เขาเหมือนเด็กที่ทำของเล่นหายน้ำเสียงของเขาเหมือนเด็กขี้ฟ้อง”ทำไมคุณถึงใส่ใจกับทุกสิ่งทุกอย่างแต่กลับไม่ยอมให้ใจของคุณกับผม หรือผมไม่มีคุณค่าพอที่จะให้คุณเชื่อถือได้?”
คำพูดของเสี่ยวอวี้หลินทำให้เซี่ยอันน่าใจเย็นลง
เสี่ยวอวี้หลินกระซิบเบาๆที่ข้างหูเซี่ยอันน่า”คุณหาทางหนีทีไล่ให้ตัวเอง เป็นเพราะคุณไม่ได้รักผมมากพอใช่หรือไม่? ต้องให้ผมควักหัวใจออกมาให้คุณดูใช่ไหมถึงจะพอใจ ?เซี่ยอันน่าคุณมันร้ายกาจจริงๆ”
เซี่ยอันน่าพูดพึมพำ “เสี่ยวอวี้หลินคุณเมาแล้ว”
“ใช่ เมาแล้วคุณถึงจะดูถูกผมได้ แต่คุณกลับไม่สามารถทำอะไรได้”
“ฉันไม่คุยกับคุณแล้ว ขอตัวไปอาบน้ำนอนก่อนแล้วกัน มีอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้เช้า
เซี่ยอันน่าขยับตัวและกำลังจะลุกขึ้นยืน
แต่โดนเสี่ยวอวี้หลินคว้าตัวมานอนกอดไว้แน่น เขาทำตัวราวกับเป็นเด็กน้อย “ผมไม่อาบน้ำและผมก็ไม่นอนด้วย”
“แต่กลิ่นตัวคุณเหม็นมากนะ”
“เซี่ยอันน่า คุณรังเกียจว่าตัวผมเหม็นเหรอ งั้นผมจะให้คุณดมกลิ่นเหม็นๆนี้ไปทั้งคืนเลย”
พอพูดจบ เสี่ยวอวี้หลินก็เอาตัวคุมทับลงไปบนตัวเซี่ยอันน่า ราวกับว่าเขาเป็นหมึกสาย
ตอนนี้เซี่ยอันน่าแทบจะร้องไห้
“ขอร้องล่ะ คุณอย่าทำตัวปัญญาอ่อนแบบนี้ได้ไหม”
คำตอบที่เซี่ยอันน่าได้รับคือเสียงหายใจที่สม่ำเสมอ
บ้าไปแล้ว——
เซี่ยอันน่ามองไปที่เพดานด้วยความสิ้นหวัง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น——
เมื่อคืนเสี่ยวอวี้หลินนอนหลับสบายมากและรู้สึกว่าที่นอนนุ่มและมีกลิ่นหอมมาก
ร่างหนึ่งกลิ้งไปมาบนเตียง
ทันใดนั้นก็ทำให้เสี่ยวอวี้หลินตื่นขึ้นมา เขาหันศีรษะมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าที่มึนงง
“สวัสดีตอนเช้า เสี่ยวอวี้หลิน!”
เสียงของผู้หญิงที่แสนนุ่มนวลทำให้เสี่ยวอวี้หลินหันศีรษะไปมองที่ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆเขา
เซี่ยอันน่า!?
ณ เวลานี้เซี่ยอันน่านอนหงายอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าที่น่าสงสารและขอบตาของเธอคล้ำราวกับขอบตาหมีแพนด้า
เสี่ยวอวี้หลินชี้ไปที่ขอบตาของเซี่ยอัน่า”ทำไมขอบตาของคุณถึงคล้ำขนาดนี้?”
เซี่ยอันน่าตบลงไปบนมือของเสี่ยวอวี้หลินที่กำลังชี้อยู่ “คุณยังกล้าถาม! มันเป็นสิ่งที่คุณทำทั้งหมด !!”
“ผม? ผมทำอะไรเหรอ?”
เมื่อเห็นเสี่ยวอวี้หลินจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ เซี่ยอันน่าก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้า
“เสี่ยวอวี้หลินอย่าบอกนะว่าคุณจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้”
“ผมจำไม่ได้จริงๆ ผมทำอะไรลงไปเหรอ?”
“คุณไปดื่มเหล้าที่บาร์เหล้าและก็ไปมีเรื่องชกต่อยกับชาวบ้านเขายังไงละ บ้านตัวเองมีก็ไม่กลับมาเป็นภาระที่ห้องฉันเนี่ย ยิ่งไปกว่านั้นน้ำก็ไม่ยอมอาบแถมกลิ่นตัวเหม็นเกินจะทน!!”
เซี่ยอันน่ายิ่งพูดยิ่งรู้สึกโกรธ จนต้องลุกขึ้นมานั่ง
ถ้าไม่ใช่เพราะแขนที่ขยับยาก เธออาจจะต้องจัดการกับเสี่ยวอวี้หลินอย่างแน่นอน
เสี่ยวอวี้หลินค่อยๆนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ทั้งโกรธทั้งทำอะไรไม่ถูก
“เซี่ยอันน่า จุดโฟกัสของคุณดูแปลกๆ คุณจะไม่ถามผมสักหน่อยหรือว่าทำไมผมถึงเมา?”
“แล้วทำไมคุณถึงเมา?”
“คุณคิดเอาเองเถอะ!”
หลังจากพูดจบเสี่ยวอวี้หลินก็ยืนขึ้นอย่างเย่อหยิ่งแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ
เมื่อมองไปที่ประตูห้องน้ำที่ปิดอยู่เซี่ยอันน่าไม่รู้จะโกรธหรือหัวเราะดี
” เหอะ ผู้ชายคนนี้ตัวเองทำเรื่องเลวๆ ยังมีหน้ามาโกรธ น่าเกลียดจริงๆ!”
ฉีฉีนอนหลับสบายทั้งคืนหลังล้างหน้าแปรงฟันออกมา ก็พบเจอใบหน้าของเสี่ยวอวี้หลินที่บูดบึ้งไม่มีรอยยิ้มสภาพเหมือนคนชรานั่งอยู่บนโซฟา
เซี่ยอันน่ากำลังนั่งลูบมือตัวเองเล่น ดูเหมือนว่าเธอกำลังเอวเคล็ด ขยับแต่ละทีดูยากลำบาก
สองคนนี้ไม่ใช่ว่าเมื่อคืนสู้รบกันอย่างดุเดือดทั้งคืนนะ ……
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ฉีฉีก็ตกใจและรู้สึกว่าเธอควรจะออกจากสถานที่นี้โดยเร็วที่สุด
“เอ่อ ฉันจะไปโรงเรียนและจะกลับมาดึกหน่อย ถ้ามีปัญหาอะไรคุยกันดีๆนะ”
หลังจากนั้นฉีฉีก็ส่งซิกให้เซี่ยอันน่าแล้วรีบเดินออกไป
“ฉีฉี เธอยังไม่ได้ทานอาหารเช้าเลย!”
“ฉันยังไม่หิวอะ”
ฉีฉีพูดด้วยเสียงเบาๆแล้วก็รีบปิดประตูเดินออกไป ในห้องจึงเหลือเพียงเสี่ยวอวี้หลินและเซี่ยอันน่าเท่านั้น
บรรยากาศดูแปลก ๆ ……
หลังจากหายใจเข้าลึกๆ เซี่ยอันน่าก็หันศีรษะไปจ้องไปที่เสี่ยวอวี้หลินและถามด้วยน้ำเสียงที่ดี “มาคุยกัน สรุปคุณต้องการอะไร?”
เสี่ยวอวี้หลินนั่งกอดอกและพูดแบบออกคำสั่งว่า: “ไม่ใช่ว่าผมต้องการอะไร แต่คุณต้องขอโทษผม”
“ช่างเป็นเรื่องตลกจริงๆ คุณเป็นคนเมาเอง คุณเป็นคนมีเรื่องชกต่อยเองและคุณเป็นคนที่ทำให้ฉันนอนไม่หลับทั้งคืนทำไมฉันต้องขอโทษ!”
“แต่คนที่ทำร้ายหัวใจผมก็คือคุณ!”
เอ่อ……
ผู้ชายคนนี้กำลังต้องการทะเลาะหรือทำตัวงอนเหมือนเด็กกันนะ?
เนื่องจากคำพูดง่ายๆของอีกฝ่ายก็ทำให้เซี่ยอันน่ามีท่าทีอ่อนลงบ้าง”ใครทำร้ายคุณ เห็นได้ชัดว่าคุณเป็นคนใจแคบ”
เมื่อเห็นว่าเซี่ยอันน่าไม่ยอมขอโทษเสี่ยวอวี้หลินเลยพูดว่า: “เยี่ยม คุณยังไม่ได้ตระหนักถึงความผิดของคุณเลย เซี่ยอันน่าผมให้โอกาสคุณแล้วแต่คุณไม่รู้จักรักษามันไว้!”
หลังจากพูดจบเสี่ยวอวี้หลินก็ลุกขึ้นเตรียมตัวออกไปจากอพาร์ทเมนท์แห่งนี้
“เสี่ยวอวี้หลิน”
เซี่ยอันน่าเรียกเสี่ยวอวี้หลินไว้มันทำให้เขารู้สึกใจอ่อนลง
ในความเป็นจริงเขาไม่ต้องการทะเลาะกับเซี่ยอันน่า ตราบใดที่เซี่ยอันน่าพูดอะไรดีๆและปลอบประโลมเขา เขาก็สามารถทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เขาหันไปมองเซี่ยอันน่าแล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนโดยไม่รู้ตัว”คุณต้องการอะไร?”
สีหน้าของเซี่ยอันน่าดูสงบและพูดด้วยความจริงใจ: “ตอนที่คุณกำลังโกรธอย่าดื่มเหล้าหรือสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น”
ริมฝีปากของเสี่ยวอวี้หลินขยับเล็กน้อยและในที่สุดก็เค้นเสียงพูดออกมาไม่กี่คำ
“เซี่ยอันน่า คุณเยี่ยมมาก!”
เมื่อพูดจบเสี่ยวอวี้หลินก็ไม่อาลัยอาวรณ์แล้วเดินออกจากอพาร์ทเมนท์ไปทันที
ปัง——
เสี่ยวอวี้หลินปิดประตูเสียงดัง หลังจากนั้นเซี่ยอันน่าก็เข่าทรุดนั่งลงบนเก้าอี้
เธอรู้ว่าเสี่ยวอวี้หลินต้องการฟังอะไร แต่เมื่อตอนคุยกันปากของเธอก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
เธอรู้ตัวว่าสถานะทางสังคมของตัวเองไม่อาจเทียบเท่ากับเสี่ยวอวี้หลินได้
แต่ทำแบบนี้มันจะเป็นผลดีต่อตัวเขาจริงๆหรือ?
เธอไม่ต้องการที่จะพึ่งพาอาศัยใครและเธอไม่ต้องการรับรู้อารมณ์สีหน้าใคร เธอแค่ต้องการยืนอย่างสง่างามอยู่ข้างเสี่ยวอวี้หลิน นี่ไม่ใช่ความหวังที่เพ้อฝันเกินไปใช่หรือไม่?
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้เซี่ยอันน่าก็หลับตาลงด้วยความเจ็บปวด
ในไม่กี่วันต่อมาเสี่ยวอวี้หลินก็เงียบหายไป
เขาไม่ได้ติดต่อเซี่ยอันน่าอีกเลยราวกับว่าพวกเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
ถ้าไม่ใช่เพราะโทรศัพท์มือถือของเซี่ยอันน่ายังเก็บเบอร์โทรของเสี่ยวอวี้หลินเอาไว้ เธอจะรู้สึกว่าช่วงเวลานี้เธอรู้สึกหลอนไปเอง
และเซี่ยอันน่ามีงานมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วเธอก็ยุ่งมากจนไม่มีเวลากินข้าว เธอคิดว่าควรใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์ปล่อยให้ทั้งคู่สงบสติอารมณ์ ใช้เวลาคิดว่าจะเดินไปด้วยกันอย่างไรในอนาคต
ยิ่งสองคนนี้ดูไม่รีบร้อนอะไร คนรอบข้างยิ่งเป็นห่วงมากขึ้นเรื่อยๆ
ฉีฉีไม่ได้พูดอะไรเมื่อเห็นว่าเซี่ยอันน่ามีอาการซึมๆ
ฉีฉีมองไปที่เซี่ยอันน่า เธอจึงพูดเบาๆว่า”ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ”
เฮ้อ ถ้าทั้งสองคนปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติ มันจะไม่อันตรายจริงๆเหรอ?
ทางด้านของเสี่ยวอวี้หลินก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย
เสี่ยวอวี้หลินภายนอกดูไม่มีอะไรและยังทำงานตามปกติ ยังมีพูดเรื่องตลกบ้าง ไปกินเหล้าบ้าง
แต่คนภายนอกก็พอรับรู้ได้ว่าผู้ชายคนนี้กำลังมีไฟสุมอยู่ในใจของเขา
ถ้าไฟนี้ไม่ถูกขจัดออกไปสักวันมันจะสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดก็ปะทุออกมาจนหมด กลายเป็นไฟเผาตัวเองและทำร้ายคนรอบข้าง
เพื่อนๆไม่อยากดูสองคนนี้เป็นแบบนี้ต่อไป พวกเขาต้องการหาวิธีทางเพื่อพูดคุยกับพวกเขาสองคน
เซี่ยอันน่ามอบให้เย่ชูวเสวียเป็นคนจัดการ หาโอกาสชวนเธอออกมาทานข้าว
ตอนนี้เซี่ยอันน่าเริ่มมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของแฟนคลับ
เพื่อที่จะสามารถพูดคุยกันอย่างเงียบๆ เย่ชูวเสวียจึงเหมาจองร้านอาหาร ทั้งร้านมีเพียงแค่พวกเธอสองคน
เมื่อเห็นเซี่ยอันน่าเดินมาจากไกลๆ เย่ชูวเสวียก็ยิ้มด้วยใบหน้าที่สดใส
“โอ้ย มันไม่ง่ายเลยที่จะนัดเจอกับดาราดัง”
เซี่ยอันน่านั่งอยู่ตรงข้ามเย่ชูวเสวียหัวเราะเบาๆแล้วพูดว่า “เธออย่าหัวเราะฉันสิ เธอก็เห็นว่าฉันงานยุ่งแค่ไหน”
“แม้ว่าเธอจะเหนื่อย แต่เธอก็ดูมีความสุขมากทีเดียว เป็นงานที่ตัวเองรักต่อให้เหนื่อยแค่ไหนก็คุ้มค่า”
เซี่ยอันน่าพยักหน้า “ใช่นี่เป็นความฝันของฉัน ฉันโชคดีที่มีโอกาสทำงานตามความฝันของฉันในตอนนี้”
เย่ชูวเสวียถอนหายใจ “เฮ้อ เธอโชคดี แต่ก็มีบางคนที่โชคร้าย
เซี่ยอันน่าเข้าใจได้ทันทีว่าเย่ชูวเสวียกำลังพูดถึงใคร
เซี่ยอันน่าต้องการหลีกเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงเรื่องนี้ แต่เย่ชูวเสวียก็ไม่ให้นี้โอกาสแก่เธอ”พวกเธอสองคนยังไม่ได้คืนดีกันหรือ?”
เซี่ยอันน่าส่ายหัวเล็กน้อยและพูดว่า “ยังเลยอ่ะ”
เย่ชูวเสวียรู้สึกไปต่อไม่ถูกจึงพูดว่า: “ฉันไม่เข้าใจ วันนั้นยังดีๆกันอยู่เลย ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ซะล่ะ?”
“ดีที่ไหนล่ะ ปัญหาบางอย่างมีมาตลอด”
“ถ้ามีปัญหาอะไรก็รีบหาทางแก้สิ”
ถึงคราวเซี่ยอันน่าถอนหายใจบ้าง
แต่มันไม่มีทางไหนแก้ได้ ฉันให้สิ่งที่เสี่ยวอวี้หลินต้องการแก่เขาไม่ได้”
เมื่อดูท่าทีเซี่ยอันน่า เย่ชูวเสวียจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง: “เธอมีปมในใจ”
เซี่ยอันน่าคิดสักพักแล้วพูดว่า “ก็อาจจะใช่”
“ถ้าไม่แก้ปมนี้เธอทั้งสองคนจะรู้สึกอึดอัดไปตลอด และปมนี้มีเพียงพวกเธอเท่านั้นที่จะแก้ได้”
“ให้ฉันเป็นคนแก้ปมนี้หรือ?”
เซี่ยอันน่าคิดอย่างละเอียดสักพัก แต่กลับรู้สึกว่านี่เป็นปมตาย
เมื่อเห็นว่าเซี่ยอันน่าหยุดพูด เย่ชูวเสวียจึงนั่งเท้าคางแล้วพูดว่า “ฉันดูออกว่าเธอยังมีความรู้สึกต่อเสี่ยวอวี้หลิน ไม่เช่นนั้นเธอจะไม่ลังเลแบบนี้”
คราวนี้เซี่ยอันน่าพูดแบบไม่เขินอายว่า: “ใช่ ฉันชอบเขามาก”
“ในเมื่อชอบเขาปัญหาต่างๆก็สามารถแก้ไขได้ ไม่ช้าก็เร็วอย่ากดดันตัวเองมากเกินไปฉันจะลองไปหาเสี่ยวอวี้หลินเพื่อดูว่าเขามีปฏิกิริยาอย่างไรกับเรื่องนี้”
“เธอไม่ต้องไปหาเขาเลย ฉันรู้ว่าเขามีปฏิกิริยาอย่างไร” เซี่ยอันน่ามีสีหน้าที่ไม่สบาย”แน่นอนเขาต้องรอให้ฉันไปขอโทษเขา ปลอบประโลมเขาและพูดกับเขาดีๆ เพียงแค่ฉันก้มหัวยอมจำนนพายุครั้งนี้จะผ่านไปได้ด้วยดี”
หลังจากได้ยินเช่นนี้เย่ชูวเสวียก็งงงวยแล้วถามว่า “ในเมื่อเธอรู้ทุกอย่างทำไมไม่ยอมทำ?”
“ปัญหาได้รับการแก้ไขในครั้งนี้แล้วในอนาคตล่ะ สิ่งที่เสี่ยวอวี้หลินต้องการคือความรักและการพึ่งพาเขา เขาต้องการให้ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อเขา”
“ฉันไม่มีอะไรเหลือแล้วเหลือแค่ความภาคภูมิใจสุดท้าย ถ้าฉันแพ้ฉันก็จะพ่ายแพ้อย่างที่สุดและนี่คือความกังวลที่สุดของฉัน”
หลังจากได้ยินคำพูดของเซี่ยอันน่า เย่ชูวเสวียก็นิ่งอึ้งไปอยู่นาน
ก่อนจะกล่าวเพียงคำง่ายๆไม่กี่คำ
“อันนา เธอรักแบบด้อยค่าเกินไป”
เซี่ยอันน่ายิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า “ก็คงเป็นแบบนั้นแหละ ฉันไม่เคยมั่นใจเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าเสี่ยวอวี้หลิน”
เย่ชูวเสวียเป็นคนที่เกิดมาบนกองเงินกองทอง ได้รับสิ่งดีๆโดยตลอด เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าการใช้ชีวิตในชนชั้นล่างเป็นอย่างไรดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
เย่ชูวเสวียเกาหัวแล้วพูดว่า”ฉันขอโทษ ฉันไม่รู้จะปลอบใจเธออย่างไร”
“ไม่ต้องขอโทษฉันหรอก ฉันเข้าใจในความหวังดีของเธอที่จะช่วยฉัน อาหารเย็นหมดแล้ว รีบกินกันเถอะ”
เซี่ยอันน่ายิ้มอย่างอ่อนหวานให้กับเย่ชูวเสวีย แต่เย่ชูวเสวียรู้ว่าความขมขื่นที่อยู่เบื้องหลังรอยยิ้มนั้นจะเป็นอย่างไร
หลังจากทานอาหารเสร็จเย่ชูวเสวียไปส่งเซี่ยอันน่าที่อพาร์ทเมนท์ จากนั้นก็กลับบ้าน
ทันทีที่เปิดประตูเดินเข้าบ้าน เย่ชูวเสวียก็เห็นหนานกงเจาและคนอื่นๆรออยู่
“ได้เรื่องยังไงบ้าง”
เมื่อทุกคนจ้องมองมาอย่างแรงกล้า เย่ชูวเสวียทำได้เพียงส่ายหัว
“เฮ้อ ทางพวกเราก็ไม่มีอะไรคืบหนาเลย”
“แล้วจะทำยังไงให้สงครามเย็นระหว่างพวกเขาสองคนสงบลง?”
ทุกคนเงียบไปครู่หนึ่งเย่จิงเหยียนจึงเริ่มพูดว่า”สิ่งที่ควรพูด สิ่งที่ควรทำ พวกเราได้ทำไปหมดแล้ว ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับพวกเขาแล้วว่าจะฝ่าวงล้อมปีศาจในใจตัวเองได้อย่างไร”
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เซี่ยอันน่าพูด เย่ชูวเสวียก็ถอนหายใจ: “เฮ้อ นี่เป็นเพราะปีศาจในใจพวกเขาจริงๆ”
……
การทำงานเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาอาการบาดเจ็บในใจ เซี่ยอันน่าและเสี่ยวอวี้หลินต่างก็งานยุ่งเพื่อทำให้ตัวเองไม่มีเวลาคิดเรื่องนั้น
อีกฝ่ายยุ่งอยู่กับการประชุมและทำงานล่วงเวลาอยู่เสมอ อีกฝ่ายยุ่งอยู่กับการถ่ายรายการวาไรตี้ พวกเขาต่างงานยุ่งจนไม่มีเวลา
แม้ว่าตอนที่งานยุ่งจะช่วยให้ลืมทุกอย่างได้จริงๆ
แต่เมื่อถึงช่วงที่ต้องอยู่กับตัวเอง ในหัวก็ผุดภาพรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของอีกฝ่ายขึ้นมา ความทรงจำก็หวนรำลึกครั้งแล้วครั้งเล่า
แม้ว่ามันจะทรมานมาก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
เซี่ยอันน่าจ้องมองเบอร์โทรของเขาในโทรศัพท์ตัวเอง เป็นเวลาสิบวันแล้วที่ไม่มีสายโทรเข้าจากเขา
เขาจะไม่ติดต่อเธอมาอีกตลอดไปจริงๆหรือ?
ทันทีที่ความคิดนี้เข้ามาในหัว เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เซี่ยอันน่ารู้สึกตื่นเต้นมาก รีบมองไปที่หมายเลขนั้นอย่างรีบร้อน
น่าเสียดายที่ไม่ใช่สายโทรเข้าจากเสี่ยวอวี้หลิน
ความผิดหวังก็ผุดขึ้นมาในใจของเธอ เซี่ยอันน่ากดรับสายแล้วพูดด้วยเสียงที่อ่อนแรง “ฮัลโหล”
แม้ว่าเสียงของเซี่ยอันน่าจะดูอ่อนแรงมาก แต่อีกฝ่ายกลับดูตื่นเต้นมาก “อันนา เตรียมตัวให้พร้อมพรุ่งนี้มีงานอีเว้นท์ที่ต้องให้เธอไปเข้าร่วม”
“ ก็แค่งานอีเว้นท์ทำไมตื่นเต้นจัง”
“เพราะนี่ไม่ใช่งานอีเว้นท์ธรรมดา เธอได้รับเชิญเป็นพิเศษจากผู้จัดงาน เธอรู้ไหมว่ามันหมายถึงอะไรเธอเป็นที่ชื่นชอบของผู้จัดงานและเขาสนใจเธอ อาจไม่นานอีกฝ่ายอาจจะติดต่อมาขอร่วมงานกับเรา! ”
“ พูดมาตั้งเยอะ สรุปว่ามันน่าสนใจยังไง?”
“ดูฉันสิฉันจะเป็นลมอยู่แล้ว ผู้จัดงานคือนิตยสารแฟชั่นไอเฟยและบรรณาธิการคือเซียวเสี่ยว เธอเป็นตัวแม่แห่งวงการแฟชั่นถ้าสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเธอแล้วล่ะก็ หน้าปกของนิตยสารจะเป็นใครไม่ได้นอกจากเซี่ยอันน่า!”
ผู้จัดการของเธอมีความสุขจนแทบอยากจะโบยบิน แต่เซี่ยอันน่ากลับรู้สึกแปลกๆ