วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 489: หัวข้อที่ไม่อาจเลี่ยงได้
เซี่ยอันน่าไม่ได้สนใจบุญคุณความแค้นของต้วนจื่ออิ๋ง เธอสนใจเพียงแค่อาการของต้วนอีเหยา
เงยหน้ามองเสี่ยวอวี้หลิน เซี่ยอันน่าใช้น้ำเสียงออดอ้อนเอ่ย: “ฉันอยากไปเยี่ยมพี่อีเหยา”
สายตาที่ออดอ้อนของเซี่ยอันน่าทำให้เสี่ยวอวี้หลินไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้ จึงพยักหน้าและพูดว่า: “โอเค ฉันไปหารถเข็นก่อน เธอรอเดี๋ยวนะ”
ต้วนอีเหยาอยู่ห้องข้างๆเซี่ยอันน่า ขณะที่เธอนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยเงียบๆด้วยใบหน้าซีดราวกับกระดาษ
ใบหน้าเต็มไปด้วยความกล้าหาญ ขณะเดียวกันกลับทำให้เซี่ยอันน่ากลัว ดวงตาที่หลับสนิทอย่างเงียบสงบนั้นทำให้ผู้คนไม่อาจเหลือบมองสีหน้านั้นได้
เมื่อมองต้วนอีเหยาอย่างนี้แล้ว เซี่ยอันน่ารู้สึกแตกสลายเป็นอย่างมาก
ราวกับเพิ่งได้ออกจากร้านของหวาน ได้พูดคุยเกี่ยวกับทฤษฎีแนวทางชีวิตอย่างเต็มที่และขณะเดียวกันก็กลายเป็นวิถีแห่งความเป็นความตาย
เซี่ยอันน่าร้องไห้สะอึกสะอื้น เธอไม่อาจห้ามน้ำตาให้หยุดไหลได้: “พี่อีเหยา…..”
เย่จิงเหยียนอยู่เฝ้ามาหลายคืนแล้วจนดวงตาของเขาแดง
เมื่อมองร่างของต้วนอีเหยา แววตาของเขามีความเจ็บปวด
เสี่ยวอวี้หลินตบที่บ่าเย่จิงเหยียนเบาๆและพูดว่า: “มีอันน่าเฝ้าอยู่ นายไปพักสักหน่อยเถอะ”
เย่จิงเหยียนไม่ได้พูดอะไรมาก เขาหันหลังเดินตามเสี่ยวอวี้หลินไปที่ชั้นดาดฟ้า
เสี่ยวอวี้หลินยื่นบุหรี่ให้เย่จิงเหยียน
จุดไฟและพ่นควันออกมาอย่างแผ่วเบา แววตาของเย่จิงเหยียนเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและกลุ้มใจ
“คิดวิธีจัดการต้วนจื่ออิ๋งแล้วหรือยัง?”
“ก่อนหน้านี้ ยังคิดถึงเรื่องราวในอดีตและให้ทางรอดกับเธอ แต่ตอนนี้ ไม่คิดเลยว่าเธอจะกล้าทำอย่างนี้กับอีเหยา ฉันไม่ให้อภัยเธออีกแน่
เสียงของเย่จิงเหยียนเรียบนิ่ง แต่เสี่ยวอวี้หลินรู้ ต้วนจื่ออิ๋งได้สัมผัสต่อมโมโหของเย่จิงเหยียนเข้าแล้ว ครั้งนี้ไม่มีอะไรจบลงด้วยดีอย่างแน่นอน
“ฉันยังคิดอยู่เลย ถ้านายไม่ลงมือ ฉันก็ต้องคิดวิธีรับมือด้วยตัวเอง ในเมื่อนายลงมือเอง งั้นฉันก็ไม่ต้องห่วงอะไร”
เพราะเป็นผลทำให้เซี่ยอันน่าบาดเจ็บ แน่นอนว่าเสี่ยวอวี้หลินไม่อาจนิ่งดูดายได้
แต่เมื่อเทียบกับเย่จิงเหยียนแล้วเขายังถือว่าโชคดี
ถึงอย่างไร เซี่ยอันน่าก็พ้นขีดอันตรายและฟื้นขึ้นมาแล้ว
แต่ต้วนอีเหยา……..
เมื่อมองมาทางห้องผู้ป่วย เสี่ยวอวี้หลินก็ได้แต่ถอนหายใจ
เสี่ยวอวี้หลินเอื้อมมือไปตบบ่าเซี่ยอันน่าเบาๆและเอ่ยว่า: “วางใจเถอะ อีเหยาต้องฟื้นขึ้นมา”
“เธอต้องฝ่าอันตรายมากมายขนาดนั้น เรื่องเล็กๆอย่างนี้แน่นอนว่ามันไม่คณามือเธอหรอก เพียงแค่…พูดว่าจะดูแลเธอให้ดี แต่ฉันทำอะไรลงไปทำให้เธอตกอยู่ในอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันนี่มันน่าขยะแขยงจริงๆ!”
ใบหน้าของเย่จิงเหยียนเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและยกมือขึ้นทุบลงบนราวจับ
“โลกมันคาดเดาไม่ได้ นายอย่าโทษตัวเองมากไป ฉันคิดนะ อีเหยาเองก็ไม่อยากเห็นนายหดหู่อย่างนี้หรอก”
เย่จิงเหยียนสูดหายใจเข้าลึกๆควบคุมอารมณ์ของตัวเอง
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ก็ฟื้นคืนความเยือกเย็นและฉลาดสุขุมแล้ว
“โอเค พวกเรากลับไปกันเถอะ”
กลับมาที่ห้องผู้ป่วยใหม่อีกครั้ง ทั้งสองเห็นเซี่ยอันน่านั่งอยู่ข้างเตียงและยังคงมีน้ำตาคลออยู่
เห็นได้ชัดว่าเธอเพิ่งร้องไห้
เมื่อเห็นคนกลับเข้ามา เซี่ยอันน่าก็รีบเช็ดน้ำตา
เสี่ยวอวี้หลินโอบเข้าที่ไหล่ของเซี่ยอันน่าด้วยความรักและสงสารแล้วปลอบเธอยู่เงียบๆ
เซี่ยอันน่าเงยหน้ามาพูดว่า: “ฉันคิดว่าพวกคุณต้องจัดการกับเรื่องต่างๆมากมาย ถ้าอย่างนั้นเมื่อพวกคุณไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาล ให้ฉันมาดูแลพี่อีเหยาเพื่อเป็นการขอโทษเถอะนะ”
“แต่เธอก็ได้รับบาดเจ็บนะ ยังไม่หายดีเลย”
“แผลฉันนิดเดียวเอง ไม่เป็นไร อีกทั้งคุณหมอก็บอกให้เคลื่อนไหวให้มากๆ ดีต่อการฟื้นตัวของแผลฉันด้วย”
เสี่ยวอวี้หลินอยากที่จะปฏิเสธข้อเสนอนี้ แต่เขารู้ว่าเซี่ยอันน่าอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อต้วนอีเหยาและมันจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นบ้าง
เมื่อมองไปที่เย่จิงเหยียนเห็นเขาไม่ได้คัดค้านอะไร เสี่ยวอวี้หลินจึงพยักหน้าและพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า: “งั้นก็เอางั้นเถอะ”
เมื่อได้รับอนุญาต เซี่ยอันน่าก็ยิ้มออกมาบางๆ
ต่อจากนี้ เมื่อเซี่ยอันน่าไม่มีเรื่องอะไร เธอก็จะวิ่งมาหาต้วนอีเหยาที่นี่อยู่คุยเป็นเพื่อนกับเธอ
แม้ต้วนอีเหยาจะไม่ได้ยิน แต่เซี่ยอันน่าตั้งมั่นที่จะทำมัน
วันนี้ เซี่ยอันน่าทานยาแล้วก็เตรียมไปห้องผู้ป่วยที่อยู่ข้างๆ
พอเปิดประตู เซี่ยอันน่าก็เห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคย
“ชูวเสวีย?”
เมื่อได้ยินเสียง เย่ชูวเสวียก็หันกลับมามองด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
“ฉันอยากรีบมาเยี่ยมพวกเธอ แต่ไอ้หนานกงเจาตาบ้านั้น บอกว่าฉันอารมณ์อ่อนไหวเกินไปมันจะส่งผลต่อการพักฟื้นของพวกเธอ จะเป็นจะตายยังไงก็ไม่ให้ฉันมา วันนี้ไม่ง่ายเลยที่เขาจะปล่อยให้มาอย่างสบายใจ ฉันถึงเพิ่งจะหาเวลามาเยี่ยมพวกเธอได้”
เมื่อหันไปมองต้วนอีเหยาตาของเย่ชูวเสวียก็แดงขึ้นอีกครั้ง
“โอเค แล้วเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ต้วนจื่ออิ๋งนั่นสมควรที่จะถูกหั่นเป็นชิ้นๆจริง!”
เซี่นอันน่าเข้าใจความรู้สึกเย่ชูวเสวียมากๆ
ตอนที่เธอเพิ่งฟื้นก็โทษแต่คนอื่น
แต่ในเวลานี้ เธอไม่อยากเสียเวลาอันมีค่าเอาตัวไปยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น
เมื่อวางดอกไม้ลงในแจกัน เซี่ยอันน่าที่มีสีหน้าเรียบนิ่งเอ่ยขึ้นว่า: “การด่าคนอื่นในตอนนี้ ยังไงก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้แค่หวังว่าต้วนอีเหยาจะฟื้นขึ้นมา คุณหมอบอกว่า พี่อีเหยามีเลือดคั่งในสมอง ให้มันซึมหายไปอีกไม่มากเดี๋ยวเธอก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว ดังนั้นพวกเราต้องเข้มแข็งอีกหน่อย ตอนเธอฟื้นขึ้นไม่อยากให้เธอต้องมาเห็นเราร้องไห้”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เย่ชูวเสวียก็หยุดร้องไห้และเอ่ยว่า: “อันน่า เธอเข้มแข็งมาก”
แววตามีความกลัดกลุ้มอยู่เล็กน้อย เซี่ยอันน่าเอ่ย: “ อ่อนแอไปก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่จะทำให้ศัตรูคิดจะรังแกเธอและจะรังแกเธออย่างไรก็ได้”
“อันน่า เธอไปเจอกับอะไรมาเหรอ?”
เซี่ยอันน่าเหม่อไปพักหนึ่งก่อนหันมายิ้มและเอ่ยว่า: “ไม่มีอะไร ก็แค่พูดออกไปเรื่อยแค่นั้น”
“พวกเธอเข้มแข็งอย่างนี้ ฉันจะทำตัวแย่ไม่ได้” เย่ชูวเสวียขยี้ตาแล้วตบเข้าที่แก้มของตัวเองและพูดว่า “พรุ่งนี้เป็นต้นไป ฉันจะมาโรงพยาบาลและเปลี่ยนเวรกับเธอเอง พวกเรามาดูแลพี่อีเหยาด้วยกันนะ”
“โอเค”
เย่ชูวเสวียเพิ่งร้องไห้เสร็จ ตอนนี้ก็สงบลงแล้ว เธอเพิ่งเห็นว่าบนมือของเซี่ยอันน่าถือสมุดสีขาวอยู่
“นั่นอะไรเหรอ?”
“อันนี้เหรอ” เซี่ยอันน่าชูและแกว่งไปมาพร้อมเอ่ยว่า “เป็นบทละครน่ะ ผู้จัดการบอกว่าช่วงหลังของปีมีบทละครใหม่ให้ฉันได้ทำน่ะ พอดีฉันถือโอกาสในตอนนี้มาศึกษาไว้สักหน่อยน่ะ”
“อันน่า เธอไม่ใช่ว่ายังเป็นคนป่วยหรือไง ไม่ต้องพยายามขนาดนี้หรอก”
“จะป่วยหรือไม่มันไม่มีผลกับความพยายามของฉัน อยากทำอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนฉันจะตั้งใจทำมัน”
มองเซี่ยอันน่าที่ยิ้มบางๆ เย่ชูวเสวียจึงพูดว่า: “รู้สึกว่าเธอจะดูเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมนะ”
เซี่ยอันน่ามองอีเหยาที่อยู่บนเตียงและเอ่ยว่า: “เจออะไรมามากมายขนาดนั้น ถ้าฉันยังเป็นเซี่ยอันน่าที่เอาแต่ไม่มั่นใจ นั่นก็คงรู้สึกผิดมากที่พี่ยีเหยาอุส่าช่วยชีวิตฉัน
เย่ชูวเสวียเอื้อมมือไปจับมือที่เย็นขึ้นมาเล็กน้อยของเซี่ยอันน่าและเอ่ยว่า “ดังนั้น พวกเรายิ่งต้องทำให้มันดีขึ้น”
“อืม แน่นอน!”
เซี่ยอันน่าและเย่ชูวเสวียยิ้มและมอบพลังให้กันและกัน
ประจวบกับมีคนมาเคาะประตูพอดี
“คุณเซี่ย มีคนมาหาคุณ รออยู่ที่ห้องผู้ป่วยของคุณน่ะ”
“หาฉัน?”
เซี่นอันน่าคิดและแอบสงสัยว่าจะใช่ฉีฉีมาหรือเปล่า”
แต่ เมื่อเซี่ยอันน่าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในห้องผู้ป่วยแล้วถึงกับต้องตกตะลึง
“แม่!?”
หญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ในห้องผู้ป่วยด้วยสีหน้าสุขุมเยือกเย็นและสวมชุดที่เรียบง่าย
แม้อายุที่มากขึ้น แต่เมื่อดูจากหน้าตาของเธอแล้วจะเห็นถึงลักษณะท่าทางที่ยังดูอ่อนเยาว์อยู่
แม่เซี่ยเห็นเซี่ยอันน่าก็ตกใจเล็กน้อย
“อันน่า ทำไมลูกถึงได้เจ็บตัวแบบนี้?”
เซี่ยอันน่ากุมหน้าผากโดยไม่รู้ตัวและเอ่ยว่า: “เอ่อ หนู….ตอนถ่ายหนังไม่ทันระวังเลยได้รับบาดเจ็บน่ะ แต่ตอนนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก อีกไม่นายก็หายดีแล้ว”
แม่เซี่ยพยักหน้าและไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ
“อันน่า ที่แม่มาหาลูกครั้งนี้ เพราะว่าเห็นข่าวก่อนหน้านี้ บอกว่าป้าและลูกชายป้าของลูก….”
เฮ้อ ก็รู้แหละว่าหนีไม่พ้นหัวข้อนี้
อยู่ๆเซี่ยอันน่าก็รู้สึกหนาวขึ้นมาเล็กน้อย
ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่เป็นแบบนี้ ไม่ว่าเซี่ยอันน่าจะเกิดเรื่องอะไร จะดีหรือร้าย ท่าทีของแม่ก็จะเย็นชา
ตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ตราบใดที่ยังมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับป้าและลูกชายป้าอยู่ แม่ก็จะกังวลมาก
อย่างเช่นตอนนี้
เห็นได้ชัดว่าตามร่างกายตัวเองมีบาดแผลและแม่ไม่ได้ถามอะไรมาก ทักทายกันสองสามคำก็เริ่มพูดถึงประเด็นหลักของวันนี้
ศรีษะที่ก้มตกลงไป แพขนตาที่ยาวเรียวนั้นปกปิดความขมขื่นในใจของเซี่ยอันน่า
แม่เซี่ยยังไม่รู้ว่าการกระทำของตนเองมีผลกระทบต่อเซี่ยอันน่าแต่อย่างไร
เธอลดศรีษะลงเล็ดน้อยและพูดว่า: “แม่รู้ บางทีพวกเขาก็น่ารำคาญ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นญาติพี่น้องกันจะทำอะไรก็อย่าให้มันเกินไป”
“งั้นแม่จะให้หนูทำอย่างไร?”
“ป้าและลูกชายป้าก็ติดคุกกันแล้ว แค่นี้ก็เป็นด่างพร้อยในชีวิตแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้น ลูกลองคิดหาวิธีพาพวกเขาออกมาเถอะ?”
เซี่ยอันน่าแสยะยิ้มและถามกลับ: “หลังจากนั้นล่ะ ให้พวกเขาทำร้ายหนูต่องั้นเหรอ? แม่คะ แม่รู้ไหมว่าเขาเคยทำอะไรไว้กับหนู!?”
“แก่อย่างนั้นจะทำอะไรลูกได้ แม่ว่าลูกต้องเข้าใจผิดแล้วแน่ๆ”
“เข้าใจผิด? เพราะเข้าใจผิดลูกถึงเกือบไม่มีชีวิตน่ะสิ อีกนิดเดียวก็ไม่ได้มาเห็นแม่ที่นี่แล้ว! หรือว่าไม่มีหนูเป็นลูกสาวแล้ว แม่ก็จะไม่เสียใจ?”
เซี่ยอันน่ายิ่งพูดยิ่งหวั่นไหว ตรงกันข้ามนั้นมันทำให้แม่เซี่ยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
“อันน่า ลูกพูดอะไรไร้สาระเนี้ย!”
“หนูพูดเรื่องจริง หนูไม่เคยคิดทำร้ายใคร ทั้งป้าและลูกป้าโลภจนไม่รู้จักพอขึ้นไปทีละขั้น”
“ดังนั้น ลูกเลยไม่ยอมอ่อนข้อให้เขา?”
เซี่ยอันน่ากำหมัดแน่นและพูดว่า “ให้ป้าและลูกชายป้าได้รับบทเรียนที่สมควรได้รับบ้างและปล่อยให้พวกเขาได้เรียนรู้ที่จะทำดีสักนิดเถอะ”
“แต่พวกเขาเป็นญาติลูกนะ เลือดย่อมข้นกว่าน้ำสิ!”
“งั้นตอนที่พวกเขาวางแผนทำร้ายหนู ทำไมไม่คิดว่าหนูเองก็เป็นญาติของพวกเขา? ตอนมีประโยชน์ก็มาร้องไห้บอก ตอนไม่มีประโยชน์ก็คิดร้ายด้วยทุกรูปแบบ ญาติแบบนี้ ไม่เอาด้วยหรอก!”
“แก….”
เดิมแม่เซี่ยไม่ใช่คนช่างพูด ลูกสาวที่น่ารักน่าเอ็นดูและรู้ความอยู่ๆก็ดื้อรั้นขึ้นมา เธอก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
ตอนทั้งสองยืนประจันหน้ากันก็มีคนผลักประตูเดินเข้ามา
“อันน่า เธอกำลังเสียงดังโวยวายอะไร?”
เสี่ยวอวี้หลินเดินเข้ามา ทำให้ภายในห้องสดใสขึ้นทันที
เมื่อเห็นชายหนุ่มที่แต่งตัวดีคนนี้ แม่เซี่ยก็นิ่งอึ้ง
เสี่ยวอวี้หลินมองแม่เซี่ยอย่างเป็นกันเอง
ดูจากลักษณะท่าทางเธอกับเซี่ยอันน่าแล้วต้องรู้จักกันแน่นอน
“หนุ่มคนนี้เป็นใคร?”
“สวัสดีครับ ผมเป็นแฟนของอันน่า เสี่ยวอวี้หลินครับ”
แม่เซี่ยอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็วางตัวอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
“อะ นั่นสิ ฉันเป็นแม่ของอันน่า”
“สวัสดีครับคุณน้า” เขาทักทายอย่างสุภาพ เสี่ยวอวี้หลินหันหน้าไปมองเซี่ยอันน่าและพูดว่า “อันน่า ในเมื่อคุณน้ามาเยี่ยมเธอแล้ว ทำไมยังให้คุณน้ายื่นอยู่อย่างนี้ล่ะ”
ตอนเสี่ยวอวี้หลินพูด ก็สังเกตเห็นท่าทีของเซี่ยอันน่า
เซี่ยอันน่าแค่ลดสายตาลงและไม่พูดอะไร
บรรยากาศน่าอึดอัดนิดหน่อย
เสี่ยวอวี้หลินมองออกถึงปัญหาของทั้งสองว่าต้องได้รับการแก้ไขจึงเอ่ยว่า: “เชิญคุณน้านั่งก่อนครับ หรือไม่พวกคุณคุยกันไปก่อนเดี๋ยวผมไปเทน้ำมาให้สองแก้ว”
พูดจบ เสี่ยวอวี้หลินก็ก้มหัวให้แม่เซี่ยและเดินออกจากห้องไป
พอเสี่ยวอวี้หลินเดินไป แม่เซี่ยก็ดึงเซี่ยอันน่าและพูดว่า: “อันน่า แม่ว่าผู้ชายคนนั้นดูไม่ธรรมดานะ ดูไม่เหมือนอย่างคนทั่วไป”
เซี่ยอันน่าหัวเราะเยาะและถามว่า: “แม่เอาแต่ดูข่าวว่าป้าและลูกชายป้าโดนจับ ถึงกับไม่รู้ว่าแฟนหนู เป็นคนแบบไหนเหรอ?”
แม่เซี่ยแสดงสีหน้าเหยเกและพูดว่า: “แม่ยุ่งมาก ไม่ใช่ว่าแกไม่รู้นิ”
เซี่ยอันน่าไม่อยากเถียงไปมากกว่านี้จึงเอ่ยว่า: “เขาชื่อเสี่ยวอวี้หลิน เป็นประธานของเสี่ยวซื่อกรุ๊ปแห่งนครปักกิ่ง มีชื่อเสียงมาก”
“อ้อ งั้นก็เป็นคนรวย? แต่คนรวยอย่างนี้จะจริงใจกับความรู้สึกแกอยู่เหรอ?”
เห็นได้ยากที่แม่จะสนใจตัวเอง เซี่ยอันน่าพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงว่า “ไม่รู้สิ เขาดีกับหนูมากและก็เอาใจใส่ดูแลหนูด้วย”
“งั้น ถ้าลูกให้เขาช่วยไกล่เกลี่ยเรื่องของป้าลูก มันจะง่ายกว่าไหม”
พอได้ยินคำนี้เซี่ยอันน่าก็อึ้งไป ลดศรีษะต่ำลงและยิ้มอย่างขมขื่น
“สุดท้ายก็ยังเพื่อพวกเขาอยู่”
“อันน่า ฉันรู้ว่าแกโตแล้วไม่อยากฟังแม่ แต่บางครั้งแกจะเห็นแก่ตัวมากเกินไปไม่ได้ จะเอาแต่ความสุขตัวเองแล้วทิ้งญาติที่ลำบากไว้อย่างนี้”
แม่เซี่ยพูดเกลี้ยกล่อมไม่ยอมหยุด แต่เซี่ยอันน่ากลับนิ่งเฉย
เห็นเซี่ยอันน่ามีท่าทีอย่างนี้ แม่เซี่ยก็จนปัญญา
ประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง เสี่ยวอวี้หลินเดินถือน้ำเข้ามา
“คุณน้า เชิญดื่มน้ำครับ”
“ขอบใจนะ” แม่เซี่ยหยิบแก้วและเอ่ยว่า ‘คุณเสี่ยว ฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องให้ช่วยหน่อยน่ะ’
“คุณพูดได้เลยครับ’
“เป็นไปได้ไหมถ้าจะให้ช่วยป้าและลูกชายป้าของอันน่าให้ออกจากคุกมาได้?”
เซี่ยอันน่าโกรธจนคิ้วขมวดมองไปทางแม่เซี่ยและขึ้นเสียง
“แม่!”
แม้เซี่ยอันน่าจะห้าม แต่แม่เซี่ยก็ไม่มีทางหยุดและยังขอร้องวิงวอนต่อว่า: “พวกเขาอยู่ในคุกลำบากมาก ฉันและอันน่าต่างก็เสียใจ อยากจะไปรับพวกเขาออกมา ถึงพวกเขาจะทำเรื่องที่ผิด แค่คอยเตือนอยู่ข้างๆตัวไม่กี่คำก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องทิ้งให้ทุกข์ทรมาณอยู่ในนั้นด้วย นายว่าถูกไหมล่ะ?”
เซี่ยอันน่าเม้มริมฝีปากแน่น ในแววตาฉายความโกรธอย่างรุนแรง
เห็นท่าทีของเซี่ยอันน่าที่แสดงออกมา เสี่ยวอวี้หลินก็เข้าใจความรู้สึกของเธอ
เสี่ยวอวี้หลินถอนหายใจเบาๆและพูดว่า: “คุณน้าทั้งซื่อสัตย์และจริงใจนะครับ แต่บางคนไม่คุ้มที่จะทำดีกับพวกเขาหรอก และเรื่องนี้ต้องได้รับการอนุมัติจากอันน่าด้วย ถึงอย่างไรเธอก็เป็นผู้ถูกกระทำนะครับ”
“ผู้ถูกกระทำ?”
“ใช่ครับ ป้าและลูกชายป้าต้องการเงินของเซี่ยอันน่าจึงร่วมมือกับคนอื่นวางแผนทำร้ายอันน่า ใส่ร้ายเธอและอยากให้เธอไม่มีที่ยืนในวงการบันเทิงครับ”
“ถ้าไม่เจอตรงๆ คงยากที่จะจินตนาการว่าจะมีญาติที่ลงมือฆ่าคนที่อ่อนกว่าเช่นนี้ อันน่าได้รับบาดเจ็บสาหัสจากพวกเขา ไม่อยากที่จะยื่นมือช่วยเขา ก็เป็นข้ออ้างที่มีเหตุผลนะครับ”
“อ่า คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้….”