วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 496 หาเบาะแส
เป็นไปไม่ได้ เมื่อกี้คนระหว่างทางยังบอกว่าชายมีหนวดเพิ่งกลับมาบ้าน และไม่ได้กลับออกไป
ถนนที่นี่แคบมาก ไม่มีทางที่จะออกไปโดยไม่มีใครเห็นได้ นอกจาก…..
ระหว่างที่เสี่ยวอวี้หลินกำลังคิดอยู่นั้น ก็มีคนออกมาโจมตีจากทางด้านหลัง
ลูกน้องของเสี่ยวอวี้หลินปกป้องเขา และในขณะเดียวกันก็ต่อสู้กับชายมีหนวด
ผู้ชายคนนี้เหมือนกับภูเขาไม่มีผิด เขายืนอยู่ตรงหน้าคนอื่นก็ทำให้ทุกคนรู้สึกกดดันมาก
แถมเขายังมีความยืดหยุ่นมาก ไม่เหมาะสมกับรูปร่างเขาเลย
เป็นเรื่องยากมากที่เสี่ยวอวี้หลินจะจับผู้ชายคนนี้ได้ เพียงแค่ไม่ระวังผู้ชายคนนี้ก็หนีไปได้
ระหว่างมาเสี่ยวอวี้หลินรู้สึกว่าภูมิประเทศตรงนี้ซับซ้อนมาก ถ้าปล่อยให้ชายมีหนวดหนีไปได้ การจะตามเขาได้อีกครั้งมันยากมาก
และชายมีหนวดก็หวังจะหนีเช่นกัน เขาพยายามมุ่งตรงไปที่ประตู
ถึงแม้ว่าชายมีหนวดจะมีแรงมาก แต่เขาก็ไม่อาจสู้คนจำนวนมากได้ ดังนั้นจึงทำไม่ได้อย่างที่ใจต้องการ
ระหว่างที่เขากำลังจะตรงไปที่ประตูอีกครั้ง เขาก็ถูกลูกน้องของเสี่ยวอวี้หลินโจมตีจนล้มลงไปบนพื้น
เมื่อเห็นว่าตัวเองถูกล้อมไว้หมดแล้ว ชายมีหนวดก็ไม่ได้วิตกกังวล เขาส่งยิ้มออกมาอย่างเหยียดหยาม
เขานอนลงไปบนพื้นพร้อมพูดว่า “ฉันจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น อย่าเสียเวลาเลย”
“พวกเรายังไม่ได้ทำอะไรเลย จะรู้ได้ยังไงว่าแกจะปิดปากจนถึงที่สุด”
เขาส่งสัญญาณให้ลูกน้องลากตัวชายมีหนวดขึ้นมา และเตรียมที่จะพามันกลับไปสอบสวนอย่างเข้มงวด
เมื่อเดินมาถึงนอกประตู เสี่ยวอวี้หลินก็เห็นชายมีหนวดส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา เขาจึงเขาขมวดคิ้วขึ้น
เซี่ยอันน่ายังคงรออย่างใจจดใจจ่อ ในที่สุดเธอก็เห็นร่างของเสี่ยวอวี้หลิน
เธอรีบวิ่งไปหาเขา ก่อนจะเห็นแผลบนมือของเขา
“ทำไมถึงได้รับบาดเจ็บ”
“มันบังเอิญไปโดนตอนจับคน”
เสี่ยวอวี้หลินพูดแค่นั้นเพราะไม่อยากให้เซี่ยอันน่าเป็นกังวล
“จับคนหรอ มีข่าวจากเย่ชูวเสวี่ยแล้วหรอ”
ดวงตาของเขามืดลง “จับได้แค่คนเดียว แต่ผมจะหาวิธีให้มันเปิดปากให้ได้”
เสี่ยวอวี้หลินมั่นใจมาก แต่ชายมีหนวดคนนี้ก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน ไม่ว่าลูกน้องเขาจะใช้วิธีไหนมาทรมาน เขาก็ไม่มีทางเปิดปากเลยสักนิด
ลูกน้องมารายงานกับเสี่ยวอวี้หลินว่า ให้เขาลองไปคุยกับชายมีหนวดด้วยตัวเองดู
เมื่อเห็นชายมีหนวดกำลังจะตาย เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
ถ้ายังไม่พูดออกมา ฝ่ายตรงข้ามก็มีโอกาสที่จะหาเจอ และจากนั้นการจะหาตัวเย่ชูวเสวี่ยเจอก็จะเป็นเรื่องยากขึ้น
ทันใดนั้นลูกน้องของเสี่ยวอวี้หลินก็นำเอกสารเดินเข้ามา
“ได้ข้อมูลอะไรบ้าง”
“นี่เป็นประวัติของผู้ชายคนนี้ทั้งหมดครับ”
เขาหยิบเอกสารขึ้นมาอ่านก่อนจะยกยิ้มขึ้นมา
เขาส่งเอกสารคืนกลับไป จากนั้นก็เดินไปนั่งยองๆตรงหน้าชายมีหนวด “แกเป็นผู้ชายอกสามศอก ถ้าแกไม่ทำอะไรคนของฉัน ฉันก็อาจจะเคารพแกมาก แต่น่าเสียดาย แกได้ทำให้ฉันถึงขีดจำกัดแล้ว ฉันจะหาวิธีมาเปิดปากแกให้ได้”
ชายมีหนวดหลับตาอย่างเดิม แต่ก็มีรอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏอยู่บนใบหน้า
“ไม่ต้องพูดพล่ามแล้ว ถ้าแกสามารถทำให้ฉันเปิดปากได้จริง คงไม่คว้าน้ำเหลวแบบตอนนี้”
“ที่แกยังไม่เปิดปากพูดเพราะว่าฉันยังไม่ได้ใช้ไพ่ตาย สองปีมานี้แกหาเงินได้ไม่น้อย แต่ตัวเองกลับไม่ได้ใช้เลย แกโอนเงินไปให้คนคนหนึ่ง และคนคนนี้ก็เลี้ยงลูกของแก พยายามไม่น้อยเลย”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ชายมีหนวดก็ลืมตาขึ้น จ้องเสี่ยวอวี้หลินด้วยความโกรธ
ปฏิกิริยาของเขาทำให้เสี่ยวอวี้หลินสงบมากขึ้น
“ไม่แน่ใจว่าผู้หญิงคนนี้กับเจ้านายของแกใครสำคัญกว่ากัน”
ชายมีหนวดไม่สามารถสงบได้อีกต่อไป เขาพยายามลุกขึ้นมาเพื่อที่จะเข้าไปโจมตีเสี่ยวอวี้หลิน
“ไอ้สาระเลว ถ้าแกทำอะไรเธอฉันจะไม่ปล่อยแกไปเด็ดขาด”
กินเลือดของชายมีหนวด ทำให้เสี่ยวอวี้หลินต้องขมวดคิ้วขึ้นมา
เขาเดินถอยหลังไปสองก้าว และมองดูชายมีหนวดที่ดิ้นรนอย่างเย็นชา พร้อมพูด “แน่นอนฉันไม่อยากทำอะไรผู้หญิงคนนี้ แต่แกต้องให้ข้อมูลที่ฉันต้องการก่อน เพื่อให้ฉันเห็นถึงความจริงใจของแก”
“แกอย่าหวังไปเลย ถึงฉันพูดออกไป พวกแกก็ไม่มีทางชนะเขาได้”
“มันเป็นใคร”
“เขามีความสามารถรอบด้าน พวกนายไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เหมาะสม”
“ฉันเป็นผู้ต่อสู้ที่เหมาะสมหรือเปล่า ฉันเป็นคนตัดสินใจเอง อย่ามัวไร้สาระ แกจะพูดไม่พูด”
ชายมีหนวดคิดแป๊บนึงแล้วพูด “เอาโทรศัพท์ให้ฉัน”
“เอาโทรศัพท์ให้มัน”
ลูกน้องส่งโทรศัพท์ให้ชายมีหนวด จากนั้นเขาก็กดเบอร์โทรออกไป
หลังจากโทรติดชายมีหนวดก็ทันพูดประโยคเดียว เสี่ยวอวี้หลินก็แย่งโทรศัพท์ไปทันที
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร ปลายสายก็ตัดสายไป
เสี่ยวอวี้หลินจึงโทรไปอีกครั้ง แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ปิดมือถือแล้ว
เขาโยนโทรศัพท์ด้วยความโกรธ และถามอย่างสงสัยว่า “แกตั้งใจจะเล่นลิ้นหรอ”
“ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้น ลูกพี่สั่งงานฉันเสร็จก็วางสายไป”
“เวลาแค่นั้นเขาจะทันสั่งอะไรแก”
“เขาบอกว่าให้เย่จิงเหยียนไปคุยกับเขา”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นทุกคนก็หน้าเปลี่ยนสีทันที
เมื่อชายมีหนวดเห็นท่าทางของทุกคน ก็แสดงท่าทีพอใจออกมา
และท่าทีของชายมีหนวดก็ทำให้เสี่ยวอวี้หลินโกรธมาก เขาชกไปที่ท้องของชายมีหนวด และพูดด้วยความโกรธ “ฉันให้แกเปิดเผยข้อมูลลูกพี่ของแก แกทำอะไร”
ชายมีหนวดกลุ่มหน้าท้องพูดด้วยใบหน้าซีดขาว “พวกแกคิดว่าอย่างฉันจะไปรู้อะไร ฉันมีหน้าที่ส่งข่าวเท่านั้น”
“แกหมายความว่า ลูกพี่แกรู้อยู่แล้วว่าพวกเราจะมาหาแกงั้นหรอ”
เสี่ยวอวี้หลินแอบตกใจ และรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
แต่สุดท้ายเสี่ยวอวี้หลินก็ทำลายประโยคโกหกของชายมีหนวดได้
“อย่าไปฟังแผนลวงของมัน ถ้าลูกพี่ของแกเก่งจริง ก็น่าจะหาตัวเย่จิงเหยียนเจอตั้งนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้”
พูดจบเสี่ยวอวี้หลินก็มองไปที่ชายมีหนวดอย่างเย็นชา “ในเมื่อแกไม่ซื่อสัตย์ งั้นฉันก็ไม่จำเป็นต้องสงสารแก ให้คนไปจัดการผู้หญิงคนนั้น”
“ไอ้สาระเลว แกกล้าหรอ”
“แกก็รอดูเอาเองแล้วกันว่าฉันกล้าหรือไม่กล้า หรือฉันจะถ่ายขั้นตอนทั้งหมดเอาไว้ให้แกดูดีนะ”
“ทุเรศ!”
“จำไว้ว่าคนที่ทำร้ายเธอคือแก ถ้าแกยอมตกลงกับพวกเรา จุดจบของเธอก็คงไม่เป็นอย่างนี้”
ชายมีหนวดไม่กล้าวางใจอีกต่อไป “แต่สิ่งที่ฉันทำได้ก็มีแค่นี้”
“ไม่ สิ่งที่แกทำได้มีเยอะมาก อย่างน้อยแกก็เป็นเครื่องขยายเสียงที่ดีมาก”
เมื่อมองไปที่สายตาลึกลับของเสี่ยวอวี้หลิน ชายมีหนวดก็เข้าใจเจตนาของเขาทันที
ชายมีหนวดรีบส่ายหน้า “แกจะให้ฉันโกหกลูกพี่หรอ ไม่มีทาง”
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน แต่ยังไม่ต้องรีบตัดสินใจ สิ่งที่ฉันอยากถามแกตอนนี้ก็คือ ลูกพี่ของแกเป็นผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย เป็นคนเอเชียหรือเป็นคนยุโรป แล้วก็ลักษณะเด่นของเขาเป็นยังไง”
เสี่ยวอวี้หลินจริงจังมาก ชายมีหนวดจึงไม่กล้าโกหกอีกต่อไป เขาคิดย้อนกลับไปอย่างละเอียดและพูด “ทุกครั้งที่พวกเราเจอกัน เขาจะนั่งอยู่มุมมืดทำให้เห็นหน้าไม่ชัด แต่ก็สามารถดูออกได้ว่าเขาเป็นคนเอเชีย รูปร่างสูงใหญ่ แล้วก็….”
“แล้วก็อะไร”
“ตาของเขา…. เหมือนจะไม่เหมือนกัน”
“ไม่เหมือนกันตรงไหน”
“บอกไม่ถูก บอกได้แค่ว่า ไม่มีใครกล้าสบสายตา ต้องรีบหลบสายตาทันที”
หลังจากได้ยินอย่างนั้นเสี่ยวอวี้หลินก็เริ่มคิดว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง
เมื่อเห็นเสี่ยวอวี้หลินขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด ชายมีหนวดก็พูดว่า “พวกคุณจะทำอย่างนี้ทำไม ให้เย่จิงเหยียนมาก็จบไม่ใช่หรอ แค่เจอหน้าอยากรู้อะไรก็รู้แล้ว”
เสี่ยวอวี้หลินมองหน้าชายมีหนวดและพูดว่า “ในเมื่อรู้ว่าเป็นกับดัก ยังคิดจะกระโดดเข้าไปยังไง”
“ถ้าไม่เข้าไปก็ไม่มีทางอื่นแล้ว”
มู่ยู่วฉียื่นมือไปตบหัวชายมีหนวด และพูดเตือนว่า “จำไว้ตอนนี้แกเป็นเฉลย เก็บคำพูดของแกไปซะ ระวังฉันจะจัดการกับแก”
เมื่อได้ฟังคำเตือนจากอีกฝ่าย ชายมีหนวดก็ไม่พูดอะไรอีก
เสี่ยวอวี้หลินหันไปสั่งลูกน้องของตัวเอง “ดูแลผู้ชายคนนี้ให้ดี ถ้าไม่มีคำสั่งจากฉัน ใครก็ห้ามแตะต้อง ฉันอยากจะให้มันได้ดูว่าใครกันแน่คือผู้แข็งแกร่ง”
“ครับ”
เขาหันไปมองชายมีหนวดอีกครั้ง จากนั้นก็เดินจากไป
หนานกงเจากับมู่ยู่วฉีก็เดินตามออกจากห้องไปพร้อมกัน
มู่ยู่วฉีที่เดินตามอยู่ข้างหลัง รีบตามมาถามว่า “นายว่าคำพูดของชายมีหนวดน่าเชื่อถือไหม”
“ตอนนี้เราถือไพ่เหนือกว่ามัน ถึงแม้มันจะอยากส่งข่าว แต่มันก็ไม่กล้าขนาดนั้น แถมคนคนนี้ก็ติดเหล้า ถ้าลูกพี่มันฉลาดสักหน่อย ก็ไม่มีทางมอบงานสำคัญให้มันทำ”
มู่ยู่วฉีพยักหน้า
มู่ยู่วฉีหันไปมองหนานกงเจาที่เอาแต่ก้มหน้าเงียบอยู่ข้างๆและถาม “หนานกงเจา ทำไมไม่พูดไม่จา”
“ฉันกำลังคิดว่าจะโทรบอกเรื่องนี้กับเย่จิงเหยียนดีไหม”
“เย่ชูวเสวี่ยเป็นน้องของเขา ยังไงพวกเราก็ต้องบอกเขา”เสี่ยวอวี้หลินตบไหล่ของเขาและพูด “ฉันรู้ว่านายกำลังกังวลเรื่องอะไร กลัวว่าพี่น้องตระกูลเย่จะโดนหลอกใช่ไหม แต่มีประโยคนึงพูดว่า ไม่เข้าทำเสือไม่ได้ลูกเสือ เราต้องกุมชีวิตศัตรู ถึงจะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงจุดประสงค์ และรักษาชีวิตไว้ได้”
“แต่ฉันกังวลว่าเป้าหมายของเขาจะไม่ใช่พี่น้องตระกูลเย่”
คำพูดของหนานกงเจาทำให้เสี่ยวอวี้หลินกับมู่ยู่วฉีเงียบไป
ผ่านไปครู่หนึ่งมู่ยู่วฉีก็พูดว่า “ไม่ว่ายังไงพวกเราก็ต้องบอกเขา จะตัดสินใจยังไงค่อยคุยกันอีกที”
“ใช่ นายอย่าดูถูกความสามารถของพวกเราเกินไป ฉันไม่เชื่อหรอกว่าพวกเราจะไม่สามารถจัดการผู้ชายคนนั้นได้”
หนานกงเจาหายใจเข้าลึกๆและพูดว่า “ที่พูดมาก็ถูก”
ทุกคนขับรถกลับบ้านด้วยสีหน้าเคร่งขรึมมาก
เซี่ยอันน่ารอเสี่ยวอวี้หลินอยู่ตลอด เมื่อได้ยินเสียงรถเธอก็รีบออกมาทันที
เมื่อเห็นหน้าเขา เซี่ยอันน่าก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เธอเทน้ำให้ทุกคนและถามว่า “เป็นยังไงบ้าง”
“ฝ่ายนั้นอยากคุยกับเย่จิงเหยียน”
เซี่ยอันน่าวางแก้วน้ำลงและขมวดคิ้วพูด “ดูเหมือนจะเป็นศัตรูของตระกูลเย่ งั้นตอนนี้เราต้องบอกคุณเย่ไหม”
“แน่นอนนี่เป็นเรื่องของตระกูลเย่ ต้องให้คนตระกูลเย่มาจัดการอยู่แล้ว เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องเก่าที่มีมานาน พวกเราไม่สามารถจัดการได้”
“แต่ถ้าคุณเย่มา จะไม่ตกหลุมพรางของศัตรูหรอ ที่พวกเขาทำขนาดนี้ ก็เพื่อที่จะล่อคุณเย่ออกมา”
“เย่ชูวเสวี่ยอยู่ในมือของพวกมัน ถ้าพวกเราไม่ทำอย่างนี้ เย่ชูวเสวี่ยจะอยู่ในอันตราย แถมเย่จิงเหยียนก็ไม่ใช่คนที่จะมาลูบคมได้ง่ายๆ ถ้ามีเขาอยู่จะเป็นประโยชน์กับพวกเรามากกว่า”
ได้ยินอย่างนั้นเซี่ยอันน่าก็พยักหน้าลง
“อันน่า ผมส่งคุณกลับประเทศดีไหม”
ทันใดนั้นเสี่ยวอวี้หลินก็พูดขึ้นมา ทำให้เธอตกตะลึงหันไปมองทันที
เมื่อรู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น เธอก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ที่เย่ชูวเสวี่ยต้องตกอยู่ในอันตรายก็เพราะฉัน ฉันจะไปได้ยังไง”
“แต่คุณอยู่อย่างนี้มันอันตรายมาก”
“ฉันยังนึกภาพคนนั้นไม่ออก ถ้าฉันนึกขึ้นมาได้ อาจช่วยพวกคุณหาตัวคนร้ายได้ก็ได้”
เซี่ยอันน่าจ้องเสี่ยวอวี้หลิน สายตาเต็มไปด้วยความคาดหวังและขอร้อง
เธอจับมือของเสี่ยวอวี้หลินและพูดอย่างขอร้อง “ให้ฉันอยู่ต่อเถอะ ไม่อย่างนั้นฉันต้องกังวลตายแน่ แถมฉันจะไม่ทำตัววุ่นวาย จะอยู่ที่นี่อย่างสงบ โอเคไหม”
เสี่ยวอวี้หลินทำตัวไม่ถูกเขาลังเลอยู่แปบหนึ่ง “ก็ได้ แต่คุณต้องรับปากกับผมว่า อย่าออกไปไหนคนเดียว ให้ผมได้ดูแลคุณ”
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวอวี้หลินตอบตกลงแล้ว เธอก็ยิ้มออกมาอย่างจริงใจ
มู่ยู่วฉีที่นั่งอยู่ข้างๆ เมื่อได้ฟังคำพูดของทั้งสองคน ก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “มีแค่ตอนยากลำบากอย่างนี้แหละที่จะได้เห็นจิตใจที่แท้จริงของคน คุณเซี่ยยังอยู่ต่อได้ ช่างเป็นคนกล้าหาญจริงๆ”
เซี่ยอันน่าไม่ได้รู้สึกดีใจเหมือนถูกชม แต่กลับรู้สึกไม่พอใจ “ไม่ต้องมาชมฉัน ฉันกำลังลบความผิดในใจให้ตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน ชูวเสวี่ยก็คงไม่ตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู”
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็เป็นคนผิดคนแรก โดนแอบถ่ายยังไม่รู้ตัวเลย พวกเราอย่ามาโทษตัวเองอยู่เลย พวกเราควรจะปรับอารมณ์ ช่วยกันเอาชนะศัตรูดีกว่า”
ตอนที่ยังไม่ได้เจอมู่ยู่วฉี เธอก็เคยได้ยินชื่อเสียงเขามาบ้าง
เขาไม่ได้นิ่งขรึมอย่างเสี่ยวอวี้หลิน มู่ยู่วฉีมีความขี้เล่นกว่า
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีท่าทางอย่างนั้นแล้ว ความคิดของเขามุ่งมั่นและชัดเจน
จากสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า เราไม่ควรเชื่อข่าวลือ เหมือนตอนนั้นที่เธอโดนใส่ร้ายไม่มีผิด
เธอมองมู่ยู่วฉีอีกครั้งและยิ้มออกมาด้วยความอ่อนโยน
….
เมื่อได้ข่าวเย่จิงเหยียนก็ไปอังกฤษทันที
และต้วนอีเหยาก็มากับเขาด้วย
เมื่อเห็นต้วนอีเหยาเซี่ยอันน่าก็ตกใจมาก
“พี่อีเหยา มาได้ยังไงคะ”
ใบหน้าของต้วนอีเหยายังคงซีดขาว แต่สายตาของเธอน่ากลัวมาก
“มาช่วยเย่ชูวเสวี่ยน่ะสิ ใครที่กล้าแตะต้องเธอ คงไม่อยากมีชีวิตอยู่สินะ”
“แต่ร่างกายของพี่….”
“เจ็บแค่ผิวเผินเท่านั้น ไม่ได้เรื่องใหญ่อะไร”
ต้วนอีเหยาทำท่าไม่ใส่ใจ แต่เซี่ยอันน่าก็ขมวดคิ้วขึ้น
“ไม่เป็นไรได้ยังไง หมอบอกให้พี่พักผ่อนบนเตียงนะ”
“ร่างกายของฉันฉันรู้ตัวดี ไม่จำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่”ต้วนอีเหยาหันไปมองเสี่ยวอวี้หลินด้วยสายตาเฉียบขาด “ได้เรื่องยังไงบ้างบอกมาให้หมด”
เมื่อต้วนอีเหยาอยู่ตรงนี้ สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปทันที แค่มีเธออยู่ก็สามารถปลุกใจทุกคนได้