วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 497 ในเมื่อหนีไม่ได้ก็เผชิญหน้ากับมัน
- Home
- วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
- บทที่ 497 ในเมื่อหนีไม่ได้ก็เผชิญหน้ากับมัน
แต่เย่จิงเหยียนกลับไม่ชอบที่ต้วนอีเหยาเป็นอย่างนี้ เธอแข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งจนทำให้เขารู้สึกปวดใจ
“คุณพักผ่อนเถอะ เรื่องพวกนี้ผมจัดการเอง”
“แค่นั่งเครื่องบินมาเอง ทำไมต้องพักผ่อนด้วย อย่าเสียเวลาเลย ทุกคนกำลังรอเราอยู่ พวกเราต้องหามาตรการรับมือออกมาให้เหมาะสม”
เมื่อเห็นเย่จิงเหยียนพยักหน้า เสี่ยวอวี้หลินก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เขารู้แก่เย่จิงเหยียนและต้วนอีเหยา
ต้วนอีเหยาตั้งใจฟังจากนั้นก็เงยหน้าและพูดว่า “พาฉันไปเจอชายมีหนวดนั่นหน่อย”
เสี่ยวอวี้หลินเดินนำทุกคนเข้าไปในห้องลับ
ชายมีหนวดยังมีแผลตามร่างกาย ตอนนี้เขากำลังนอนหลับตาอยู่บนเตียง
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู
เขาก็ลืมตาขึ้นมามอง
จากนั้นเขาก็เห็นผู้หญิงชาวตะวันออกเดินเข้ามาช้าๆ
เธอสวยมาก ราวกับเทพธิดา
แต่ดวงตาของเธอคมราวกับมีดที่สามารถเฉือนเนื้อออกเป็นชิ้นๆ
ชายมีหนวดสั่นขึ้นมาทันที เขาพยายามพยุงตัวเองขึ้น
แต่เพราะเขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ดังนั้นจึงได้ล้มลงไปอีกครั้ง
ต้วนอีเหยานั่งยองๆข้างชายมีหนวด และสั่งอย่างรวบรัด “บอกเจ้านายของแกว่าเย่จิงเหยียนมาอังกฤษแล้ว พวกเราอยากคุยกับเย่ชูวเสวี่ยเพื่อยืนยันว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร จากนั้นถึงจะยอมเจอกับนายของแก”
น้ำเสียงของเธอเฉียบขาด ทำให้คนฟังไม่กล้าขัด
ผู้หญิงคนนี้ไม่เหมือนกับคนอื่นๆก่อนหน้านี้ เธอคือใคร
เมื่อเห็นชายมีหนวดจ้องตัวเองด้วยความงง ต้วนอีเหยาก็หมดความอดทน เธอยกมือขึ้นบีบบาดแผลของเขาอย่างรุนแรงและพูดว่า “คิดอะไรอยู่ ทำไมไม่รีบโทรอีก”
คิดไม่ถึงว่าตอนแรกยังเป็นเหมือนเทพธิดาอยู่ แค่เพียงพริบตาก็เปลี่ยนเป็นปีศาจ
ชายมีหนวดไม่กล้าคิดไปเรื่อยเปื่อยอีก เขากองอยู่บนพื้นส่งเสียงโหยหวน
ฉากน้องเลือดนั้นทำให้เซี่ยอันน่าต้องหันหน้าหนี เสี่ยวอวี้หลินจึงตบแขนเธอเบาๆเพื่อปลอบโยน
เสียงกรีดร้องค่อยๆหายไป ชายมีหนวดใบหน้าซีดเผือด ร่างกายสั่นเทา
ชายมีหนวดก้มหน้ามองโทรศัพท์ที่อยู่ที่เท้า และยกขึ้นมากดเบอร์ทันทีอย่างไม่เต็มใจ
เพราะมีต้วนอีเหยาอยู่เขาจึงไม่กล้าเล่นลิ้น เขาทำได้แค่ทำตามอย่างอ่อนน้อม
เมื่อเห็นชายมีหนวดเป็นอย่างนี้ มู่ยู่วฉีก็พูดออกมาว่า “ไม่ต้องกังวลรอบนี้เราจะไม่แย่งโทรศัพท์แก แกค่อยๆคุยได้”
เมื่อปลายสายรับสาย ชายมีหนวดก็พูดสั้นๆสองสามคำ จากนั้นก็ส่งโทรศัพท์มาถามว่า “ใครจะคุยกับเย่ชูวเสวี่ย”
หนานกงเจาและเย่จิงเหยียนต่างเข้าไปเอาโทรศัพท์ แต่เมื่อทั้งสองคนสบตากัน หนานกงเจาก็ต้องยอมถอยไป
มู่ยู่วฉีตบไหล่ให้กำลังใจเขา
เย่จิงเหยียนหยิบโทรศัพท์มาพูดด้วยเสียงต่ำ “ชูวเสวี่ย”
“พี่อยู่ที่ไหน มาช่วยฉันเร็ว”
เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของเย่ชูวเสวี่ย เย่จิงเหยียนก็เบาใจลงบ้าง
“ชูวเสวี่ย ไม่ต้องร้อง ตอนนี้พวกเราอยู่อังกฤษทั้งหมด พวกเราจะไปช่วยเธอกลับมาบ้านแน่นอน ตอนนี้เธอสบายดีไหม พวกนั้นทำอะไรเธอหรือเปล่า”
“เปล่า พวกเขาขังฉันไว้ห้องเล็กๆห้องหนึ่งเหมือนกับคุกไม่มีผิด แต่มักจะมีกลิ่นขี้ม้าอยู่ตลอดเวลา น่ารังเกียจมาก พี่รีบมารับฉันเร็ว ไม่ว่าพวกเขาจะขออะไรก็ให้ไปซะ ฉันรับไม่ได้แล้ว”
เย่จิงเหยียนกำมือแน่นพูดว่า “รู้แล้ว เธอ….”
ยังไม่ทันพูดจบเย่จิงเหยียนก็ได้ยินเสียงร้องของเย่ชูวเสวี่ยดังผ่านสายเข้ามา
เสียงแหลมค่อยๆไกลออกไปเรื่อยๆ ก่อนจะมีเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นมาแทน
“เย่จิงเหยียนไม่ได้เจอกันนานเลย”
เสียงแปลกๆนั้นราวกับคุ้นเคยกับเย่จิงเหยียนเป็นอย่างดี
“ไอ้สาระเลวแกอย่าทำอะไรน้องฉันนะ”
ฝั่งตรงข้ามหัวเราะอย่างพอใจและพูดช้าๆว่า “จะทำยังไงกับน้องของแกก็ต้องดูที่การกระทำของแกแล้ว เย่จิงเหยียนแกกล้าเจอกับฉันตรมลำพังไหมล่ะ”
เย่จิงเหยียนพูดเหยียด “บอกสถานที่และเวลามา”
“พรุ่งนี้เช้าแปดโมงครึ่ง เจอกันที่ท่าเรือ จำไว้ว่าแกต้องมาคนเดียว ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่าน้องแก”
“ฉันไปเจอแกได้ แต่ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าแกปล่อยน้องฉันหรือยัง”
“สบายใจได้เป้าหมายของฉันคือแก ถ้าฉันได้เจอแกแล้วฉันจะปล่อยน้องแกกลับไป”
“คำพูดของแกไม่มีหลักประกันใดๆ ฉันเชื่อไม่ได้”
อีกฝ่ายหัวเราะเสียงเย็น และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบและโหดร้าย “แกไม่มีสิทธิ์มาตั้งเงื่อนไขกับฉัน เย่จิงเหยียน แค่แกมาเหยียบอังกฤษแกก็แพ้แล้ว ฉันแค่ต่อเวลาให้แค่นั้น”
เมื่อพูดจบไปสายก็ตัดสายไป
ชาติชั่ว!
เย่จิงเหยียนโยนโทรศัพท์ไว้ข้างๆด้วยสายตาดุร้าย
เมื่อเห็นเย่จิงเหยียนโยนโทรศัพท์ทิ้ง ทุกคนก็รีบล้อมเข้ามาถาม “เป็นยังไงบ้าง ทางนั้นว่ายังไง”
เย่จิงเหยียนหรี่ตาลง รังสีอำมหิตแผ่ออกมาทั่วร่างกายของเขา
คนที่สนิทกับเขาต่างรู้แล้วว่าเขากำลังโกรธอยู่
การทำให้เย่จิงเหยียนโกรธเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก
เย่จิงเหยียนพยายามข่มตัวเอง และตอบทุกคนว่า “ให้คนไปตรวจสอบฟาร์มม้าทั้งหมดในลอนดอน”
“ฟาร์มม้าหรอ”
“ใช่”เย่จิงเหยียนสงบลงเขาพูดอย่างเย็นชา “เมื่อกี้ตอนคุยโทรศัพท์ ชูวเสวี่ยส่งสัญญาณให้ฉันหนึ่งอย่าง เธอบอกว่ามีกลิ่นขี้ม้าอยู่รอบๆ แสดงว่าเธอถูกขังอยู่ในฟาร์มม้า ไม่น่าจะไกลจากท่าเรือมาก”
เมื่อมู่ยู่วฉีได้ยินอย่างนั้นก็รีบบอกว่า “ผมค่อนข้างคุ้นเคยกับลอนดอน เรื่องนี้ให้ผมจัดการเอง”
“จำไว้ว่านายมีเวลาแค่คืนเดียว หาเจอแล้วอย่าวู่วาม รอกำลังไปสมทบก่อนค่อยลงมือ”
มู่ยู่วฉีพยักหน้าพูด “ครั้งนี้ผมจะช่วยชูวเสวี่ยให้ได้ แต่เสียดายที่ไม่สามารถจับคนที่อยู่เบื้องหลังได้”
“ทำไมถึงทำไม่ได้”
คำพูดของเย่จิงเหยียนทำให้มู่ยู่วฉีตะลึง “ถ้าพวกเราไปช่วยชูวเสวี่ยออกมาได้ ฝั่งตรงข้ามก็ต้องรู้ข่าว แล้วจะยอมไปเจอพี่ได้ยังไง”
“หึ แกคิดว่ามันจะใช้ชูวเสวี่ยตัวจริงไปเจอฉันหรอ นี่เป็นกลลวง”
“อะไรนะ”
เมื่อนึกถึงเสียงนั้นขึ้นมาได้ เย่จิงเหยียนก็พูดว่า “เสียงของผู้ชายคนนั้นแปลกมาก แต่ฉันก็ฟังออกว่าน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ในเมื่อเกลียดฉัน แล้วจะเป็นคนดีได้ยังไง”
“ผู้ชายคนนี้มีความแค้นอะไรกับพวกเธอกันแน่ ทำไมถึงผูกใจเจ็บขนาดนี้”
“ถ้าจับได้มันค่อยทรมานถาม หลังจากที่พวกนายช่วยชูวเสวี่ยแล้ว ให้จัดการทุกคนทันที อย่าให้พวกมันมีโอกาสได้ส่งข่าว”
มู่ยู่วฉีพยักหน้า “ไม่ต้องห่วง ผมรู้ว่าต้องทำยังไง”
“ตอนนี้เราแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่ม หนานกงเจานำคนไปซุ่มโจมตีรอบๆท่าเรือ ส่วนเสี่ยวอวี้หลินกับมู่ยู่วฉีรับผิดชอบการช่วยเหลือชูวเสวี่ย”
ระหว่างที่เย่จิงเหยียนแบ่งคน ก็ไม่ได้พูดถึงตัวเอง และก็ไม่ให้ต้วนอีเหยาทำด้วย
“ฉันก็จะไปที่ท่าเรือ”
“ไม่ได้ พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าศัตรูเป็นใคร นี่อันตรายเกินไป”
ต้วนอีเหยาไม่กลัวเลย เธอพูดว่า “เพราะไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งแค่ไหน จึงต้องเตรียมการอย่างดีที่สุด ฉันเห็นว่าที่พวกคุณเตรียมกันเมื่อกี้มันไม่พอ”
พูดจบเธอก็เปิดกระเป๋าเดินทางของเธอ ข้างในเต็มไปด้วยอาวุธสงครามมากมาย
มู่ยู่วฉีเดาะลิ้นทันที ไม่แปลกใจว่าทำไมตอนที่เขาช่วยขนกระเป๋าเดินทางถึงได้หนักขนาดนั้น เอวเขาแทบหัก ที่แท้ก็มีของพวกนี้อยู่ข้างใน
เมื่อเห็นของพวกนี้เย่จิงเหยียนก็พูดไม่ออก
“คุณเตรียมตั้งแต่ตอนไหน”
“ก่อนออกมา”
ไม่มีใครจะสามารถเตรียมอาวุธได้เร็วขนาดนี้แล้ว
สำหรับเซี่ยอันน่า ของพวกนี้เป็นสิ่งแปลกใหม่มาก
เธอเคยเห็นของพวกนี้ตอนถ่ายหนังเท่านั้น
แต่ตอนนี้ของเหล่านี้เป็นของจริงไม่ใช่ของประกอบฉาก
เซี่ยอันน่ากลืนน้ำลายและถามว่า “พี่อีเหยา พวกนี้เป็นของจริงใช่ไหม”
“แน่นอน ทั้งหมดเป็นของดี รับรองว่าจะทำให้พวกเราแข็งแกร่งมากขึ้น”
เย่จิงเหยียนกวาดสายตามองอาวุธและพูด “ผมจะรับอาวุธไว้ แต่คุณต้องอยู่ที่นี่”
“เย่จิงเหยียนถ้าคุณไม่ให้ฉันไป ก็อย่าหวังว่าจะได้อาวุธพวกนี้”
ทั้งสองส่งสายตาฟาดฟันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
สุดท้ายมู่ยู่วฉีก็พูดออกมาว่า
“ถึงพี่จะไม่ยอมให้อีเหยาไป เดี๋ยวเธอก็หาวิธีตามไปเอง อย่างนั้นจะอันตรายกว่าเดิม เพราะฉะนั้นยอมให้เธอไปเถอะ”
เย่จิงเหยียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมา
“ก็ได้ แต่คุณห้ามทำอะไรโดยไม่ได้รับอนุญาต ผมรับไม่ได้ถ้าต้องเสียคนที่รักไป”
น้ำเสียงของเย่จิงเหยียนมีความขอร้องอยู่
ต้วนอีเหยาอึ้ง ก่อนจะพยักหน้า “ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะไม่ทำอะไรผลีผลาม”
วันถัดไป
เมื่อถึงเวลาแล้วทุกคนก็เตรียมตัวพร้อมจะออกเดินทาง
เซี่ยอันน่าเป็นคนรออยู่ที่บ้านคนเดียว เธอมองไปตามหลังของทุกคนด้วยความไม่สบายใจ
ต้วนอีเหยาเตรียมอาวุธไว้กับตัว จากนั้นก็หันมาพูดกับเซี่ยอันน่า “อันน่าเธออยู่ที่นี่ อย่าออกไปไหนคนเดียว”
“ค่ะ ฉันจะเตรียมอาหารไว้ให้ รอพวกคุณมีชัยกลับมา”
“แน่นอน”
เมื่อเห็นเซี่ยอันน่ายืนนิ่งสงบอยู่ตรงนั้น เสี่ยวอวี้หลินก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา
ตอนแรกเขาอยากให้ผู้หญิงคนนี้มีชีวิตที่สงบสุข
แต่ก็มักจะมีเรื่องเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เสี่ยวอวี้หลินรู้สึกผิดโทษตัวเองมาก เขายื่นมือไปกอดเซี่ยอันน่าอย่างไม่สนใจสายตาคนอื่น และก็โน้มตัวลงไปจูบเธอ
ยังไม่ทันที่เซี่ยอันน่าจะรู้ตัวดี เสี่ยวอวี้หลินก็ถอนตัวออกไปสบตากับเธออย่างลึกซึ้ง
“เชื่อผมว่าทุกอย่างจะดีขึ้น”
เซี่ยอันน่ารู้ว่าเสี่ยวอวี้หลินเห็นเธอไม่สบายใจจึงปลอบเธอ
เธอฝืนยิ้มขึ้นมาพูด “ฉันเชื่อใจคุณ”
“น่ารักมาก”
เสี่ยวอวี้หลินบีบจมูกเธออีกครั้งด้วยความรู้สึกท่วมท้น
มู่ยู่วฉีชนไม่ได้อีกต่อไปจึงพูด “พอแล้วมั้ง เห็นใจความรู้สึกคนอื่นมั่ง”
เซี่ยอันน่าถอยหลังไปด้วยใบหน้าแดงๆ
แต่เสี่ยวอวี้หลินกับพูดว่า “ทำไมพูดมากอย่างนี้”
“ฉันทนมองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว คอยดูเถอะฉันจะหาแฟนไปทำหวานต่อหน้านายทุกวันเลย”
“พอแล้วไปกันเถอะ”
เมื่อทุกคนจากไปแล้วเซี่ยอันน่าก็พูดกับเสี่ยวอวี้หลินว่า
“เสี่ยวอวี้หลินคุณต้องระวังนะ”
เสี่ยวอวี้หลินหันมาโบกมือให้เซี่ยอันน่า “ครับ”
เขาค่อยๆเดินห่างไปเรื่อยๆก่อนจะหายไป
และหัวใจของเธอก็รู้สึกว่างเปล่าเช่นกัน
ไม่ได้เธอจะบ่นตัวเองในใจอย่างนี้ต่อไปไม่ได้
เมื่อทุกคนออกไปห้องก็เงียบลง เซี่ยอันน่าจึงหาอะไรทำเพื่อเปลี่ยนอารมณ์ของเธอ แต่เธอก็ไม่รู้จะทำอะไรดี
จะอ่านหนังสือจิตใจของเธอก็ห่อเหี่ยว เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเธอก็ได้แต่เหม่อ เมื่อดูทีวี ก็ราวกับกำลังทำแบบทดสอบภาษาอังกฤษอยู่
หงุดหงิด หงุดหงิดมาก
เซี่ยอันน่าปิดทีวี นอนหลับตาลงคนเตียง
เมื่อคืนเธอนอนไม่ค่อยหลับ มักจะสะดุ้งตื่นเสมอ ทำให้ตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกปวดหัว
จึงคิดว่าใช้เวลาตอนที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรพักสายตาดีกว่า
ความคิดดีมาก แต่เซี่ยอันน่าก็คิดว่าเธอต้องนอนไม่หลับแน่ๆ เพราะวันนี้กำลังจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
แต่ในความเป็นจริง เซี่ยอันน่านอนไปไม่นานเธอก็หลับลึกไป
ทันทีที่เธอหลับไปเธอก็เริ่มฝัน
เธอฝันว่าเธอได้กลับไปที่เมืองหลวงแล้ว และกำลังจะเตรียมตัวกลับโรงเรียน
ท้องฟ้ามืดแล้ว ถนนมีคนเดินน้อยมาก แถมยังมีฝนตกปรอยๆ
เซี่ยอันน่ากุมเสื้อตัวเองแน่นและรีบวิ่งไป หวังว่าจะไปถึงโรงเรียนโดยเร็ว
แต่ระหว่างที่เดินอยู่นั้น เธอก็เห็นว่าข้างหลังมีคนหนึ่งกำลังเดินตามเธออยู่
เซี่ยอันน่ากลัวมากไม่กล้าหันหลังกลับไป จึงได้แต่เดินเร็วขึ้นด้วยเรื่อยๆหวังว่าเธอจะไปในที่ๆมีแสงไฟและคนมากกว่านี้ เพื่อสลัดคนที่อยู่ข้างหลัง
แต่น่าเสียดายที่ความหวังนั้นไม่เป็นจริง ถนนแคบลงเรื่อยๆ แสงไฟก็เริ่มน้อยลง มันเงียบสงบจนเธอได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง
เร็วๆเข้า!
เซี่ยอันน่าวิ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลัง แต่เธอดันไปเจอทางตัน
ทันใดนั้นบรรยากาศรอบข้างก็เปลี่ยนไปทันที ที่แท้ที่ที่เธออยู่คือห้องใต้ดินที่เธอถูกขัง
แปลก เธอวิ่งมาที่นี่ได้ยังไง
เธอไม่มีทางหนี จึงได้แต่หันกลับไปด้วยความหวัดกลัว พร้อมกับจ้องคนที่เดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
เธอกอดกระเป๋าไว้แน่น ไม่กล้าร้องออกมา
คนที่ตามเธอมา ค่อยๆเดินเข้ามาในแสงไฟ และปรากฏใบหน้าของเขา
หน้าของเขา….
คำพูดของเธอถูกกลั้นเอาไว้ ในขณะที่กำลังจะพูดออกมา
“กรี๊ด!”
ในช่วงสำคัญเซี่ยอันน่าก็ตื่นขึ้นมา เธอหายใจอย่างรุนแรงและมองไปรอบๆ
ที่แท้ก็เป็นแค่ความฝัน….
เซี่ยอันน่าหลับตา หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ
ถึงจะเป็นแค่ความฝัน แต่เธอก็นึกถึงเรื่องสำคัญในความฝันขึ้นมา
ในที่สุดเซี่ยอันน่าก็รู้ว่าสถานที่ที่คุ้นเคยนั้นคือที่ไหน
เซี่ยอันน่ารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเสี่ยวอวี้หลิน
“เธอจะโทรหาใคร”
น้ำเสียงเย็นชาดังมาจากข้างหลัง ทำให้เซี่ยอันน่าตัวแข็งค้างทันที
เซี่ยอันน่าไม่กล้าหันหลังกลับไป เธอกำโทรศัพท์ไว้แน่น เนื้อตัวสั่นไปหมด
แต่คนข้างหลังของเธอกับยิ้มและเดินเข้ามาหาเธอทีละก้าว
“ไม่ได้เจอกันมานาน เธอจะต้อนรับฉันอย่างนี้หรอ”
ร่างกายของเธอสั่นรุนแรงมากขึ้น เธอหวังว่านี่ก็จะเป็นแค่ความฝันเหมือนกัน
เธอจิกเล็บลงบนฝ่ามือ และเธอก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ฝัน
ในเมื่อไม่มีทางหนี งั้นก็เผชิญหน้าแล้วกัน