วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 499 หาคนในใจเจอ
ชายมีหนวดพุ่งเข้าใส่เสี่ยวอวี้หลินราวกับสัตว์ร้าย
แต่เสี่ยวอวี้หลินก็ยกเท้าขึ้นเตะเขาล้มลงบนพื้นได้อย่างง่ายดาย
สีหน้าของชายมีหนวดบิดเบี้ยว ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ “ไอ้สาระเลว”
“คนที่สาระเลวไม่ใช่ฉัน แต่เป็นแกที่ไม่รู้จักตัวเอง แล้วก็เจ้านายที่ร้ายกาจของแก ตอนนี้ตรงหน้าของแกมีแค่สองทางให้เลือก แกจะร่วมมือกับฉัน ช่วยขนของฉันออกมา หรือแกจะตายไปพร้อมกับครอบครัวของแก”
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวอวี้หลิน ชายมีหนวดก็นิ่งนานมาก
เมื่อเห็นอย่างนั้นเสี่ยวอวี้หลินจึงหันหลังเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อน”
ชายมีหนวดรีบรั้งเขาไว้ สายตาเต็มไปด้วยความสับสน
“ตัดสินใจแล้วหรอ”
“ถึงฉันจะบอกทุกอย่างกับแก แกก็ไม่มีทางช่วยคนของนายได้”
เขาใจกระตุก
“ฉันมีความสามารถแน่นอน บนโลกใบนี้ไม่ใช่มีแค่ที่หกที่กุมท้องฟ้าไว้”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นม่านตาของชายมีหนวดก็หดลง
หลังจากที่ต่อสู้ในใจอย่างดุเดือด สุดท้ายเขาก็ตัดใจพูดว่า “ได้ฉันจะบอกนาย แต่ถ้าแกไม่ทำตามที่พูด ถึงเป็นผีฉันก็ไม่ปล่อยแกไปแน่”
“อย่าพูดไร้สาระ บอกที่แกรู้ทุกอย่างมา”
ชายมีหนวดหายใจเข้าลึกๆและพูด “คนของนาย ที่ติดต่อกับฉันคือป้าที่ทำอาหาร”
ผู้หญิงอัปลักษณ์คนนั้นหรอ
เสี่ยวอวี้หลินขมวดคิ้ว “หึ มองคนที่ภายนอกไม่ได้จริงๆ”
“ป้าคนนั้นไม่ใช่คนร้าย แต่เธอรับเงิน เพื่อช่วยส่งข่าว”
“แกคิดว่าฉันโง่หรอ ป้าธรรมดาคนหนึ่งจะลักพาตัวคนออกไปได้ยังไง เหมือนแกจะไม่พูดความจริงนะ”
ใช่มีหนวดก้มหน้าลง ไม่พูดอะไรอีก “ฉันบอกทุกอย่างที่ฉันรู้ให้นายแล้ว ที่ฉันรู้ก็มีแค่นี้”
หลังจากเสี่ยวอวี้หลินฟังจบเขาก็ไม่ถามต่อ หันหลังเดินออกไปทันที
มู่ยู่วฉีรออยู่ข้างนอก เมื่อเห็นเสี่ยวอวี้หลินเดินออกมาก็รีบถาม “เป็นยังไงบ้าง”
เสี่ยวอวี้หลินบอกเรื่องที่ตัวเองรู้ให้มู่ยู่วฉีฟังอีกรอบ และสีหน้าของมู่ยู่วฉีก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันใด
“นายเชื่อคำพูดของมันไหม”
“ครึ่งครึ่ง”
“มาถึงขนาดนี้แล้วยังเจ้าเล่ห์อยู่อีก”
“ตอนนี้เราไม่ควรมาเสียเวลากับผู้ชายคนนี้แล้ว เราหาตัวแม่บ้าน แล้วตรวจสอบดีกว่า”
“ได้เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉัน”
วันถัดไป
การเสียลู่ซี่ซึ่งเป็นหมากตัวสำคัญ ทำให้การลงทุนล้มเหลว และเสียเปรียบในการแข่งขันกันในตระกูล หัวหน้าของลูซี่รู้สึกมืดแปดด้าน
และก็มีเรื่องให้เขาปวดหัวขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อมองไปที่ชายชาวตะวันออกในชุดสูท สวมรองเท้าหนัง คิ้วของเถ้าแก่ก็ขมวดขึ้น
“ทำไมคุณมาอีกแล้ว”
เสี่ยวอวี้หลินนั่งลงอย่างสง่างาม
ใบหน้าเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “เรื่องก่อนยังไม่สะสาง ผมเลยมาคุยกับคุณนิดหน่อย”
เถ้าแก่หน้าบึ้ง “ผมถอนตัวออกจากโครงการแล้ว ผลประโยชน์ทั้งหมดเป็นของคุณ คุณยังจะเอาอะไรอีก”
เสี่ยวอวี้หลินยังคงยิ้มถึงแม้เถ้าแก่จะโกรธแล้ว “แต่ผมไม่ต้องการเงิน แถมยังช่วยคุณบริหารบริษัทได้ แต่คุณต้องช่วยผมโดยไม่มีเงื่อนไข”
ถึงแม้ข้อเสนอนี้จะน่าสนใจมาก แต่เถ้าแก่ก็มองไปที่เสี่ยวอวี้หลินอย่างระมัดระวัง “กล้าสัญญากับผมขนาดนี้แสดงว่าเรื่องนี้ต้องไม่ง่ายที่จะจัดการแน่ๆ”
“สำหรับคุณมันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แค่หาใครคนหนึ่ง”
“หาใคร”
“ผู้หญิงของผมเซี่ยอันน่า”
เถ้าแก่ถาม “เธอถูกลักพาตัวหรอ”
“ใช่”
“ใครลักพาตัว”
“พี่หกในเจียงหู”
“พี่หก….”
สีหน้าของเถ้าแก่ดูสับสน ราวกับไม่เคยได้ยินชื่อคนนี้
“ตาของเขาเป็นสีม่วง”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นสีหน้าของเถ้าแก่ก็เปลี่ยนไป เขารีบปฏิเสธ “ผมไม่รับข้อเสนอนี้”
ดวงตาของเสี่ยวอวี้หลินมืดลง “คุณกลัวแล้วหรอ”
“ผมรู้จักคนที่คุณพูดถึง เขาเป็นคนจิตใจโหดเหี้ยม ไม่สนใจศีลธรรมใดๆ ใครมีปัญหากับเขา มัคจะจบชีวิตลงอย่างน่าอนาจ ฉันไม่อยากเอาตัวเข้าไปยุ่งหรอกนะ”
“ครอบครัวของคุณเป็นถึงตระกูลทหารผ่านศึกเก่า กลัวผู้มีอิทธิพลต่างชาติมือใหม่ด้วยหรอ ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ”
“ถ้าพูดตามความจริง ตระกูลของเรามีความแข็งแกร่งทั้งภายนอกและภายในจริง แต่ว่าพวกแก๊งใหม่ที่เกิดขึ้นมาก็มีกำลังไม่น้อย เราไม่สามารถประมาทได้”
“เดิมทีตำแหน่งของฉันในตระกูลก็สั่นคลอนมากแล้ว ถ้าฉันหาเรื่องให้ตัวเองอีก ก็เหมือนกับการฆ่าตัวเองตาย”
เสี่ยวอวี้หลินก้มหน้าเล่นกับแก้วในมือด้วยรอยยิ้ม แต่สายตากับเต็มไปด้วยความอันตราย
“ในประเทศจีนมีสำนวนโบราณว่า กำเนิดอย่างสุขสันต์ มอดม้วยด้วยทุกข์ยาก ถ้าคุณหลีกเลี่ยงพี่หก คุณก็จะมีความสุขในระยะสั้นเท่านั้น ถ้าคุณชิงใช้โอกาสนี้ลงมือพี่หกก่อน ชื่อเสียงของคุณก็จะเพิ่มขึ้นไม่เหมือนตอนนี้”
ต้องบอกว่าเสี่ยวอวี้หลินมีความสามารถในการโน้มน้าวจิตใจคนจริง การพูดเพียงไม่กี่คำทำให้คนรู้สึกสับสนขึ้นมา
เมื่อเห็นความสนใจของเถ้าแก่ เสี่ยวอวี้หลินถึงโน้มตัวไปข้างหน้าและพูดต่อ
“และยังมีผมเป็นกำลังเสริม คุณแข็งแกร่งเหมือนเสือ แล้วยังกลัวอะไรอีก”
“คุณ…. จริงจังหรอ”
“ใช่ ผู้หญิงของผมยังอยู่ในมือของมัน ผมต้องออกแรงหนักกว่าใครอยู่แล้ว เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัย”
เถ้าแก่ลังเลอยู่แป๊บนึง จากนั้นเขาก็กัดฟันพูด “ก็ได้ ผมจะลองสักครั้ง”
เมื่อเห็นเถ้าแก่ร่วมมือด้วยแล้ว เขาก็ยกมุมปากขึ้นมายิ้มเล็กน้อย
ถึงแม้เขาจะยิ้ม แต่สายตาของเขาดูน่ากลัวมาก
…..
เซี่ยอันน่าตื่นขึ้นมาจากการหลับไหล และมองไปรอบด้านด้วยความตื่นตระหนก
“ตื่นแล้วหรอ”
น้ำเสียงที่น่ากลัวทำให้เซี่ยอันน่าตัวสั่น
เธอค่อยค่อยเงยหน้าขึ้นมองไปทางประตู จากนั้นก็เห็นชายคนหนึ่ง
เป็นเขาจริงๆด้วย นี่ไม่ใช่ความฝัน
จิตใจของเซี่ยอันน่าดิ่งลง ร่างกายก็เริ่มสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้
เมื่อเห็นท่าทางอย่างนี้ของเซี่ยอันน่า พี่หกก็รู้สึกสนุกขึ้น
เขาลุกเดินเข้าไปใกล้เซี่ยอันน่า แล้วยิ้มด้วยรอยยิ้มร้าย
“กลัวหรอ”
ตลกหรือไง เจอกับปีศาจใครจะไม่กลัวบ้าง
เซี่ยอันน่าพยายามสงบสติอารมณ์ แต่ถามอย่างสงบ “ทำไมคุณถึงไม่ยอมปล่อยฉันไป”
พี่หกโน้มตัวไปหาเซี่ยอันน่า สายตาของเขาราวกับจะตะครุบเหยื่อ
เขายื่นมือออกไปเพื่อจะจับแก้มของเธอ แต่เซี่ยอันน่าก็หลบด้วยความรังเกียจ
เขามองไปที่มือของตัวเองและยิ้มเยาะ “ผมชอบคุณขนาดนี้ แต่คุณกลับพูดอย่างนี้ ทำให้ผมเสียใจจริงๆ”
เซี่ยอันน่าขมวดคิ้วพูด “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเจอกัน คำพูดเสแสร้งแบบนั้นคุณไม่จำเป็นต้องพูด”
พี่หกมองเซี่ยอันน่าอย่างพิจารณา จากนั้นก็หัวเราะและพูดอย่างเย้ยหยัน “คุณเปลี่ยนไปแล้ว ความรู้สึกไม่เหมือนคราวก่อนเลย ทำไม อำนาจความรักมันยิ่งใหญ่จนทำให้คุณสามารถเปลี่ยนตัวเองเพื่อผู้ชายคนนั้นได้ขนาดนี้เลยหรอ”
เซี่ยอันน่าไม่ยอมให้คนอื่นมาดูถูกความรักของตัวเอง “คุณบอกว่าฉันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แต่ฉันกลับรู้สึกว่าฉันเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น สมบูรณ์แบบมากขึ้น”
“ที่คุณคิดอย่างนี้ได้เพราะคุณไม่รู้ว่าอะไรคือความสมบูรณ์แบบ ที่คุณกล้าพูดอย่างนี้ เพราะคุณหลอกตัวเองอยู่”
“หึ คุณไม่ใช่ฉันสักหน่อย จะรู้ได้ยังไงว่ามาตรฐานความสมบูรณ์แบบของฉันคืออะไร ฉันว่าคุณมั่นใจเกินไป”
คำพูดของเซี่ยอันน่า ทำให้พี่หกหรี่ตา พูดอย่างโหดร้าย “ดีมาก ปากกล้ามาก”
พูดจบพี่หกก็เดินเข้าไปใกล้เซี่ยอันน่า
เงาที่ค่อยๆใกล้เข้ามา ทำให้เซี่ยอันน่าหดตัวลง “คุณจะทำอะไร”
“ทำให้คุณรู้ว่าผมมีอำนาจ อย่าต่อต้านผม”
“ออกไป อย่ามาแตะต้องตัวฉัน”
ฝ่ามือใหญ่ยื่นออกไปจับมือเซี่ยอันน่าไว้ข้างลำตัวทั้งสองข้าง และตะคอกอย่างเย็นชา “จะให้ผมแตะต้องตัวคุณหรอ ฝันสูงไปหรือเปล่า”
สีหน้าของพี่หกดูเย็นชา และไร้อารมณ์ปรารถนา ราวกับไม่ได้คิดจะทำอะไรเธอจริงๆ
ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วเขาจะแสดงท่าทีอย่างนั้นทำไม
เธอมองไปที่พี่หกอย่างระวังตัวและถาม “งั้น…. ตอนนี้คุณจะทำอะไร”
“ผมกำลังลังเลว่าจะฆ่าคุณดีไหม”
น้ำเสียงของพี่หกเย็นชา สายตาแฝงแววสังหาร
วินาทีนั้น เซี่ยอันน่ารู้สึกว่าผู้ชายตรงหน้าสามารถฆ่าเธอได้จริงๆ
แต่เธอก็พยายามสงบลง มองผู้ชายตรงหน้านานมาก และพูดอย่างมั่นใจ “คุณไม่มีทางฆ่าฉันได้”
“หืม”
“คุณเสียแรงจับฉันมา คงจับมาเพื่อจะมาฆ่าระบายอารมณ์ แต่คุณจับฉันมาเพื่อล่อเหยื่อตัวใหญ่ ใช่ไหมล่ะ”
พี่หกนั่งลงมองเซี่ยอันน่าอย่างสนุกสนาน รังสีอำมหิตเริ่มลดลง “คุณฉลาดมาก”
ความกังวลตรงหน้าของเธอค่อยๆหายไป เซี่ยอันน่าสงบมากขึ้น แต่เพราะพี่หกไม่สามารถเดาอารมณ์ได้ ดังนั้นเธอจึงต้องระวังตัวเสมอ
“ในเมื่อคุณอยากเก็บฉันไว้อยู่ ก็ช่วยทำดีกับฉันหน่อย เพราะถ้าเหยื่อไม่ให้ความร่วมมือ ก็มีแต่จะทำให้คุณปวดหัว”
“ผมเพิ่งชมว่าคุณฉลาด ทำไมถึงกลับมาโง่อีกแล้ว”พี่หกยกยิ้มขึ้นมา รอยยิ้มนั้นเหมือนกับพิษงู “อยู่ที่นี่ถึงผมจะฆ่าคุณ เสี่ยวอวี้หลินก็ไม่รู้”
“คุณนั่นแหละที่โง่ ถ้าเสี่ยวอวี้หลินไม่สามารถยืนยันการมีชีวิตอยู่ของฉันได้ เขาจะยอมทำตามคำสั่งคุณหรอ ตอนนี้สิ่งที่พวกเราทำได้ดีที่สุดก็คืออย่ายุ่งเกี่ยวกัน คุณกับเสี่ยวอวี้หลินสู้กันเอง ฉันจะทำตัวเป็นเหยื่อล่ออยู่เฉยๆ”
เมื่อพี่หกเห็นท่าทางฉลาดหลักแหลม และสงบของเธอ ก็มองเธอด้วยความชื่นชม
“คุณน่าสนใจกว่าคราวที่แล้วตั้งเยอะ ผมไม่อยากใช้คุณเป็นเหยื่อล่อเลย”
นางเองไม่ได้รู้สึกดีใจกับคำชมของพี่หก เธอยิ้มอย่างรังเกียจและพูด “คุณอยากเถอะ ฉันยอมให้คุณใช้เป็นเหยื่อล่อ”
“สักวันคุณจะต้องเสียใจ”
พูดจบพี่หกก็หันหลังเดินออกไปจากห้อง
ทันทีที่ผู้ชายคนนั้นออกไป เซี่ยอันน่าก็รู้สึกหมดแรงนั่งลงบนเตียง
เธอมองไปที่เพดาน รู้สึกว่าสิ่งที่ทำลงไปเมื่อกี้แทบไม่ใช่เรื่องจริง
คนที่เจรจาเงื่อนไขกับพี่หกอย่างใจเย็นเมื่อกี้เป็นเธอหรอ
ก่อนที่เธอจะพูดออกไป เธอรู้สึกเหมือนปลาที่อยู่บนเขียง จำเป็นต้องร้องขอชีวิต ไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าโกรธพี่หก
แม้ว่าจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว แต่อย่างน้อยก็ทำให้เซี่ยอันน่าไม่อ่อนแออีกแล้วเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพี่หก
เธอปิดเปลือกตาลง และถอนหายใจออกมา
เสี่ยวอวี้หลินน่าจะรู้แล้วว่าตัวเองหายตัวไป ตอนนี้เขาต้องกังวลมากแน่
แต่เขาจะรู้ไหมว่าพี่หกจับตัวเธอมา ถึงจะรู้ แล้วจะช่วยเธอออกไปได้ยังไง
จิตใจของเซี่ยอันน่าว้าวุ่นมาก ไม่รู้ว่าอนาคตของตัวเองจะเป็นยังไงต่อไป
ในขณะเดียวกัน เสี่ยวอวี้หลินก็กำลังตามเบาะแสของเซี่ยอันน่าอยู่
คนอื่นก็ช่วยอย่างไม่ลดละ
มีเพียงมู่ยู่วฉีเท่านั้นที่นั่งอยู่ในห้องกินข้าวอย่างสงบ และกินอาหารไม่หยุด
เขากินอย่างละเลียดละไล้ และพูดกับแม่บ้านตรงหน้าว่า “ป้าวันนี้อาหารอร่อยมาก ผมอยากกินอีกชาม”
ป้าแม่บ้านกระตือรือร้น ยิ้มตอบ “ได้ค่ะ ฉันจะเอามาให้อีก”
เขากอดอกมองป้าที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการทำอาหาร แล้วถามอย่างไม่จริงจัง “คุณป้า ฝีมือของคุณป้าดีมาก มีคนอยากได้ตัวเยอะมากใช่ไหม”
“ใช่ที่ไหนกัน ขอเพียงแค่คุณมู่ไม่รังเกียจ ให้ฉันอยู่ที่นี่ต่อ เพื่อหาเงินเลี้ยงดูครอบครัวก็พอ”
“พูดอย่างนี้ก็แสดงว่าผมมีบุญคุณกับคุณมากใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“ในเมื่อเป็นอย่างนั้นทำไมคุณถึงหักหลังพวกเรา”
ตอนที่มู่ยู่วฉีพูดประโยคนี้ เขาก็แกล้งทำท่าเหมือนล้อเล่น ไม่รู้เรื่องรู้ราว
แต่ทั้งหมดนี้ก็ทำให้คุณป้าตัวเกร็งทันที
แต่ก็แค่ครู่เดียว คุณป้ายิ้มให้มู่ยู่วฉีและพูด “อย่าล้อเล่นอย่างนี้สิคะ”
“คิดว่าผมกำลังล้อเล่นอยู่หรอ ถ้าคุณป้ายังไม่พูดความจริง อย่าหาว่าผมใจร้ายแล้วกัน”
มู่ยู่วฉียังคงพูดด้วยท่าทีทีเล่นทีจริง ทำให้คนที่มองไม่แน่ใจในความประสงค์ของเขา
แต่คุณป้ารู้ว่าผู้ชายคนนี้กำลังจริงจัง
คุณป้าก้มหน้าลงหลบสายตาของเขา และพูดอย่างเสียใจ “คุณมู่ ฉัน….”
มู่ยู่วฉีขัดคำพูดของคุณป้า เขาไม่มีเวลามาฟังคำโกหก เขาพูดอย่างเย็นชา “ก่อนพูดคิดดูให้ดีๆ ไม่คิดถึงตัวเองก็คิดถึงคนในครอบครัวบ้าง”
มู่ยู่วฉีเตือนคุณป้าว่าให้คิดดีๆ ถ้าโกหกจะต้องชดใช้ยังไง
ตอนแรกคุณป้าก็ตั้งใจจะเล่นลิ้น แต่เมื่อได้ฟังประโยคนั้น สีหน้าของเธอก็ซีดลง
“ฉัน…. ฉันไม่ได้หักหลังคุณ แต่มีคนขอให้ฉันช่วยเรื่องเล็กน้อย”
มู่ยู่วฉีรู้ดีว่าคนที่คุณป้าช่วยคือใคร เขายิ้มเยาะ “คุณก็รู้ว่าชายมีหนวดเป็นคนที่พวกเราขังไว้ แต่คุณก็ช่วยเขาส่งข่าว จนเกือบทำให้พวกเราต้องตายทั้งหมด นี่เรียกว่าเรื่องเล็กน้อยหรอ”
คุณป้าตะลึง “มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรอ”
“มันร้ายแรงหรือเปล่าใจคุณรู้ดี”
คุณป้าตื่นตระหนก รีบโบกมือพูดว่า “ฉันไม่รู้จริงๆ ตอนที่ฉันไปส่งอาหารให้ผู้ชายคนนั้น เขาขอร้องให้ฉันส่งจดหมายให้ภรรยาของเขาอย่างน่าสงสาร ฉันเห็นเขาน่าสงสาร ก็เลยช่วยส่งให้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะใช้ฉัน”
มู่ยู่วฉีมองไปที่คุณป้าด้วยสายตาเย็นชา “คุณป้าแสดงได้ดีมาก ผมเกือบจะเชื่อแล้ว”