วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 511 ฉันคือคนรวย
ทำไมถึงได้มีคนที่ปิดหูปิดตาอยู่บนโลกใบนี้ด้วย ช่างเป็นคนที่ดื้อรั้นจริงๆ
” ฉีฉี เธอ……”
ชายใส่แว่นกำลังจะขยับเข้าไปใกล้ฉีฉี ฉีฉีก็รีบถอยไปด้านหลังสองก้าวทันทีเพื่อรักษาระยะห่างกับเขา แล้วเธอก็พูดอย่างตรงไปตรงมา ” นายจะคิดยังไงก็แล้วแต่นายเลย แต่ถึงยังไงฉันก็ไม่ได้ชอบนาย อีกเรื่อง นายเองก็ห้ามรบกวนฉัน ไม่ต้องมาส่งอาหารและสิ่งของอื่นๆให้กับฉัน จำไว้ด้วย! ”
พอพูดจบ ฉีฉีหันหลังแล้วเดินออกไปทันที
ชายใส่แว่นยืนอยู่ด้านหลังเธอ เขายิ้มมุมปากแล้วตะโกนขึ้นว่า ” ฉีฉี ฉันจะรอเธอเสมอ ”
เสียงตะโกนนี้ ทำให้ฉีฉีเซจนเกือบจะล้ม
เฮ้อ ทำไมถึงได้ซวยซ้ำซวยซ้อนแบบนี้วะเนี่ย ฉันไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้!
ฉีฉีเงยหน้า แทบจะร้องไห้ออกมา
…….
เรื่องซุบซิบในโรงเรียนมันแพร่กระจายเร็วมาก นี่แค่เพียงไม่กี่วันคนเกือบทั้งโรงเรียนก็รู้ข่าวเกี่ยวกับว่ามีชายที่รักใคร่ฉีฉีส่งโจ๊กให้เธอ
เมื่อมีเพื่อนบางคนเจอฉีฉี พวกเขาก็มักจะล้อเธอ
ทุกครั้ง ฉีฉีพยายามอธิบายอย่างสุดความสามารถ แต่ว่าพวกเขาไม่ฟังอะไรเลยจริงๆ แต่พวกเขากลับคิดว่าฉีฉีพยายามปฏิเสธเพราะเขินอาย
พอเวลาผ่านไปนานมากแล้ว ฉีฉีก็เบื่อและขี้เกียจอธิบายแล้ว
ในวันนี้ ฉีฉีเตรียมจะไปคืนหนังสือที่ห้องสมุด แล้วบังเอิญเจอกับหัวหน้าห้องที่ถนนหลินยิน
ว่าไม่ได้ถึงภายนอกหัวหน้าห้องเธอจะดูเป็นสาวแกร่ง แต่ว่าเธอชอบชายใส่แว่นมานานมากแล้ว แต่ว่าฝ่ายนั้นไม่ได้รู้สึกสนใจและไม่ได้ชอบหัวหน้าห้อง
ตอนนี้เรื่องซุบซิบของชายใส่แว่นและฉีฉีอื้อฉาวไปทั้งสถานศึกษา พอเธอได้ยินเรื่องนี้เธอไม่พอใจเอามากๆ
พอเห็นฉีฉี เธอก็พูดล้อเธอเหมือนกับคนอื่นๆ แต่ในใจของหัวหน้าห้องคิดอะไรอยู่นั้นก็ไม่มีใครอาจรู้ได้
เธอเห็นว่าฉีฉีถือหนังสือไว้หลายเล่ม เธอก็ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม ” ไปห้องสมุดหรอ? ”
“อือ ใช่ ”
” แล้วแฟนเธอละ ไม่ไปห้องสมุดด้วยกันหรอ? ”
รอยยิ้มบนหน้าเลือนหายไปแล้วฉีฉีก็พูดว่า ” ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลยว่าฉันมีแฟนแล้ว? ”
” ยังจะมาโกหกอีก ก็คนที่คอยส่งโจ๊กให้เธอไง ”
” อย่ามาพูดมั่วๆนะ เขาไม่ได้เป็นแฟนฉัน ”
ทั้งๆที่ทั้งสองคนก็เปิดเผยความสัมพันธ์ต่อสาธารณะชนแล้ว ฉีฉียังจะพูดแบบนี้อีก หัวหน้าห้องรู้สึกว่าเธอช่างเป็นคนแสแสร้งเสียจริง และรู้สึกไม่พอใจแทนชายใส่แว่นด้วย
” พูดก็พูดเถอะ เขาดีกับเธอมากขนาดนี้ เธอพูดแบบนี้ไม่กลัวเขาจะเสียใจหรอ? ”
” มันไม่เกี่ยวกับเรื่องเสียหรือไม่เสียใจ ก็เขาไม่ใช่แฟนฉันจริงๆ ”
” หึ ใช่หรอ ”
ท่าทีของหัวหน้าห้องทำให้ฉีฉีรู้สึกหงุดหงิด เธอขมวดคิ้วแล้วพูดว่า ” เฮ้อ ไม่คุยกับเธอแล้ว ”
พอพูดเสร็จ ฉีฉีกำลังจะก้าวขาและเดินออกไป
แต่พอเงยหน้าขึ้นเธอก็ได้เดินชนกับร่างของคนคนหนึ่ง
” เฮ้! ”
ฉีฉีมือไม้อ่อน หนังสือในมือเธอเกือบหล่นลงพื้นสะแล้ว
โชคดีที่การกระทำของฝ่ายตรงข้ามรวดเร็วมาก หนังสือเลยถูกหนีบไว้ตรงกลางระหว่างคนสองคน
แม้ว่าวิธีนี้มันจะไม่ทำให้หนังสือตกลงพื้นก็จริง แต่ท่าของฉีฉีและฝ่ายตรงข้ามในตอนนี้มันรู้สึกแปลกๆ
ฉีฉีไม่ได้เงยหน้ามอง แต่ว่าเธอสัมผัสได้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ชาย เธอรีบหยิบหนังสือมาไว้ในมือแล้วพูดอย่างรวดเร็วว่า ” ขอโทษค่ะ ”
” ทำไมเธอได้ได้ซุ่มซ่ามแบบนี้ ”
น้ำเสียงที่ติดตลกของเขาทำให้ฉีฉีตะลึง
พอเงยหน้ามอง ฉีฉีก็ได้เจอกับสายตาที่ทั้งอ่อนโยนและน่าหลงใหลอย่างหาที่สุดไม่ได้
มู่ยู่วฉีมองฉีฉีอย่างยิ้มแย้ม ราวกับว่าเขารู้สึกชอบและพอใจกับท่าทางที่ซุ่มซ่ามแบบนี้ของเธอมาก
แต่ว่าหัวหน้าห้องที่ยืนอยู่ด้านหลังกลับรู้สึกว่าการกระทำของพวกเขามันช่างน่ารังเกียจ เธอเลยไอเบาๆหนึ่งที
ฉีฉีเองก็ดึงสติกลับคืนมาได้ทันที และรีบเอาตัวเองออกจากอ้อมแขนมู่ยู่วฉี เธอหน้าแดงพร้อมกับพูดว่า “ คุณมู่ คุณทำไมถึงมาอยู่ที่นี่? ”
“ อ้อ พอดีว่าผ่านมาแถวนี้ เลยอยากมาเดินดูสักหน่อยเผื่อจะได้เจอเธอ ”
ประโยคนี้มีบางคำพูดที่เขาพูดจริงและก็มีบางคำพูดที่มันไม่จริง มู่ยู่วฉีไม่ใช่เพราะผ่านมาแถวนี้แต่เป็นเพราะเขาตั้งใจมาหาฉีฉีต่างหาก
มู่ยู่วฉีก็คิดว่าพักนี้เขายุ่งๆและจะไม่มีสนใจฉีฉี เขาก็คงจะค่อยๆลืมเรื่องเธอไปได้
แต่น่าเสียดายที่ทุกอย่างกลับสวนทางกัน ยิ่งมู่ยู่วฉีอยากลืมมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งจำได้ชัดเจนมากเท่านั้น ถึงขั้นกินอาหารก็ไร้รสชาติ
ทุกครั้งที่เขาได้กินอาหารอร่อยๆ เขาก็มักจะคิดตลอดว่าถ้ามีฉีฉีอยู่ด้วยเธอต้องกินด้วยท่าทีที่อร่อยมากแน่ๆ ทำให้คนที่มองก็อยากกินตามเธอไปด้วย
เมื่อคิดได้แบบนี้ เขาก็อดใจไม่ไหวที่จะมาหาฉีฉีมาเจอหน้ายัยนี่สักหน่อย
และทันทีที่เจอกันฉีฉีก็เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขา นี่มันคงเป็นโอกาสของฉันใช่ไหมเนี่ย?
เมื่อเผชิญกับสายตาที่อ่อนหวานและลึกซึ้งของมู่ยู่วฉี ใบหน้าของฉีฉีก็แดงยิ่งขึ้นไปอีกและทำให้เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
แต่ท่าทีที่เขินอายของเธอในสายตามู่ยู่วฉี มันเหมือนกับเค้กสตรอเบอร์รี่ที่หอมหวาน พอมองไปแล้วน่ากินชะมัด เขาแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะกลืนกินเธอ
สายตาของเขาไปสะดุดกับหนังสือในมือฉีฉี มู่ยู่วฉีเลยถามว่า “ งานยุ่งมากหรอ? ”
“ พอใช้ได้ ตอนนี้กำลังจะไปคืนหนังสือที่ห้องสมุด ”
“ ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเที่ยงด้วยกันนะ ช่วงก่อนฉันบอกไว้แล้วว่าจะเลี้ยง ”
พอมู่ยู่วฉีพูดขึ้น ฉีฉีก็พึ่งจะจำเรื่องนี้ขึ้นได้
ตอนบ่ายไม่มีเรียน และไม่ต้องไปทำงานด้วย เป็นเวลาอันดีที่จะออกไปกินอาหารมื้อใหญ่ ดังนั้นฉีฉีจึงพยักหน้าตอบรับ และพูดอย่างยิ้มแย้มว่า “ ดีเลย คุณรอสักครู่นะ ฉันขอไปคืนหนังสือก่อน ”
“ ไปด้วยกันก็ได้ จะได้เดินเที่ยวชมรอบๆด้วย ”
“ ถ้าอย่างนั้นฉันเป็นไกด์ให้คุณเอง บรรยากาศและวิวทิวทัศน์ของมหาวิทยาลัยฉันสวยงามมากเลยนะ สวนดอกไม้และทะเลสาบข้างหน้าโด่งดังมากเลยนะ มีคนนอกมหาวิทยาลัยเยอะแยะมากมายที่ตั้งใจมาถ่ายรูปที่นั่นโดยเฉพาะ ”
“ ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวฉันก็ไปชมและถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย ”
“ ได้ เดี๋ยวฉันถ่ายให้ ”
ฉีฉีและมู่ยู่วฉีเดินอยู่ด้านหน้าส่วนหัวหน้าห้องเดินตามหลังมาอย่างเงียบๆ
เดินเล่นอยู่กับฉีฉีในมหาวิทยาลัยแบบนี้มันทำให้มู่ยู่วฉีรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับสู่ชีวิตนักศึกษาที่สบายๆอีกครั้ง
ฉีฉีพูดไปต่างต่างนานา และน้ำเสียงของเธอทั้งน่าฟังและมีชีวิตชีวา ราวกับว่ามีเสน่ห์พิเศษบางอย่างมันช่วยขจัดความเหนื่อยล้าของมู่ยู่วฉีได้เป็นอย่างดี เขาอดใจไม่ไหวที่จะขยับเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น ราวกับว่าทำแบบนี้แล้วจะได้รับพลังบวกและความอบอุ่นจากตัวเธอได้มากขึ้น
ยืนอยู่ใต้ต้นเมเปิ้ลต้นใหญ่ ฉีฉีเงยหน้าขึ้นมองใบไม้ที่หนาแน่นบนต้นไม้ เธอหรี่ตาเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ ต้นไม้พวกนี้นะ มีอายุยืนยาวมากๆ บางต้นมีอายุเกินร้อยปีเชียวนะ เห็นได้ชัด……”
“ ฉีฉี ! ”
ฉีฉียังไม่ทันได้พูดจบ มู่ยู่วฉีที่เดินอยู่ด้านหลังก็ตะโกนเรียกชื่อเธอขึ้นมาก่อน
ฉีฉีหันกลับไปมอง ก็เห็นว่ามู่ยู่วฉีกำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเธออยู่
เธอรีบใช้มือปิดหน้าเอาไว้ ฉีฉีพูดขึ้นอย่างเขินอาย “ เฮ้ ฉันยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลย คุณมาถ่ายกะทันหันแบบนี้ถ่ายออกมาหน้าฉันจะใหญ่มาก ”
มู่ยู่วฉีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วชื่นชมภาพที่พึ่งถ่ายเมื่อกี้ รอยยิ้มบนหน้าเขาลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ เขาพูดว่า “ แค่นี้ก็ใหญ่มากแล้ว ไม่เป็นไรหรอก ”
“ ให้ฉันดูหน่อย ”
ฉีฉีเดินไปด้วยความอยากเห็นและตื่นเต้น
ใบหน้าของเธอใหญ่มากถึงขั้นกินพื้นที่ไปสามในสี่ของพื้นที่บนโทรศัพท์จนเธอเองก็ตกใจกับภาพที่เห็น
“ โอ้แม่เจ้า นี่มันผีชัดๆ รีบลบออกเลย! ”
ฉีฉียื่นมืออกไปเพื่อแย่งโทรศัพท์ แต่มู่ยู่วฉีกลับหลบ อีกทั้งเขายังเก็บโทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีกด้วยแล้วเขาก็พูดว่า “ สวยดีออก ฉันไม่ลบ! ”
“ หน้าใหญ่ขนาดนั้น สวยตรงไหน? “
“ อย่างน้อย รอยยิ้มบนหน้าเธอสวยมาก ทุกครั้งที่เห็นฉันยิ้มสักพักใหญ่ๆเลย “
ฉีฉีหมดคำจะพูดแล้วจริงๆ
“ คุณมู่……”
“ เอาเถอะ นี่ไงห้องสมุด เธอจะไปคืนหนังสือไม่ใช่หรอ รีบไปสิ ”
ในขณะที่มู่ยู่วฉีพูด เขายังผลักฉีฉีให้ไปข้างหน้าเบาๆ เพื่อส่งสัญญาณให้เธอรีบเข้าไปจะได้ไม่เสียเวลาในการไปกินอาหารเที่ยง
ฉีฉีไม่มีทางเลือก เลยทำได้เพียงเดินเข้าไปคืนหนังสือ รอให้มีโอกาสค่อยหาทางลบภาพทุเรศนั้นในโทรศัพท์เขาก็ได้
ฉีฉีเอาแต่กังวลกับเรื่องภาพถ่าย เลยไม่ได้สนใจสายตาของผู้คนรอบข้างว่าพวกเขามองแปลกประหลาดมากขนาดไหน
พอคืนหนังสือเสร็จ ฉีฉีนั่งอยู่บนรถมู่ยู่วฉีแล้วถามว่า “ พวกเราจะไปกินอะไรกัน? ”
“ เป็นความลับ เดี๋ยวถึงเธอก็รู้เอง ”
ฉีฉียักคิ้ว หลังจากนั้น เธอก็ได้ยินเสียงเพลงในรถ บังเอิญเป็นเร็วที่เป็นเพลงโปรดของเธอพอดี เธอเลยกระปรี้กระเปร่าและโยกตัวเต้นตามจังหวะเพลง
พอเห็นว่าฉีฉีมีความสุขมากขนาดนี้ มู่ยู่วฉีก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ทั้งๆที่ไม่มีเรื่องอะไรที่มีความสุขเลย แต่พอได้อยู่กับฉีฉีมันรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจมากๆเลยเผลอยิ้มออกมาทุกที
ท่ามกลางบรรยากาศที่ผ่อนคลาย มู่ยู่วฉีขับรถไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง
การตกแต่งของที่นี่หรูหราสวยงามมาก แค่มองก็รู้ว่าราคาต้องไม่เบาแน่ๆ
“ ที่แท้วันนี้ก็มากินอาหารญี่ปุ่นนี่เอง ”
“ใช่”
“คุณแน่ใจนะ? ”
มู่ยู่วฉีหัวเราะแล้วพูดว่า “ ก็แค่กินข้าว ทำไมถึงแบบนี้? ”
” เพราะว่าฉันกินเก่งมาก อาจกินจนคุณล้มละลายได้! ”
มู่ยู่วฉีมองท่าทีที่จริงจังของฉีฉี ก็หัวไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา จากนั้นก็ก็ยื่นมือไปลูบผมฉีฉีแล้วพูดว่า ” สบายใจได้ วันนี้เงินที่ฉันเตรียมมามันเพียงพอที่จะทำให้เธอกินอิ่ม ”
” ถ้าอย่างนั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะ ” พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ฉีฉีก็ทำมือประสานกัน จากนั้นก็พูดอย่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ” ซูชิ ซาซิมิ เทมปุระ ฉันมาแล้ว! ”
ฉีฉีเดินเข้าร้านไปอย่างดีอกดีใจ แต่พอเธอเห็นราคาในเมนูอาหารเธอก็ตกใจ
ตัวเลขที่มากขนาดนั้น ทำให้มือของฉีฉีเหงื่อออกเต็มไปหมด สุดท้ายเธอเอาสมุดเมนูอาหารมาบังหน้าไว้แล้วกระซิบเบาๆกับมู่ยู่วฉี
” เราเปลี่ยนไปกินร้านอื่นกันดีกว่า ”
” ทำไม เธอไม่ชอบหรอ? ”
ฉีฉีรีบส่ายหน้า และพูดด้วยท่าทางที่เวอร์วังมากว่า ” ที่นี่มันแพงเกินไป นี่มันเอาเปรียบกันชัดๆ ”
พอได้ยินแบบนั้น มู่ยู่วยิ้มแล้วพูดว่า ” ฉันเลี้ยง เธอจะกังวลทำไม? ”
มู่ยู่วฉีแสดงออกด้วยท่าทางที่แบบ ” ฉันคือคนรวย ”
“ถึงจะแบบนั้น แต่ก็ไม่ควรใช้จ่ายแบบฟุ่มเฟือย กินที่นี่หนึ่งมื้อมันสามารถกินในมหาวิทยาลัยได้เป็นปีเลยนะ”
“ถ้าเธอได้ลิ้มรสอาหารที่นี่เธอก็รู้เอง เงินที่จ่ายไปวันนี้มันคุ้มค่าแน่นอน”
” แต่ว่า……”
ฉีฉียังคงลังเลอยู่ มู่ยู่วฉีก็ได้พูดโน้มน้าวว่า “อาหารข้างทางเป็นอาหารอร่อย อาหารในร้านหรูแบบนี้ก็ถือเป็นอาหารอร่อยเช่นกัน เธอไม่อยากลองดูหน่อยหรอว่าอาหารสองประเภทนี้มันแตกต่างกันยังไง? ”
ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ว่าให้เขาเลี้ยงอาหารราคาแพงมากขนาดนี้ ฉีฉีก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
เธอมองหน้ามู่ยู่วฉีอย่างเกรงใจแล้วก็พูดว่า ” แต่ว่าแพงขนาดนี้ ฉันเลี้ยงคุณกลับไม่ไหวหรอกนะ ”
” ก็แค่การกินอาหารให้อิ่มท้องเฉยๆ ทำไมต้องคิดมากขนาดนี้แล้ว กินอย่างมีความสุขต่างหากที่เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดไม่ใช่หรอ? ”
ทักษะการพูดของมู่ยู่วฉีช่างดีมากจริงๆ ในตอนนี้ ฉีฉีก็เป็นเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งที่เขาสามารถจูงจมูกได้ง่ายๆ
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ฉีฉีเริ่มเคลิ้มไปกับคำพูดของเขาแล้ว
ภาพบนเมนูอาหารมันช่างน่ากินจริงๆ เมื่อกี้ฉีฉีอยากกินจนน้ำไหลแทบไหล
พอเห็นว่าฉีฉีเริ่มเคลิ้ม มู่ยู่วฉีก็รีบพูดโน้มน้าวอีกว่า ” อีกอย่าง คนรวยอย่างพวกฉัน หาเงินได้มากมายขนาดนี้ก็ต้องใช้จ่ายออกไปบ้างสิ ไม่อย่างนั้นจะหาเงินเพื่ออะไรกัน ”
” อือ สมเหตุสมผลมาก ”
” สมเหตุสมผลใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ เริ่มสั่งอาหารได้รึยัง? ”
ฉีฉียิ้มออกมาแล้วพูดว่า ” ถ้าอย่างนั้นฉันจะสั่งแล้วนะ ”
มู่ยู่วฉีแบมือออกเพื่อเป็นสัญญาณว่าตามสบาย ฉีฉีเองก็เปิดเมนูอาหารออกมาดู และทำตามเสียงหัวใจโดยการสั่งอาหารที่ตัวเองชอบกินมากที่สุด
พอฉีฉีสั่งเสร็จ เธอก็ยื่นเมนูให้กับมู่ยู่วฉี
แต่มู่ยู่วฉีกลับไม่ชายตาดูเมนูเลย และเขาหันไปบอกพนักงานว่า ” อาหารที่คุณผู้หญิงคนนี้สั่งไป จัดมาอย่างละสองชุด ”
” ได้ค่ะ ทั้งสองท่านรอสักครู่นะคะ ”
พนักงานเสิร์ฟเดินออกไปแล้ว แต่ว่าสายตาที่ฉีฉีมองมู่ยู่วฉีนั้นมันมีแสงประกายบางอย่างซ่อนอยู่
พอเห็นท่าทางของฉีฉีที่มองเขาตาเป็นประกาย มู่ยู่วฉีก็ได้ถามขึ้นว่า ” นี่เธอเป็นอะไรไป?”
” วันนี้ฉันรู้สึกว่าคุณหล่อมาก! ”
” แค่วันนี้หรอที่หล่อ? ”
” คุณหล่อทุกวัน แต่ว่าวันนี้หล่อเป็นพิเศษ ”
มู่ยู่วฉีตลกกับท่าทางที่จริงจังของฉีฉี
เขาส่ายหน้าและพูดด้วยท่าทางที่ติดตลกว่า ” แค่ของกินแค่นี้ก็ซื้อใจเธอได้สะแล้ว ช่างไม่มีหลักการเอาสะจริงๆ ”
” ฉันเป็นคนที่ซื่อตรงคนหนึ่งเลยนะ คิดดูคนที่ซื้อใจฉันได้ต้องเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากขนาดไหน ”
” ถ้าอย่างนั้น อีกเดี๋ยวเธอต้องกินเยอะๆนะ ”
ฉีฉีพูดอย่างมั่นใจว่า ” สบายใจได้ ไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน ”
ต่อมา ฉีฉีทำสำเร็จจริงๆ ด้วยความสามารถด้านการกินของเธอ อาหารที่ถูกวางเป็นกองอยู่บนโต๊ะค่อยๆหายไป จากที่กินอย่างเอร็ดอร่อย เธอก็ค่อยๆกินช้าลง
ในที่สุด ฉีฉีวางจานเปล่าใบสุดท้ายลง แล้วเรออกมาด้วยความอิ่ม
” กินอิ่มแล้ว? ”
สีหน้าของฉีฉีพึงพอใจมาก เธอตอบอย่างยิ้มแย้มว่า ” ไม่ใช่แค่อิ่ม แต่อิ่มจนแน่นท้องเลยแหละ ”
ฉีฉีในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับลูกแมวน้อยที่พึ่งกินอิ่ม ช่างดูน่ารัก ทำให้คนที่เห็นอดไม่ได้ที่จะอยากเข้าไปแกล้งเธอเล่นด้วย
แต่ว่ามู่ยู่วฉียังไม่ทันได้เข้าไปแกล้งเธอเลย สีหน้าของฉีฉีก็เปลี่ยนไป
เห็นท่าทางของฉีฉีที่ดูเหมือนเจ็บปวดเล็กน้อย มู่ยู่วฉีเลยถามว่า ” เธอเป็นอะไร? ”
เธอเอามือกดท้องตัวเองไว้แล้วพูดว่า ” ฉันรู้สึกไม่สบายท้องนิดหน่อย ”
” เป็นเพาะรีบกินมากไปรึเปล่า? ”
” อาจจะเป็นไปได้ ” เงยหน้าขึ้นมายิ้มกับมู่ยู่วฉี ฉีฉีพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูฝืนๆว่า ” ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็คงดีขึ้น ”
” เราออกไปเดินเล่นกันเถอะ เผื่ออาการจะดีขึ้นมาบ้าง ”
” อือ ได้ ”
ตอนที่มู่ยู่วฉีไปจ่ายตัง ฉีฉีจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว เพราะว่าเธอยิ่งอยู่ก็ยิ่งปวดท้องมากขึ้น
เมื่อกี้ยังพอเดินได้บ้าง แต่ว่าตอนนี้ แค่ยืนเฉยๆก็รู้สึกปวดท้องมากๆ
พอมู่ยู่วฉีหันมามองเขาก็ใบหน้าของฉีฉีที่เริ่มซีดเซียว และหน้าผากของเธอเหมือนจะมีเหงื่อออกด้วย
มู่ยู่วฉีขมวดคิ้วแล้วถามว่า ” ดูท่าทางเธอแล้วมันไม่ปกติ ให้ฉันส่งเธอไปโรงพยาบาลดีกว่าไหม? ”
แค่ออกมากินข้างก็เป็นการรบกวนเขามากแล้ว ฉีฉีจะรบกวนให้เขาพาเธอไปส่งที่โรงพยาบาลอีกได้ยังไงกัน? อีกทั้ง แค่กินข้าวถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลแค่คิดก็ขายหน้ามากแล้ว
ฉีฉีเงยหน้าพูดกับมู่ยู่วฉีว่า ” ไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น เดี๋ยวฉันกลับไปดื่มน้ำอุ่นๆสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว น้ำอุ่นรักษาได้ทุกโรคอยู่แล้วไม่ใช่หรอ แน่นอนว่ามันต้องได้ผลแน่ ”
เมื่อมองใบหน้าที่ยิ้มแย้มของฉีฉี มู่ยู่วฉีก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาพาฉีฉีขึ้นไปนั่งบนรถ
ฉีฉีก็คิดว่าเธอพูดโน้มน้าวมู่ยู่วฉีได้สำเร็จแล้ว เธอนั่งลงบนรถและถอนหายใจอย่างโล่งอก
พอปล่อยตัวสบายๆ กลับปวดท้องมากขึ้น มันเหมือนกับว่ามีบางอย่างปั่นป่วนอยู่ข้างในท้อง มันทำให้ฉีฉีเจ็บจนเหงื่อออกเลยทีเดียว
เธอหลับตาลง ฉีฉีหวังว่าตัวเองจะมีสมาธิในการฟังเพลง เพื่อเบี่ยงเบนความเจ็บปวดได้
แต่ว่าพอฟังไปฟังมา ฉีฉีกลับนอนหลับไป
เมื่อเธอได้สติและตื่นขึ้นมาเธอก็รู้สึกเหมือนตัวเองกระทบกับบางอย่างที่อบอุ่นมากๆ อีกทั้งยังได้ยินเหมือนเสียงเต้นของหัวใจของใครบางคน
ฉีฉีพยายามลืมตา จากนั้น เธอก็พบว่ามู่ยู่วฉีกำลังอุ้มตัวเธอไว้และเขากำลังวิ่งอย่างรวดเร็ว