วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่234 ถูกลักพาตัว ไม่ต้องให้เธอช่วย
“หือ?” เสี่ยวซีหร่านลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ เอามือวางบนโต๊ะรู้สึกแปลกใจและถามเป็นชุด “ใครลักพาตัวเธอ? ทำไม? อีกฝ่ายต้องการอะไร?”
เย่ฉ่าวเฉินส่ายหัวและตอบ“ ฉันไม่รู้ว่าอีกฝ่ายชื่ออะไร”
“ไม่รู้?” เสี่ยวซีหร่านรู้สึกโกรธร้อนเป็นไฟ “ลักพาตัวคนไปต้องมีจุดประสงค์สิ อยากได้เงิน? เอาได้เท่าไหร่?”
“ถ้าเอาเงินก็ดีสิ เท่าไหร่ฉันก็จะให้” เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างขมขื่น “ เรื่องนี้พูดแล้วยาว…… ”
“งั้นเธอก็เล่าย่อมาสั้นๆ” เสี่ยวซีหร่านขัดจังหวะเขา“ถ้าวันนี้ไม่พูดเรื่องนี้ให้เคลียร์ ฉันก็จะไม่ไปไหน”
เย่ฉ่าวเฉินอึ้ง ดูไม่ออกว่าผู้หญิงใจร้อนคนนี้เป็นห่วงเวยเวยมาก แต่เขาจะบอกเธอดีไหมว่าแท้จริงแล้วอาเหยียนก็คือเวยเวย?
ช่างมันเถอะ นี่เป็นเรื่องระหว่างผู้หญิงของพวกเขา รอให้เวยเวยกลับมาสารภาพกับเสี่ยวซีหร่านเองดีกว่า
หยุดพูดไปชั่วขณะ เย่ฉ่าวเฉินพูดต่อว่า“ สิบปีที่ผ่านมา พ่อแม่ของฉันได้แผนที่ขุมสมบัติมา ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายได้ข่าวนี้มาจากไหน พวกเขาลักพาตัวอาเหยียนเพื่อให้ฉันแลกตัวกับแผนที่ปรากฏว่า ฉันเอาแผนที่นี้ให้พวกเขา แต่พวกเขาไม่รักษาคำพูดแถมยังพาอาเหยียนหายตัวไป”
“สารเลว!” เสี่ยวซีหร่านคนที่มีการศึกษาเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะโมโหออกมา “ทำไมถึงเป็นคนหน้าด้านแบบนี้? อีกอย่าง เย่ฉ่าวเฉินแกก็ซื่อบื่อเกิน เอาแผนที่ให้เขา แต่ไม่ได้พาคนกลับมาด้วย?”
“ฉันจะพากลับมาได้อย่างไง? พวกมันมีปืนเล็งใส่พวกเรา ถ้าฉันกล้าที่จะขยับอาเหยียนและฉันคงไม่มีชีวิตรอดแล้ว ฉันจะช่วยได้ยังไง?” เย่ฉ่าวเฉินพูดออกมาสุดเสียง ดวงตาแดงก่ำ ไม่มีใครรู้ว่าหัวใจเขาเจ็บปวดแค่ไหน
เสี่ยวซีหรานตกตะลึง จ้องมองไปที่เย่ฉ่าวเฉินสองสามวินาที จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้
เธอหุนหันพลันแล่นเกินไป เมื่อเห็นท่าทางของเย่ฉ่าวเฉินก็รู้ว่าเขาต้องรู้สึกแย่มากแน่ๆ
บรรยากาศหยุดนิ่ง ได้ยินเพียงเสียงแผ่วเบาที่ด้านนอกหน้าต่าง ทั้งสองเงียบอยู่นานก่อนที่เสี่ยวซีหร่านจะถามต่อ “คนที่ลักพาตัวรูปร่างลักษณะเป็นยังไง?”
“ สวมหน้ากากเงิน ไม่เห็นใบหน้า” อารมณ์ของเย่ฉ่าวเฉินสงบลง
“ตอนนี้พวกมันน่าจะไปที่ไหน?”
“ภูเขาหมินหนาน บางทีสมบัติอาจถูกฝังอยู่ในถ้ำแห่งนั้น” เย่ฉ่าวเฉินกะว่าจะไม่บอกรายละเอียดกับเธอ เขาและเสี่ยวซีหรานไม่คุ้นเคยกันมากนัก
“เพราะงั้นตอนนี้เธอเลยส่งคนไปหาในถ้ำตลอดหรอ?”
เย่ฉ่าวเฉินลูบขมับที่ปวดเมื่อยของเขา“ อืม ธุระทางนี้เสร็จหมดแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะไปที่นั่น”
เสี่ยวซีหร่านยังคงมีความสงสัยอยู่ในใจ ถามออกไปทั้งหมดว่า “แล้วบริษัท MKล่ะ? ทำไมวันนี้ถึงไม่มีใครมาเลย?”
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่เธอและพูดเบาๆว่า “นี่เป็นความลับทางการค้า ฉันบอกไม่ได้”
เสี่ยวซีหร่านยักไหล่ “โอเค ฉันแค่ถามไปงั้นๆ จริงๆฉันไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ แล้วเรื่องของอาเหยียนฉันช่วยอะไรได้บ้างไหม?”
เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างห้วนๆว่า “ไม่เป็นไร ฉันจัดการได้” ให้เธอมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ ตัวตนของเวยเวยจะถูกเปิดเผย ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า
“แน่ใจหรอ? ภูเขาที่หมินหนานมากมายขนาดนั้น เธอไม่ต้องการกำลังคนช่วยหางั้นหรอ? ฉันมีเพื่อนหลายคนที่ชอบปีนเขา พวกเขาไปช่วยหาน่าจะง่ายกว่าเธอไปนะ”
เย่ฉ่าวเฉินยังคงปฏิเสธ “ตอนนี้ฉันยังจัดการได้ ถ้าฉันหมดหวังแล้วจะขอความช่วยเหลือจากเธอเอง”
เสี่ยวซีหร่านเกลียดท่าทางที่หยิ่งผยองของเขาและความโกรธก็ออกมาอีกครั้ง “เมื่อแกหมดหวัง? เย่ฉ่าวเฉินสมองแกมีน้ำเข้าไปหรอ? ตอนนี้มันควรเป็นเวลาที่เหมาะสมค้นหาอาเหยียน แต่แกกลับจะรอให้หมดหนทาง? ความหยิ่งผยองศักดิ์ศรีลูกผู้ชายของแกช่วยวางมันก่อนได้ไหม? ”
เย่ฉ่าวเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “เสี่ยวซีหร่าน ขอบคุณมากที่เป็นห่วงอาเหยียน แต่ตอนนี้จัดการกับมันได้จริงๆ ถ้าต้องการความช่วยเหลือฉันจะไปหาเธอเอง”
ตอนที่เขาเงียบ เสี่ยวซีหร่านคิดว่าเขาคิดได้แล้ว ไม่คิดว่ายังคงพูดแบบนี้ ลุกขึ้นจากเก้าอี้อีกครั้งด้วยความโกรธ สีหน้าจริงจัง“ไม่ต้องมาขอบคุณฉัน ฉันแค่เห็นแก่อาเหยียน แต่เย่ฉ่าวเฉิน ถ้ายังชักช้าแบบนี้จะทำให้อาเหยียนตายได้ ฉันไม่อยากคุยกับคนแบบเธอละ ลาก่อน”
เย่ฉ่าวเฉินยังไม่ลืมเพื่อนที่อยู่ข้างๆเธอ เขาลุกขึ้นมากับเธอและพูดอย่างไร้ยางอายว่า “ใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ฉันขอเลี้ยงข้าวเธอกับเพื่อน ”
เสี่ยวซีหรานเหลือบมองและพูดเบาๆว่า “ไม่ต้อง ฉันยังไม่หิว ถ้าหิวฉันจะไปกินกับเพื่อนเอง”
“ถึงฉันจะปฏิเสธความช่วยเหลือของเธอ ก็ไม่เห็นต้องเย็นชาขนาดนี้เลย แค่กินข้าวมื้อเดียวหน่า ฉันอาจจะเปลี่ยนใจนะ”
เสี่ยวซีหร่านหัวเราะและตอบ “เย่ฉ่าวเฉิน ที่ฉันอยากช่วย ก็เพราะเห็นแก่อาเหยียน แต่แกกล้าเอาเรื่องนี้มาขู่เล่นกับฉันหรอ? ฉันเพิ่งเห็นตัวตนของเธอ กินข้าวอะไรก็ไม่จำเป็นหรอกฉันกลัวอาหารไม่ย่อย”
เย่ฉ่าวเฉินรู้ว่าเขาพูดผิดในตอนนี้ด้วยความตื่นตระหนกและต้องขอโทษ “ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
“ถึงจะใช่หรือไม่ใช่ มันก็ไม่ทำให้มุมมองของฉันเปลี่ยนไป ลาก่อน!” เสี่ยวซีหรานพูดทิ้งไว้และเดินออกไป
เย่ฉ่าวเฉินรีบเดินตามไปข้างเธอ “ฉันจะไปส่งเธอ เดี๋ยวอาเหยียนรู้เข้าภายหลังและโทษว่าฉันไม่ดูแลเธอ”
“เหอะ” เสี่ยวซีหร่านทำเสียงออกมาอย่างเย็นชาโดยไม่พูด
เมื่อเขามาถึงชั้นหนึ่ง เสี่ยวซีก็หยุดและหันไปพูดว่า “โอเค ส่งถึงตรงนี้แหละ ชื่อเสียงของเธอดังเกินไป ฉันไม่อยากโดนถ่ายไปลงโซเซียล”
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วและหัวเราะ“ คุณหนูเซียวแบบเธอก็ใช่ว่าไม่เคยอยู่ในสังคมนี้ ไม่น่าจะอะไรกับข่าวพวกนี้……”
“NoNoNo เธอเข้าใจผิดละ ฉันไม่ได้กลัวรูปตัวเองไปอยู่บนโซเซียล ฉันแค่ไม่อยากมีรูปคู่อยู่กับเธอ จะทำให้ชื่อเสียงของฉันเสียหาย” เสี่ยวซีหรานพูดจบเขาก็ผลักประตูกระจก ไม่สนว่าเขาจะโกรธหรือไม่โกรธ เดินเข้าไปท่ามกลางผู้คนมากมาย
เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองร่างสูงของใครบางคนอย่างเงียบๆหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมา “ฮัลโหล จางเหอ มาที่นี่ทันที”
ไม่กี่นาทีต่อมา เสี่ยวซีหร่านกับมู่เทียนเย่พบกันที่ชิงช้า เข้าไปที่ม้านั่งและเสี่ยวซีหร่านก็บอกข่าวนี้กับเขา
“ ฉู่เหยียนถูกลักพาตัวไป?” มู่เทียนเย่ประหลาดใจมากเช่นกัน เขาพยายามเดาคิดยังไงก็คิดไม่ออก
“อืม ดูท่าทางของเย่ฉ่าวเฉิน มันน่าจะเป็นความจริง แต่ไอ่คนสารเลวนั้น ฉันบอกว่าจะช่วย แต่เขาปฏิเสธและบอกว่าจะรอจนกว่าจะไม่มีหนทาง ทำไมถึงมีคนแบบนี้ ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องรีบหาอาเหยียนไม่ใช่หรอ? โอย- ให้ตายสิ “เสี่ยวซีหร่านโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ เกือบจะกระทืบเท้าในรถม้า
มู่เทียนเย่จับมือเธอเพื่อปลอบโยน“ เอาล่ะเอาล่ะ อย่าโกรธไปเลย เขาก็เป็นแบบนี้มาตลอด ว่าแต่ฉู่เหยียนถูกลักพาตัวไป แล้วตระกูลฉู่มีใครออกมาช่วยไหม ถ้าทั้งสองตระกูลร่วมมือกัน คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอก ”
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ อารมณ์ของเสี่ยวซีหร่านก็สงบลงเล็กน้อย ถอนหายใจออกอย่างหนักและพูดว่า “โอเค ฉันหวังว่าอย่างนั้น”
ขณะที่ชิงช้าสวรรค์ขึ้นสู่จุดสูงสุด สามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของเมือง A อารมณ์ของเสี่ยวซีหร่านก็ดีขึ้นมากเช่นกัน เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเธอ มู่เทียนเย่จึงชี้ไปที่หน้าต่างและแนะนำเธอไปยังสถานที่ต่างๆในเมือง A เมื่อทั้งสองคนคุยกันและหัวเราะพวกเขาไม่รู้ว่ามีคนมากมายที่อยู่ด้านล่างกำลังมองหาพวกเขาอยู่
ภูเขาลึก
กาวินและทีมของเขาค้นหาอยู่หลายวัน แต่พวกเขาไม่พบอะไรเลย พวกเขาหงุดหงิดอย่างมาก มีเพียงมู่เวยเวยที่ชิวอยู่คนเดียว วันๆก็แค่ดูแลตัวเองกับลูก
“เจ้านาย แผนที่ขุมสมบัตินี้เป็นของจริงหรือเปล่า?” คำถามนี้อยูในใจของจางเหิงมาหลายวันแล้ว ในที่สุดวันนี้ก็ถามออกมา
กาวินกำลังอ่านเนื้อหาต่างๆและเขาก็เหลือบไปมองเมื่อได้ยินคำพูดที่ว่า “มันเป็นเรื่องจริง แกไม่ได้ยินที่คุณฉ่ายบอกหรอ? ที่นี่เคยเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองมาก่อนแต่มันก็หายไป”
“ แล้วทำไมนานขนาดนี้แล้วยังไม่เห็นแม้แต่เงาของสมบัติเลย?”
“ถ้าสมบัติหาง่ายขนาดนั้น ตอนนี้ยังจะตกมาถึงมือเราหรอ? มันคงถูกคนค้นหาไปหมดแล้ว”
จางเหิงนิ่งเงียบ เขารู้สึกแผนที่นี้เย่ฉ่าวเฉินเอามาหลอกกาวิน ถ้าสมบัตินี้มีอยู่จริงผ่านไปหลายปี ทำไมเย่ฉ่าวเฉินไม่ออกตามหามัน?
บนโลกนี้มีไม่กี่คนหรอกที่ทนความโลภต่อขุมสมบัติขนาดนี้ได้
“มู่เวยเวยกำลังทำอะไรอยู่?” กาวินถาม
จางเหิงอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาจะรู้ได้ยังไงว่าผู้หญิงคนนั้นทำอะไรอยู่? นี่ควรเป็นความรับผิดชอบของอ้ายลี่ซาไม่ใช่หรอ?
กาวินวางข้อมูลในมือลง เหลือบมองจางเหิงลุกขึ้นและเดินไปหามู่เวยเวย
ประมาณเก้าโมง พวกเขาอาศัยอยู่ในโรงแรมที่มีชื่อเสียงบนภูเขา สภาพแวดล้อมเงียบสงบ กาวินมาที่ห้องที่มู่เวยเวยกับอ้ายลี่ซาอยู่ เคาะประตู
ข้างในไม่มีเสียงตอบกลับ
กาวินเกิดความสงสัย เคาะประตูอย่างอดทน แต่ก็ยังไม่มีเสียงใด ๆ
ความสงสัยเพิ่มขึ้น กาวินหยิบโทรศัพท์ออกมาและโทรหาอ้ายลี่ซา มีเสียงโทรศัพท์ดังมาจากห้อง
“ก๊อกก๊อกก๊อก อ้ายลี่ซา?” กาวินเคาะประตูแรงขึ้น จางเหิงได้ยินก็เดินตามเสียงมา
“ เจ้านาย……”
“เปิดประตูออก!” กาวินพูดอย่างเย็นชา
ระบบความปลอดภัยของโรงแรมบนภูเขาจะดีแค่ไหนกันเชียว? จางเหิงก้าวถอยหลังและเตะประตูอย่างแรง “ปั๊ง” ประตูเปิดออก
กาวินรีบวิ่งเข้าไปในห้อง เห็นเพียงอ้ายลี่ซานอนอยู่บนเตียง สวมชุดนอนบางๆ ผมของเธอเปียกยังไม่แห้ง แต่ไม่เห็นตัวมู่เวยเวยกับเด็ก
“อ้ายลี่ซา, อ้ายลี่ซา–” กาวินเขย่าตัวของหญิงสาว เห็นแก้วนมบนโต๊ะหยิบขึ้นมาและได้กลิ่น มีกลิ่นยาจางๆอยู่ข้างใน
กาวินรู้สึกโกรธมากและวางผ้าห่มไว้บนโต๊ะ มู่เวยเวย แกกล้าหนีงั้นหรอ?
“จางเหิง พาคนไปหาด่วน! เธออุ้มเด็กไว้คงหนีได้ไม่ไกล”
“ครับ”
โทษตัวเองที่ประมาทเกินไป มู่เวยเวยช่วงนี้ก็อยู่ในความสงบมาก ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านอะไรเลย ให้เธอไปเธอก็ไป ให้พักเธอก็พัก ไม่พูดอะไรสักคำ เขาคิดว่าผู้หญิงคนนี้ยอมรับในชะตากรรมแล้ว
ไม่คาดคิดเธอแอบวางแผนที่จะหลบหนี ไม่รู้ว่าเธอไปแอบเอายานอนหลับมาจากไหน ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินผู้หญิงคนนี้ต่ำไปจริงๆ
นมในแก้วเย็นสนิท แปลว่าเธอหนีไปได้สักพักแล้ว เป็นฤดูใบไม้ร่วง ภูเขาชื้นและหนาว ถึงแม้เธอจะเป็นอะไรแต่เธอก็ต้องกังวลลูกของเธอเป็นแน่ ดังนั้นเธอน่าจะไปขอความช่วยเหลือจากคนบนภูเขาที่อยู่ใกล้เคียง
“จางเหิง ส่งคนไปหาบ้านของคนบนภูเขา” กาวินโทรหาจางเหิง
มู่เวยเวย คิดจะหนีก็หนีให้ไกลหน่อยละกัน ถ้าฉันจับได้ จะจับมาตัดขาให้ไปไหนไม่ได้อีกเลย
กาวินอุ้มอ้ายลี่ซาที่นอนอยู่บนพื้นขึ้นไปไว้บนเตียง คลุมด้วยผ้าห่ม กลิ่นตัวของเธอยังคงมีกลิ่นสบู่อยู่ เธอน่าจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ
ในป่าเงียบ มู่เวยเวยอุ้มเด็กวิ่งไปอย่างหมดหวัง นี่เป็นโอกาสเดียวของเธอ ถ้าเธอหนีไม่ได้ในครั้งนี้ เธอไม่รู้ว่ากาวินจะทำอะไรกับเธอ
เด็กถูกมัดอยู่ที่หลังของเธอ ลืมตาดูเธออย่างสะลึมสะลึอ จริงๆเธออยากจะให้ยานอนหลับกับเขา เพื่อไม่ให้ส่งเสียงขณะหลบหนี ช้อนยานอนหลับกำลังจะป้อนเข้าที่ปาก เห็นเด็กยิ้มน่ารักทำให้เธอใจอ่อนทำไม่ลง
นี่คือลูกชายที่เธอให้กำเนิด เธอจะทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้ลงได้ยังไง?
หนทางข้างหน้ามืดมาก มีวัชพืชป่าเถื่อนขึ้นอยู่ทุกที่ มู่เวยเวยไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน รู้เพียงว่ายิ่งห่างจากกาวินมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เธอควรออกจากเขาก่อน แล้วหาบ้านหลบ จากนั้นค่อยโทรหาเย่ฉ่าวเฉิน
……
เมื่อดวงจันทร์สว่างอยู่บนท้องฟ้าลมยามค่ำคืนในหุบเขาก็โหยหวน มู่เวยเวยยอุ้มเด็กไว้บนหลังและเดินไปข้างหน้าในภูเขา
รถขับผ่านร้านขายยาเมื่อสองวันก่อนจู่ๆเธอก็มีความคิดที่จะวิ่งหนี มันยากที่เธอจะเชื่อว่ากาวินจะปล่อยให้เธอและลูกของเธอกลับไปอย่างปลอดภัย เพราะสมบัติก็ยังหาไม่เจอ กาวินต้องสงสัยในสักวันว่าแผนที่นี้เป็นของจริงหรือเปลอม เมื่อเขาสงสัยเขาจะระบายความโกรธทั้งหมดต่อเธอและลูกของเธอ
ไม่ได้ ฉันจะมานั่งนิ่งๆไม่ได้
คืนนั้น เธอใช้ประโยชน์ตอนที่อ้ายลี่ซากำลังหลับ หยิบเงินหนึ่งร้อยหยวนในกระเป๋าของเธอ มู่เวยเวยไม่กล้าหยิบเยอะเพราะกลัวว่าเธอจะจับได้
ระหว่างที่อยู่ในวันรุ่งขึ้น เธอลงไปชั้นล่างเพื่อขอให้เจ้าของโรงแรมซื้อยานอนหลับให้เธอในขณะที่ทุกคนไม่ได้สนใจ เจ้าของโรงแรมลังเลมาก หลังจากที่มู่เวยเวยอ้อนวอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า และยังบอกว่าเธอไม่รับเงินทอนคืน เจ้าของจึงแอบไปซื้อยาน้ำหลับที่ร้านขายยาเล็กๆให้กับเธอ
อ้ายลี่ซามีนิสัยชอบดื่มนมร้อนทุกคืน คืนนี้ก็เช่นกัน มู่เวยเวยเฝ้าดูเธอวางนมร้อนบนโต๊ะและจงใจพูดว่า “เธอไปอาบน้ำก่อนสิ อาบเสร็จออกมาก็อุ่นๆดื่มได้พอดี ฉันปวดแขนน่าจะใช้เวลาอีกนานกว่าจะนวดเสร็จ ”
บางทีมันอาจจะเป็นความลงตัวของสองสามวันที่ผ่านมาที่ทำให้อ้ายลี่ซาไม่ค่อยระแวงเธอและเข้าห้องน้ำอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อได้ยินเสียงของน้ำ มู่เวยเวยก็รีบหยิบยานอนหลับออกก่อนใส่ไปหนึ่งเม็ด แต่เกรงว่าจะไม่พอจึงใส่ไปอีกสามเม็ด
ยานอนหลับสี่เม็ดคงไม่ฆ่าคนหรอก อ้ายลี่ซาไม่ใช่คนไม่ดี มู่เวยเวยเองก็ไม่อยากให้เธอตาย
ในขณะที่อ้ายลี่ซากำลังอาบน้ำ มู่เวยเวยเขย่าแก้วนมเพื่อเร่งการละลายของยา ยี่สิบนาทีต่อมาอ้ายลี่ซาออกมาจากห้องน้ำและใส่ชุดนอน
มู่เวยเวยแสร้งทำเป็นก้มลงเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ลูกเธอ แต่สายตาแอบเหลือบมองอ้ายลี่ซาที่กำลังเช็ดผมและดื่มนม อาจเป็นเพราะกลิ่นยาแรงเกินไปและเธอดื่มแค่จิบเดียวก็ขมวดคิ้ว
“ทำไมวันนี้นมรสชาติแปลกๆ”
มู่เวยเวยใจเต้นรัว ใบหน้าของเธอเรียบเฉยและพูดกับเธอว่า “คงเป็นเพราะว่านมที่ขายที่นี่ไม่เหมือนกัน รสชาติก็เลยแตกต่างไป”
“จริงหรอ?” อ้ายลี่ซาหยิบกล่องคำบรรยายขึ้นมาดูแล้วพึมพำกับตัวเอง “มันยังไม่หมดอายุ” จากนั้นเธอก็ดื่มอีกสองสามครั้งก่อนจะวางแก้วลงแล้วนั่งลงบนเตียงเช็ดผม
มู่เวยเวยรู้สึกว่าหัวใจของเธอกำลังจะพุ่งออกมา จ้องไปที่การกระทำของอ้ายลี่ซา ไม่กี่นาทีต่อมา “ฟุบ” เธอก็ล้มลงกับพื้น
มู่เวยเวยตกใจ เมื่อเห็นเธอหลับตาแน่นเขย่งเท้าไปหาเธอเขย่าไหล่และตะโกนว่า “อ้ายลี่ซา? อ้ายลี่ซา?”
คนสวยหลับเป็นตาย มู่เวยเวยอยากอุ้มเธอขึ้นเตียง แต่มีบาดแผลที่แขนข้างหนึ่งเธอจึงไม่มีแรง เธอเลยถอดใจและปล่อยให้นอนอยู่กับพื้น
มู่เวยเวยรีบใส่เสื้อผ้าหนาๆสองสามตัวให้เด็กทารก อุ้มเขาวางเขาไว้ในกระเป๋าสะพาย มีเพียงศีรษะที่โผล่ออกมา จากนั้นก็ใช้เสื้อสองตัวพันจากด้านหลังมาที่อกเธอ
ตอนที่กำลังทำสิ่งนี้ เด็กน้อยไม่ส่งเสียง เขาอาจคิดว่าการกระทำของแม่น่าสนใจและสนุกมาก
หลังจากเสร็จสิ้นทุกอย่าง มู่เวยเวยก็โผล่หัวออกมาและมองออกไปข้างนอก ไม่มีใครอยู่
ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงกว่าๆ ผู้คนส่วนใหญ่กำลังพักผ่อนดูทีวีหรืออาบน้ำอยู่ ที่ประตูมู่เวยเวยรู้สึกกังวลและกลัวเล็กน้อย แต่เธอได้วางยาอ้ายลี่ซาไปแล้ว ไม่ทำต่อไปก็คงไม่ได้
มู่เวยเวยกัดฟันอย่างโหดเหี้ยมหายใจเข้าลึกๆ ปิดประตูเบาๆแล้วรีบไปที่บันไดพร้อมกับก้มหัวลง เหตุการณ์ต่างๆเป็นไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งไปถึงหน้าประตูโรงแรมก็ยังไม่มีใครพบเห็น
มู่เวยเวยไม่อยากจะเชื่อว่าจะหนีออกมาได้ง่ายๆแบบนี้?
ก่อนที่เธอจะมีความสุข มู่เวยเวยตบหลังลูกเบาๆและวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับมามอง
ไม่รู้ว่าเดินอยู่บนภูเขาเป็นเวลานานเท่าไหร่แล้ว มู่เวยเวยทั้งเหนื่อยและง่วง แต่เธอก็หยุดพักไม่ได้ หันกลับไปมองลูก เขาหลับไปอย่างสบาย
ทันใดนั้น แสงสลัวสองสามดวงก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเธอและมู่เวยเวยก็มีความสุขและวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นบ้านของชาวนา บ้านอิฐสามหลังล้อมรอบด้วยกำแพงดินและมีแสงไฟส่องผ่านหน้าต่าง
เรื่องมากไม่ได้ มู่เวยเวยก้าวไปข้างหน้าและเคาะประตู
ครึ่งนาทีต่อมา ก็มีเสียงฝีเท้าตามมาด้วยเสียงของผู้หญิง “ใครหนะ”
“พี่สาว ฉันเดินผ่านมา ไม่มีที่พัก คืนนี้ให้ฉันเข้าไปอาศัยคืนนึงได้ไหม? พรุ่งนี้เช้าจะรีบไป” มู่เวยเวยพูดอย่างนุ่มนวล
กลัวว่าเธอจะมาสร้างความเดือดร้อน ผู้หญิงคนนั้นจึงปฏิเสธเธอทันทีว่า “น้องสาว บ้านฉันไม่มีที่พักแล้ว เธอไปบ้านอื่นเถอะ”
จู่ๆผู้หญิงคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นกลางดึก เป็นใครก็ต้องระวังตัว
“พี่สาว ฉันวิ่งทั้งคืนแล้วเพิ่งเจอบ้านนี้หลังแรก ถ้าคุณไม่ให้ฉันอาศัย คืนนี้ก็คงต้องไปค้างแรมในป่าแล้วล่ะ ตัวฉันเองหน่ะไม่เป็นอะไร แต่ลูกของฉันต้องไม่สบายแน่ๆ” มู่เวยเวยพูดอ้อนวอนอย่างขมขื่น
คนข้างในเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆเปิดประตูไม้เพื่อดูเด็กหญิงตัวเล็กๆ มีผิวเล็กและเนื้อนุ่มยืนอยู่ข้างนอกโดยมีเด็กนั่งอยู่ข้างหล้งของเธอ “ถ้างั้นก็เข้ามาสิ”
“ขอบคุณ ขอบคุณพี่สาว” มู่เวยเวยพูดกับผู้หญิงเรียบๆคนนี้
เฟอร์นิเจอร์ในห้องเรียบง่าย แต่สะอาดมากมีเด็กอายุขวบครึ่งนอนอยู่บนเตียง มีกระเป๋านักเรียนและลูกบอลด้ายเข็มบนโต๊ะ
“นั่งก่อนสิ” พี่สาวคนโตมองเธออย่างระแวดระวังและถามว่า “ผู้หญิงคนเดียวดึกๆป่านนี้ทำไมมาอยู่ในป่า ไม่รู้หรอว่ามันอันตรายแค่ไหน?”
มู่เวยเวยสูดหายใจและพูดว่า “พี่สาว ฉันขอดื่มน้ำสักแก้วได้ไหม? ฉันกระหายมาก”
พี่สาวหันกลับไปและไปที่ห้องครัวเพื่อตักน้ำเย็นในโกศ มู่เวยเวยไม่กลัวสกปรก เธอจึงก้มตัวลงดื่มน้ำจากกะลาตักน้ำ
หลังจากดับความกระหายแล้วเธอก็พูดว่า “พี่สาว ฉันไม่อยากทำให้เดือดร้อน ฉันถูกคนหลอกมาที่ภูเขานี้”
พี่สาวดูเหมือนจะไม่แปลกใจกับสิ่งที่เธอพูดใบหน้าที่ดูตื่นตัวและพูดว่า”เห้ย ใครกันที่ทำได้ลง ผู้หญิงดีๆแบบนี้ทำได้ลงได้ยังไง”
มู่เวยเวยรีบแสดงความเห็นใจ“ พี่สาว ที่ฉันหนีออกมาก็เพราะทนไม่ได้ ดูแขนฉันสิ ก็ถูกคนบ้านนั้นทำร้ายมา”
พี่สาวเห็นผ้าก๊อซพันรอบแขน
“ ฉันรู้ดีเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กผู้หญิงที่ถูกขายมาอยู่บนภูเขา บางคนก็ไม่มีวันที่จะหนีออกไปได้ ถูกจับกลับไปและโดนทำร้ายจนตายเช่นกัน ถือว่าเธอเก่งมากที่หนีออกมาได้ “พี่สาวเห็นเธอกับเด็กน้อยผิวขาวนวลจึงถามว่า” เด็กคนนี้…… ”
“นี่เป็นลูกของฉัน ฉันปล่อยไว้ที่นั่นไม่ได้ มันจะทำให้เขาทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต” มู่เวยเวยพูดอย่างทุกข์ใจ
พี่สาวพยักหน้าและตอบว่าใช่“ เธอพูดถูกแล้ว การที่เด็กอยู่บนภูเขานั้นทรมานจริงๆเช่นเดียวกับครอบครัวของฉัน ฉันต้องเดินถนนบนภูเขาที่ยาวไกลทุกวันเพื่อไปโรงเรียน ทุกครั้งที่กลับมา ฉันรู้สึกเป็นทุกข์มาก”
มู่เวยเวยสังเกตอย่างเงียบๆ ในห้องมีรองเท้าและเสื้อผ้าของผู้ชายจึงถามว่า”พี่สาว พี่ชายไม่อยู่บ้านหรอ?”
“อ๋อ เขาออกไปทำงานแล้ว อยู่บนภูเขาทั้งชาติก็หาเงินไม่ได้ อีกหน่อยลูกต้องเรียนมหาลัยต้องเก็บเงินไว้”
“อืม แบบนี้นี่เอง” มู่เวยเวยวิ่งมาไกลมาก ตอนนี้เธอผ่อนคลายแล้ว เธอก็รู้ว่าขากางเกงของเธอเต็มไปด้วยโคลนและชื้น ผิวหนังด้านในก็ถูกเถาวัลย์เกี่ยวได้รับบาดเจ็บ
เมื่อดึงขากางเกงขึ้นมีคราบเลือดที่ดูน่ากลัว
“คุณพระ เป็นแผลนี่ ฉันจะเอาน้ำมาให้ล้าง” พี่สาวพูดออกมาด้วยความกระตือรือร้น
“ขอบคุณมากนะพี่สาว” มู่เวยเวยจำสิ่งสำคัญได้ในทันใดและเรียกให้เธอหยุด “พี่สาว เธอมีโทรศัพท์ไหม? ฉันอยากโทรกลับบ้าน”
“มีโทรศัพท์ แต่สัญญาณที่นี่ไม่ดีทุกครั้งที่โทรออกต้องขึ้นดอยไปครึ่งทาง” พี่สาวนำโทรศัพท์รุ่นเก่ามาให้เธอจากข้างเตียง “ดูสิ ไม่มีสัญญาณ เลยใช้เป็นนาฬิกา ”
มู่เวยเวยหมดหนทางและไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เธอจะรอถึงพรุ่งนี้เพื่อวิ่งไปที่กลางภูเขาจริงๆหรอ?
พี่สาวเข้าใจอารมณ์ของเธอ ตบไหล่ของเธออย่างปลอบโยน ไม่พูดอะไรและออกไปตักน้ำ
หลังจากเวลาผ่านไปนาน เวลา11 โมงของคืนนั้น ในบ้านไม่มีเตียงเสริม มู่เวยเวยกับพี่สาวแลลูกชายของพี่สาวจึงเบียดบนเตียงเดียวกัน แม้ว่ามันจะลำบากมาก แต่เธอก็พอใจและหลับไปพร้อมกับลูกในอ้อมแขนของเธอ
เธอนอนไม่ค่อยหลับ ความฝันเต็มไปด้วยฉากของการถูกไล่ล่าโดยคนของกาวิน เธอวิ่งไปตลอดทางแต่เธอไม่สามารถหนีจากมือของเขาได้
“ปั๊งปั๊งปั๊ง —-” มีเสียงทุบประตูด้านนอกอย่างกะทันหัน มู่เวยเวยตื่นขึ้นมาในทันที เธอมองออกไปที่ประตูอย่างประหม่า เลเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนมาเคาะประตูเวลานี้ อาจจะเปผ้นผู้คนในฝันก็เป็นได้
พี่สาวตื่นขึ้นมาอย่างสบาย และตั้งใจฟังอยู่นอกประตู
“เปิดประตู!” ชายคนหนึ่งตะโกน
มู่เวยเวยกอดเด็กไว้แน่นด้วยความกังวลในสายตาของเธอ “พวกเขาไล่ตามมาแล้ว”
พี่สาวใจเย็นมากรีบใส่เสื้อผ้าแล้วพูดว่า “มาเร็ว รีบเก็บเข้าของฉันจะช่วยซ่อนเธอไว้”
มู่เวยเวยไม่ได้ถอดเสื้อผ้าเพียงแค่เปลี่ยนกางเกงเธอ จึงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาอุ้มเด็กและใส่รองเท้าตามพี่สาวไป
นอกบ้าน เสียงเคาะประตูดังอย่างต่อเนื่อง
ในห้องไม่ได้เปิดไฟ พี่สาวเปิดประตูห้องตรงข้ามแล้วกระซิบกับเธอว่า “นี่คือที่เก็บข้าวสารอาหารแห้งของเรา” เธอพูดพร้อมกับเปิดโกศใบใหญ่ที่มีข้าวโพดอยู่ข้างใน “เข้าไปสิ”
มู่เวยเวยพยายามยกเท้าขึ้นเดินโซซัดโซเซ ศีรษะของเด็กเกือบชนขอบโกศโชคดีที่พี่สาวอุ้มเธอขึ้น “ระวังหน่อย หมอบลง ฉันจะใส่ของลงไป อดทนหน่อยนะ”
“อืม” มู่เวยเวยอุ้มเด็กไว้ในอ้อมแขนของเธอ ไม่นานพี่สาวก็นำกระดานไม้ วงกลมรอวางไว้บนศีรษะของเธอดูเหมือนว่าจะใส่ถุงข้าวสองถุงจากนั้นเธอก็ปิดฝา และใส่ถุงเมล็ดพืชอีกชั้น
มู่เวยเวยรู้สึกเจ็บหัวเล็กน้อย แต่ตอนนี้เธอยังทนได้
“เปิดประตู! ถ้ายังไม่เปิดพวกเราจะพังประตูเข้าไปแล้วนะ” คนข้างนอกตะโกน
พี่สาวปิดประตูห้องเก็บของ เปิดไฟห้องแล้วตะโกนออกไปข้างนอกว่า “เธอแกเป็นใคร”
“พวกเรากำลังตามหาคน เปิดประตู”
พี่สาวยืนอยู่ในห้องโถง “ถ้าจะหาก็มาหาพรุ่งนี้ ดึกขนาดนี้แล้ว ยังจะรู้ได้ไงว่าพวกแกมาดีหรือมาร้าย?”
“จะเปิดหรือไม่เปิด? ถ้าไม่เปิดประตูพังแล้วฉันไม่รับผิดชอบนะ”
พี่สาวเปิดประตู “พวกเธอ พวกเธอหาใคร? ที่บ้านนี้มีแค่ฉันกับลูกชายสองคน”
“ใช่สองคนหรือเปล่า เดี๋ยวพวกเราก็รู้เอง” ชายคนนั้นยังคงหงุดหงิด“พวกแกสองคน เปิดประตูสิ”
เมื่อพี่สาวได้ยินว่าพวกมันกำลังจะพังประตูจริงๆ ถ้าประตูพังขึ้นมาผู้หญิงตัวคนเดียวจะซ่อมมันได้ยังไง? เธอจึงรีบออกไปยืนที่สนามและพูดว่า “พวกแกรอก่อน อย่าพังเข้ามา ฉันกำลังไปเปิดให้”
“เร็วเข้า!” ชายคนนั้นพูดด้วยความโกรธ
พี่สาวเหลือบมองกลับไปที่ห้องเก็บของ ตั้งสติและเปิดประตู“พวกแก พวกแกเป็นใคร?”
จางเหิงจ้องมองเธออย่างโหดเหี้ยม “เธอเคยเห็นผู้หญิงผ่านมาไหม อุ้มเด็กไว้ด้วย”
พี่สาวพูดในใจ พระเจ้า กำลังตามหาน้องสาวคนนั้นจริงๆด้วย
“ไม่เคย ที่นี่ห่างไกลขนาดนี้ จะมีคนผ่านมาได้ยังไง?” พี่สาวโกหก เธอเป็นคนกระตือรือร้นและเมื่อเธอเห็นเด็กผู้หญิงกำลังทุกข์ทรมานเธอก็อยากจะช่วย
จางเหิงจ้องมองเธอสองสามวินาที เธอเป็นหญิงชาวนาที่ซื่อสัตย์ ผิวคล้ำร่างสูงและผอมและดวงตาของเธอหวาดกลัว
“เข้าไปค้น” เขาพูด
พี่สาวไม่เต็มใจและตะโกนว่า “พวกแกเป็นใคร และทำไมต้องมาค้นบ้านฉัน? เห้ยเห้ยเห้ย ทำอะไรของพวกแกวะ ไม่กลัวกฎหมายกันหรือไง”
ลูกชายที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงตื่นเพราะความเสียงดัง ตื่นมาขยี้ตาด้วยความสะลึมสะลึอ ทันทีที่เขาเห็นครบั่วร้ายอยู่เต็มบ้านก็ตกใจตะโกนดรียกหาแม่ “ แม่ พวกเขาเป็นใคร มาบ้านเราทำไม? ”
พี่สาวกำลังจะรีบไปปลอบลูกชายของเธอ แต่จางเหิงเดินนำหน้าเธอ “ที่บ้านเธอเคยมีผู้หญิงผ่านมาไหม มีลูกตัวน้อยด้วย”
เด็กน้อยตกใจและส่ายหัว “ไม่มี ฉันไม่เคยเห็น”
จางเหิงเห็นว่าเขาไม่แสดงอาการโกหกจึงปล่อยเขาไป
มีเสียงโครมครามจากห้องเล็กๆ ทั้งสามห้องถูกค้นจนทั่ว ไม่มีใครอยู่
จางเหิงจ้องมองไปที่ประตูเล็กๆที่มุมห้องและเขาถามอย่างเย็นชาว่า “นั่นคือห้องอะไร”
“ ที่ที่เราเก็บของอาหาร” เสียงพี่สาวสั่นเล็กน้อย
“เข้าไปค้น” จางเหิงออกคำสั่งและมีคนขึ้นไปเตะประตู
พี่สาวยืนอยู่ที่ประตูและพูดอย่างประหม่า “อย่ามาแตะต้องของของบ้านฉัน”
เกิดความโกลาหล เหลือเพียงโกศใหญ่สามใบ “มีอะไรอยู่ข้างใน?”
“เมล็ดข้าวที่เก็บเกี่ยว จะให้ฉันเก็บไว้ที่พื้นหรือไง ถ้างั้นก็โดนหนูกินหมดสิ”
ชายคนนั้นมองมาที่เธอและเปิดออกทีชิ้นสองอันแรกเป็นรวงจริงๆ เมื่อถึงใบที่สามเขาก็หยิบถุงข้าวออกมา ไม่มีอะไรมากแล้วจึงยกฝาไม้ขึ้นเพื่อดู ยังอาหารแล้วปิดทับอีก
มู่เวยเวยที่ซ่อนตัวอยู่ข้างในหยุดหายใจ โชคดี ที่ทั้งหมดนี้จบลงก่อน
“ ลูกพี่จาง ไม่มี”
ไม่มี?
จางเหิงและคนอื่นๆพบละแวกนี้โดยมองหาร่องรอยการเดินผ่านของมู่เวยเวยมีบ้านไร่เพียงหลังเดียวในพื้นที่หลายไมล์ เป็นไปได้ไหมที่เธอไม่ได้เข้าไปในห้อง หลบอยู่ข้างนอก?
เธอรักลูกขนาดนี้ จะให้เด็กมาทนหนาวหรอ?
“ไป” จางเหิงพูดอย่างเฉยเมย นำผู้คนออกไปและเมื่อเขาไปถึงประตู สายตาก็เห็นว่าดูเหมือนจะมีกองสิ่งของอยู่ด้านหลังประตู เมื่อเปิดประตูก็มีกางเกงขายาวผ้าลินินผู้หญิงตัวหนึ่งตกอยู่บนพื้นโดยมีร่องรอยของโคลนและหญ้าที่เปื้อน
พี่สาวเห็นกางเกงตัวนี้ด้วยและหัวใจของเธอก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
มันจบแล้ว ตอนที่มู่เวยเวยเปลี่ยนกางเกงเธอก็อยากจะทิ้งกางเกงที่สกปรกตัวนี้ แต่เธอคิดว่าเนื้อผ้าและกางเกงดูดี แถมยังเป็นตัวใหม่ เธอต้องการซักพรุ่งนี้และใส่มันอีกครั้ง เธอจึงโยนไปไว้หลังประตูและลืมเก็บมัน
นี่มันแย่มาก เธอเสียใจด้วยกับสาวน้อย
จางเหิงหยิบกางเกงขึ้นมาและมองเข้าไปใกล้ๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแสงดูเหมือนว่ามู่เวยเวยใส่กงเกงตัวนี้เมื่อสองวันที่ผ่านมา
“ นี่คืออะไร?” จางเหิงหันกลับไปถามพี่สาว
พี่สาวแสร้งทำเป็นสงบ“แกไม่เห็นหรอ ก็เป็นกางเกงไง”
จางเหิงยิ้มเยาะ “ฉันถาม นี่เป็นกางเกงของใคร?”
“ กางเกงของฉัน วันนี้ทำไปทำงานที่ไร่มา มันสกปรกก็เลยโยนไว้ที่พื้น” พี่สาวพูดอย่างประหม่า
“จริงหรอ?” จางเหิงหยิบกางเกงและเดินไปที่พี่สาวทีละก้าวและพูดประชดประชัน “กางเกงเหล่านี้เป็นรุ่นใหม่สำหรับฤดูใบไม้ร่วงของ Versace ต้องใช้เงินอย่างน้อยสี่พันหยวน แน่ใจหรอว่าเป็นของแก?”
พี่สาวสะดุ้ง กางเกงแพงขนาดนี้เลยหรอ? สี่พันหยวนนี่คือค่าครองชีพของเธอและลูกตลอดครึ่งปี
ไม่ต้องถามอะไรอีก จางเหิงก็ได้เห็นคำตอบในสายตาของเธอแล้ว เขาโยนกางเกงลงที่พื้น พูดอย่างเคร่งขรึม “ฉันจะถามแกอีกครั้งสุดท้าย ผู้หญิงกับเด็กอยู่ที่ไหน?”
พี่สาวตัวสั่น ไม่ว่าเธอจะกล้าหาญและอบอุ่นใจแค่ไหนเธอก็เป็นแค่ผู้หญิงชาวนา เธอไม่กล้าสู้กับศึกใหญ่แบบนี้ แต่เธอรู้สึกว่าเธอทำไม่ได้ รับปากกับคนอื่นไว้ก็จะไม่ผิดสัญญา
“ตั้งแต่ค่ำ ฉันก็อยู่บ้านสอนการบ้านลูก ไม่เคยเห็นผู้หญิงกับเด็กผ่านมาจริงๆ แกก็ค้นทั่วบ้านฉันแล้ว ไหนล่ะคน?” พี่สาวพูดอย่างขมขื่น
“เอาล่ะ งั้นแกอธิบายมาสิ้กางเกงนี้มาจากไหน?”
พี่สาวพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันซื้อมันจากที่ตลาด มันไม่ใช่ของแพงอะไรที่คุณพูด คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ ถึงจะใช่ มันก็เป็นแค่ของปลอม ฉันแค่ทำไร่ทำสวนจะมีเงินไปซื้อได้ยังไง?”