วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่248 ที่รัก กลับบ้านเรากันเถอะ
มู่เวยเวยตะโกนด้วยความเศร้าโศก แต่ไม่มีใครสนใจเธอ ภายใต้แสงสว่างของไฟ จู่ๆชื่อของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในความคิดของเธอ มู่เวยเวยก็พูดออกมาว่า “เย่ฉ่าวเฉิน ช่วยฉันด้วย”
เหมือนเป็นที่พึ่งสุดท้าย มู่เวยเวยยังคงตะโกนในความว่างเปล่า “เย่ฉ่าวเฉิน – เย่ฉ่าวเฉิน – ช่วยฉันด้วย -”
“เรียกหาใครก็ไม่มีประโยชน์หรอก ตอนนี้เธอเป็นภรรยาของตระกูลหวังแล้ว” แม่กาหวาพูดด้วยความเยาะเย้ย
ราวกับว่าสร้อยไข่มุกขาดร่วงหล่นลงมา เธอเอามือแตะที่ศีรษะของตัวเองด้วยความสิ้นหวัง และเธอก็ไม่มีแรงพอที่จะเล่นกับกาหวา
“ เย่ฉ่าวเฉิน – ช่วยฉันด้วย -” มู่เวยเวยยังคงตะโกน เธอไม่รู้ว่าเย่ฉ่าวเฉินเป็นใคร แต่นี่เป็นคนเดียวที่เธอจำได้
“หยุดเรียกได้แล้ว!” แม่กาหวาพูดด้วยความรำคาญ
ทันทีที่เสียงเงียบไป ก็มีเสียงประตูดังขึ้น ประตูถูกเตะเปิดจากด้านนอก
พ่อกาหวาได้ยินเสียงดังรีบวิ่งออกไปดู เห็นชายร่างใหญ่คนนึงเดินเข้ามาจึงถามว่า “แกเป็นใคร? เข้ามาบ้านฉันทำไม?”
ก่อนที่เย่ฉ่าวเฉินจะอธิบาย ก็ได้ยินเสียงเรียกคร่ำครวญดังมาจากในห้อง”เย่ฉ่าวเฉิน-ช่วยฉันด้วย”
ในขณะนั้น น้ำตาของเย่ฉ่าวเฉินแทบจะไหลออกมาและเขาก็ผลักพ่อกาหวาออกไป รีบเดินเข้าไปข้างใน
“เห้ย! แกเป็นใครวะ หยุดเดี๋ยวนี้” พ่อกาหวาไล่ตามเขาไป แต่เขาก็ตามไปทันเย่ฉ่าวเฉิน
เขาเตะประตูห้องอีกครั้งและเมื่อเขาเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน หัวใจของเย่ฉ่าวเฉินแทบหยุดเต้น
เขาตามหามานาน ผู้หญิงที่รักเขารักตอนนี้เหมือนปลาตัวเล็กๆที่ใกล้จะตาย ดิ้นรนอย่างทรมานและเรียกหาเขา “เย่ฉ่าวเฉิน ช่วยฉันด้วย”
เธอเป็นบ้า สติไม่ดีแล้วแต่ยังจำชื่อเขาได้
“แกเป็นใคร วิ่งเข้ามา…..อา-” แม่กาหวายังไม่ทันเข้าใกล้เธอ ก็ถูกเย่ฉ่าวเฉินผลักเธอออกไปและล้มลงกับพื้น
กาหวาเห็นคนแปลกหน้าเข้ามา ก็กระโดดลงจากเตียงด้วยความโกรธ เย่ฉ่าวเฉินยกเท้าขึ้นและเตะเขาอย่างแรงก่อนที่จะชกเขา
เทพปีศาจเย่ฉ่าวเฉินก็ต่อกรมาด้วยแล้ว นับประสาอะไรกับคนอ้วนๆแบบนี้?
เขาถอดเสื้อผ้าออกอย่างรวดเร็วและคลุมร่างของมู่เวยเวยและกอดเธอไว้แน่นๆในอ้อมแขน
“อย่ามา อย่ามาแตะต้องฉัน -” มู่เวยเวยทุบตีอย่างอ่อนแรง
หัวใจของเย่ฉ่าวเฉินแตกสลาย แตกสลายจนไม่สามารถเก็บมาประกอบใหม่ได้ เขากอดและจูบที่หน้าผากของเธออย่างอ่อนโยน”เวยเวย ไม่ต้องกลัว ฉันมาช่วยเธอแล้ว”
เสียงนั้นผ่านเข้ามาในหัวใจของเธอ ทะลุแก้วหู และนี่เป็นเสียงที่เธอจำได้
มู่เวยเวยเป็นเหมือนเด็กหญิงตัวน้อย หันมาที่อ้อมแขนเขาและร้องไห้ออกมา “แง”
ดวงตาของเย่ฉ่าวเฉินเต็มไปด้วยน้ำตา เขาใช้เสียงที่นุ่มนวลปลอบโยนข้างๆหูเธอ “โอ๋ ไม่ต้องร้องแล้ว ฉันอยู่นี่แล้ว จะไม่มีใครทำร้ายเธอได้อีก”
“แกเป็นใครกันแน่? ถ้าไม่รีบบอกพวกฉันจะแจ้งตำรวจแล้วนะ” พ่อกาหวายืนตะโกนถามจากที่ประตู
เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าขึ้นและชำเลืองมองชายทั้งสามคนอย่างมุ่งมั่นและพูดช้าๆและหนักแน่นว่า “ฉันเป็นสามีของเธอ”
“อย่ามาโกหก นี่คือภรรยาที่พวกเราเพิ่งแต่งงานกันวันนี้”
เย่ฉ่าวเฉินจ้องไปที่พ่อกาหวาอย่างดุเดือด “จริงเหรอ? งั้นก็ต้องดูว่าพวกแกมีปัญญาแต่งได้หรือเปล่า?”
“อะไรคือไม่มีปัญญา? พวกเราให้ค่าสินสอดไป6หมื่นหยวนแล้ว” แม่กาหวาลุกขึ้นจากพื้นและยืนเป็นแนวร่วมกับกั้นไว้ไม่ให้เย่ฉ่าวเฉินหนีไป
เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะเยาะ “6หมื่น? เอาล่ะ พวกแกไปเรียกลูกพี่ลูกน้องคนนั้นมาสิ้ ให้ฉันดูหน่อยว่ามันเป็นใคร ตั้งนานแล้วฉันยังไม่เคยรู้เลยว่าภรรยาฉันมีลูกพี่ลูกน้องด้วย”
แม่กาหวามองไปที่เย่ฉ่าวเฉินด้วยสีหน้าบึ้งตึง นึกถึงเรื่องซุบซิบที่แพร่ออกมาระหว่างงานเลี้ยงแต่งงานตอนเที่ยงและสะกิดพ่อกาหวาพูดว่า “โทรหาหลี่ว่างสิ ให้เขามาพูดให้ชัดเจน”
“โอเคๆ”
มู่เวยเวยกำลังสะอื้นอยู่ในอ้อมแขนของเขาน้ำตาทำให้ชุ้มไปทั้งแขนเสื้อและหัวใจของเขา
เย่ฉ่าวเฉินไม่อยากอยู่ที่นี่นาน แต่ไม่มีเสื้อที่เธอใส่ได้สักชุด มีเพียงชุดแต่งงานสีแดงถูกโยนอยู่บนพื้น เย่ฉ่าวเฉินทนไม่ไหวอยากจะเผามันทิ้ง
ในขณะที่พ่อกาหวาโทรหลี่ว่าง เย่ฉ่าวเฉินก็หยิบโทรศัพท์ออกมา
“เจอเวยเวยแล้ว” เย่ฉ่าวเฉินพูดกับคนที่อยู่ในสาย
มู่เทียนเย่อุทาน“จริงหรอ? เยี่ยมไปเลย เวยเวยเป็นไงบ้าง? เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
เย่ฉ่าวเฉินลูบหลังของเธอและพูดอย่างทุกข์ใจ “เธอ……เธอสบายดีคุณ พวกแกถึงไหนแล้ว?”
“กำลังจะลงจากทางด่วน ประมาณ1ชั่วโมงก็ถึงแล้ว”
“ระหว่างทางถ้าเจอร้านขายเสื้อผ้า แวะซื้อให้เวยเวยสองสามชุด”
มู่เทียนเย่หยุดนิ่งอยู่สองสามวินาที ราวกับว่าเขาเข้าใจความหมายคำพูดของเย่ฉ่าวเฉิน น้ำเสียงของเขาโกรธเล็กน้อย “โอเค ฉันเข้าใจแล้ว”
หลังจากวางสายโทรศัพท์ เย่ฉ่าวเฉินเช็ดน้ำตาของเธอด้วยมือของเขา รู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนรน เงยหน้าของเธอขึ้นมา ใบหน้าข้างซ้ายของเธอมีรอยฝ่ามือ เห็ดได้ชัดว่าเพิ่งโดนตบด้วยฝ่ามือสดๆร้อนๆ
เปลวไฟที่ถูกระงับนั้นถูกจุดขึ้น “ตูม” ดวงตาสีฟ้าและสีม่วงคู่หนึ่งภายใต้แสงไฟ ราวกับปีศาจ “ใครเป็นคนตบ?”
แม่กาหวารู้สึกหนาววูบขึ้นมาทั้งตัว เธออดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังและพูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “ฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
เย่ฉ่าวเฉินกัดฟันและกำมือแน่น
อยากจะตบคนจริงๆเลย
พอดีเลยไม่มีที่ให้ระบาย ก็มีคนเสนอมาให้เป็นที่ระบายละ
กาหวาลุกขึ้นจากหัวมุมแล้วรีบวิ่งไปหาเขา ชี้ไปที่จมูกของเขาแล้วพูดว่า “ปล่อยนะเว้ย นี่เป็นเมียของฉัน”
เมื่อเสียงของเขาดังขึ้น เย่ฉ่าวเฉินก็เห็นว่าตัวมู่เวยเวยเริ่มสั่นอย่างรุนแรงและเธอเริ่มกลัว เมื่อนึกถึงสิ่งที่ผู้ชายคนนี้กำลังทำอยู่ตอนนี้ เย่ฉ่าวเฉินก็คว้าข้อมือของเขา หักลงอย่าแรงเสียงดังเอี๊ยดของกระดูก ชายร่างใหญ่คุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับกรีดร้อง เย่ฉ่าวเฉินกระโดดถีบเขาเสริมอย่างแรง
ชายร่างใหญ่เกือบสองร้อยกิโล ล้มลงกับพื้นอย่างแรงและไม่สามารถลุกขึ้นได้
“ลูก ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า?” แม่กาหวาตะโกนพยายามจะช่วยลูกชายขึ้นจากพื้น แต่เธอไม่มีแรง
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่ตู้ที่ตั้งอยู่บนผนังและกระซิบกับมู่เวยเวยว่า “ฉันจะไปหาชุดให้เธอ”
มู่เวยเวยรู้สึกสงบลง เย่ฉ่าวเฉินจูบเธอที่หน้าผาก ใช้ผ้าคลุมตัวเธอไว้และลุกขึ้น เปิดตู้มาก็เห็นผ้าห่มหลายผืนและเสื้อผ้าผู้ชายสองสามชุดอยู่ด้านใน เย่ฉ่าวเฉินค้นไปค้นมาก็เห็นเสื้อผ้าผู้หญิง เสื้อยืดสีชมพูและกางเกงสีดำ
เย่ฉ่าวเฉินหยิบเสื้อผ้าออกมา เห็นว่าแม่ลูกยังคงร้องโหยหวนอยู่ในห้อง จึงตรงไปจับแขนของกาหวาแล้วลากออกจากห้อง แม่กาหวาก็เดินตามออกไป“แกทำอะไรของแก? ปล่อยลูกฉันนะ”
เย่ฉ่าวเฉินโยนเขาออกมาอย่างกับโยนก้อนไขมัน หันหลังกลับและเข้าไปในห้องโดยไม่พูดอะไรสักคำ จากนั้น “ปั๊ง”ปิดประตู
แม่กาหวาตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วเธอก็เคาะประตูเสียงดัง “ออกมานะเว้ย นี่มันบ้านของฉัน ออกมานะ”
เย่ฉ่าวเฉินไม่สนใจเธอ?
กลับไปอยู่ข้างๆเวยเวย
เช็ดหยดน้ำตาและพูดเบาๆว่า “ฉันใส่เสื้อให้เธอโอเคไหม? ใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้วเรากลับบ้านกัน ลูกรอเธออยู่ที่บ้านนะ”
มู่เวยเวยมองไม่เห็นและไม่เข้าใจ แต่เธอรู้สึกได้ว่าผู้ชายคนนี้เชื่อถือได้ จึงค่อยๆปล่อยมือจากผ้าที่เธอกำแน่น
เย่ฉ่าวเฉินใส่เสื้อผ้าให้เธอและพูดว่า “ลุงหวังส่งวิดีโอของลูกมาให้ฉันทุกวันเลย เขาอ้วนขึ้นเล็กน้อย เขาคิดถึงเธอมาก เรียกหาแม่ทั้งวัน”
มู่เวยเวยไม่พูดและยอมให้เขาแต่งตัวให้เงียบๆ
เย่ฉ่าวเฉินเห็นรอยช้ำบนตัวของเธอ มือของเขาสั่นเล็กน้อยดวงตาของเขาเจ็บปวด เขาหายใจเข้าลึกๆสองสามครั้งเพื่อสงบสติอารมณ์ไม่ไปฆ่าไอ่สารเลวพวกนั้น
ติดกระดุมทีละเม็ดทีละเม็ด เย่ฉ่าวเฉินพูดต่อว่า “แต่ว่า เขาก็ยังคงไม่สนใจฉัน ลุงหวังวิดีโอคอลกับฉัน หยอกเล่นกับเขาแต่ไอ่ตัวเล็กก็ไม่มองฉันเลย มู่เทียนเย่พูดถูกแน่เลย ไอ่ตัวเล็กของเราเกิดมาเพื่อทวงหนี้ฉัน”
สวมเสื้อผ้าเสร็จ เย่ฉ่าวเฉินก็ถอดสวมแจ็คเก็ตของตัวเองคลุมให้เธออีกชั้น
“ฉันใส่กระโปรงให้เธอโอเคไหม?” เย่ฉ่าวเฉินกลัวว่าจะทำให้เธอตกใจจึงค่อยๆพูดกับเธอ
ไม่รู้ว่ามู่เวยเวยเธอเข้าใจหรือเปล่า ตอนที่เย่ฉ่าวเฉินใส่เสื้อผ้าให้เธอก็ไม่ได้ขัดขืน
ในตอนนี้เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกว่าเธอเหมือนลูกสาวของตัวเอง รู้สึกยุ่งเหยิงเพียงแค่ต้องการกอดเธอไว้ในอ้อมแขนและดูแลเธอให้ดี
หลังจากแต่งตัวเสร็จ เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่แป้งและลิปสติกบนใบหน้าของเธอแล้วพูดว่า “ฉันจะไปเอาผ้าขนหนูมาเช็ดหน้าให้” ทันทีที่เขาลุกขึ้น ก็ถูกมือเล็กๆจับไว้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ใจของเย่ฉ่าวเฉินราวกับถูกมีดแทง เขาหันกลับมาปลอบเธอ “ฉันไม่ไปไหน ฉันแค่จะไปหาผ้ามาเช็ดให้เธอ”
มู่เวยเวยยังไม่ยอมปล่อย เย่ฉ่าวเฉินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากอุ้มเธอลงจากเตียงแล้วพูดว่า “งั้นฉันจะพาเธอไปด้วย”
ยัยซื่อบื่อน้อยก็ไม่ปฏิเสธ
เย่ฉ่าวเฉินอุ้มเธอออกไปโดยไม่สนใจสายตาของเจ้าบ้านทั้งสาม หาผ้าขนหนูและน้ำร้อนเพื่อเช็ดทุกอย่างออกจากใบหน้าของเธอ เผยให้เห็นใบหน้าที่สะอาดและบริสุทธิ์
เมื่อเห็นว่าอารมณ์ของมู่เวยเวยสงบลงอย่างมาก เย่ฉ่าวเฉินก็โอบแขนเธอไว้และเริ่มชำระบัญชี ถึงยังไงมู่เทียนเย่ก็ยังมาไม่ถึง ปล่อยพวกมันไว้เฉยๆแบบนี้ไม่ได้
“ลูกพี่ลูกน้องคนนั้นล่ะ ยังไม่มาอีกหรอ?” เย่ฉ่าวเฉินถามอย่างเย็นชา
ใบหน้าของพ่อกาหวาเต็มไปด้วยความลำบากใจ”หลี่ว่างปิดเครื่องไปแล้ว ติดต่อไม่ได้”
“ปิดเครื่องงั้นหรอ?” เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว “ฉันว่าได้เงินแล้วก็คงหนีไปล่ะสิ”
สองสามีภรรยามองหน้ากันและเห็นความกังวลในดวงตาของกันและกัน อย่าบอกว่าผู้ชายคนนี้พูดถูก แม้ว่าพวกเขาจะไม่อยากยอมรับมัน แต่ตัดสินจากพฤติกรรมของเจ้าสาวก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้จักกัน
แม่กาหวายืนขึ้นและพูดว่า “ฉันไม่สนว่าความสัมพันธ์ของแกกับเธอเป็นอย่างไง ตระกูลหวังของเราจ่ายเงินซื้อเธอมาแล้ว เธอต้องเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลหวัง จะไปไหนไม่ได้!”
“เรื่องของพวกแกสิ ถ้าฉันจะพาเธอไป พวกแกห้ามไว้ได้หรอ?” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างเป็นไปไม่ได้ ดวงตาของเขาจ้องไปที่ตัวกาหวา “สำหรับแก ฉันไม่อยากทำอะไรคนโง่ๆแบบแก เมื่อกี้ถือว่าฉันให้บทเรียนแกละกัน ”
เนื่องจากติดต่อหลี่ว่างไม่ได้ เย่ฉ่าวเฉินก็เตรียมตัวออกไปจากที่นี่ ตัวหนังสือแสดงความยินดีสีแดงเต็มไปหมดทำให้เขาเจ็บปวดไปทั้งใจ
“หยุด” แม่กาหวายืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาอย่างกล้าหาญ “แกจะไปไหนไม่ได้ ถ้าไม่ทิ้งคนไว้ก็เอาเงิน6หมื่นหยวนคืนมา”
เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะด้วยความโกรธเชิงตรรกะของเธอ “เธอเป็นภรรยาของฉัน ฉันจะพาเธอไปยังต้องจ่ายเงินพวกแก? ป้า ฉันไม่อยากทำร้ายคนแก่ แต่ก็อาจจะไปลงกับลูกชายสุดที่รักก็ได้นะ”
“ใครเป็นพยานได้ว่าเธอคือภรรยาของแก” แม่กาหวาถาม
“ฉันไม่จำเป็นต้องพิสูจน์กับพวกแก พวกแกไม่คู่ควร!” เย่ฉ่าวเฉินเดินผ่านแม่กาหวาไปที่ประตู โดยไม่คาดคิดเธอก็ไม่ย่อท้อคว้าแขนเล็กๆของมู่เวยเวยและชี้ไปที่เพื่อนบ้านตะโกนว่า “ช่วยด้วย มีคนจะมาฆ่าเรา ช่วยด้วย”
ทันทีที่พ่อกาหวาได้ยิน ก็รีบร้องให้คนช่วยตาม “เร็วเข้าช่วยด้วย มีคนจะโดนฆ่า”
ตอนนี้เป็นเวลาไม่ถึงเก้าโมง ชาวบ้านหลายคนกำลังดูทีวี ทันทีที่ได้ยินเสียงทุกคนก็วิ่งออกมาดู
เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้คาดคิดว่าพวกเขาจะไร้ยางอายขนาดนี้ เขาจึงมองพวกเขาเป็นปีศาจด้วยสีหน้าเย็นชา มู่เวยเวยได้ยินเสียงฝีเท้าดังและซ่อนตัวอยู่ในอ้อมแขนด้วยความตกใจ
“ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่นี่แล้ว” เย่ฉ่าวเฉินกระซิบข้างหูของเธอ
ประโยคนี้ดูเหมือนจะมีพลังวิเศษและหัวใจของมู่เวยเวยก็ค่อยๆสงบลง
“แม่กาหวา มีอะไร เกิดอะไรขึ้น?” เพื่อนบ้านที่วิ่งมาถามอย่างรวดเร็ว
“ใช่ ใครจะฆ่าใคร?”
เมื่อแม่กาหวาเห็นว่าชาวบ้านกำลังมา มั่นใจขึ้นมากจึงชี้ไปที่เย่ฉ่าวเฉินและบอกว่า “ก็คือคนนี้แหละ เขาบุกเข้ามาแล้วจะพาตัวตาบอดน้อยไป แถมยังทำร้ายกาหวาอีก พวกเธอดูสิ เขาหักแขนของกาหวา แล้วยังทำฟันหลุดอีกซี่นึงด้วย ”
ชาวบ้านหันไปมอง ปรากฏว่ากาหวาซ่อนตัวอยู่ข้างหลังพ่อของเขา ใบหน้าบวมไปทั้งหน้า แขนอีกข้างก็หักด้วย
คนแก่คนหนึ่งลุกขึ้นยืนจากผู้คนและถามเย่ฉ่าวเฉินอย่างจริงจัง “แกเป็นใคร? ทำไมต้องพาเธอไปด้วย?”
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่ผู้คนอย่างแผ่ว มีผู้คนจำนวนมาก จะฝ่าไปทีละคนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงเงยหน้าพูดอย่างเสียงดังว่า “เธอเป็นภรรยาของฉัน ฉันก็ต้องพาเธอไปสิ”
เมื่อคำพูดนี้ออกมาทำให้ทุกคนตกใจ
“แค่แกบอกว่าใช่ก็ใช่หรอ มีหลักฐานหรือเปล่า? ” แม่กาหวาถามเสียงดังโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาโต้แย้ง
คนในหมู่บ้านก็ต้องเข้าข้างคนกันเองอยู่แล้ว”ใช่สิ แกบอกว่าเธอเป็นภรรยา มีหลักฐานหรือเปล่า?”
เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองไปที่ชาวบ้านที่ถามด้วยสายตาเย็นชา ชายคนนั้นที่ถามเขาก็ก้มหัวลงอย่างเงียบๆ ไม่กล้าสู้หน้าเขา
“ อยากได้หลักฐาน?” เย่ฉ่าวเฉินหยิบโทรศัพท์ของเขาออกมาและเปิดดูรูปแต่งงานที่ถูกถ่ายไว้“ ดูให้ดีๆ ในรูปใช่พวกเราหรือเปล่า?”
ชาวบ้านสองสามคนเข้ามาดูใกล้ ๆ “ เป็นพวกเขาจริงๆด้วย”
ครอบครัวหวังใจเต้นแรงและพ่อกาหวาก็พูดว่า“ต่อให้ตาบอดน้อยจะเป็นภรรยาแก แล้วค่าเสียหายของพวกเราล่ะ? พวกเราเสียค่าสินสอดไป6หมื่นหยวนนะ”
เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างเย็นชา “มันง่ายมาก แกเอาเงินให้ใคร ก็ไปทวงกับคนนั้น มันไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา ”
“ทำไมจะไม่เกี่ยวกับพวกแก?” สมองของแม่กาหวาไวมาก รีบโต้ตอบว่า “ตอนนี้หลี่ว่างหนีไปแล้ว แล้วอยู่ๆแกก็มาพูดอะไรแบบนี้ ฉันสงสัยว่าแกกับหลี่ว่างจะเป็นพวกเดียวกัน มาหลอกเงินเราแน่ๆ”
เย่ฉ่าวเฉินพูดไม่ออก ผู้หญิงชาวนาคนนี้ไม่ควรอยู่ที่นี่จริงๆ แต่ควรไปที่บริษัทภาพยนตร์เพื่อเขียนบท
“ด้วยความเคารพ ฉันจะเรียกคุณว่าป้าอีกครั้ง แต่ฉันขอเตือนก่อนว่าการซื้อขายคนมันผิดกฎหมายอาญา ถ้าแกไม่อยากติดคุกก็หลีกไป”
“ไม่ไป ถ้าแกไม่จ่ายมาฉันก็ไม่ให้ไปให้ เว้นแต่ว่าแกจะเหยียบฉันข้ามไป” แม่กาหวาหนักแน่น เย่ฉ่าวเฉินถอนหายใจอีกครั้ง เธอนิมันไร้ยางอายจริงๆ
เย่ฉ่าวเฉินขี้เกียจคุยเรื่องไร้สาระด้วย หยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทรหาตำรวจ “ฮัลโหล? สถานีตำรวจใช่ไหม? ฉันต้องการจะแจ้งความ มีการฆาตกรรมที่นี่ พวกคุณรีบมาที่นี่โดยเร็ว ถ้าช้ากว่านี้คนได้ตายแน่”
“คุณอยู่ที่ไหน?” นายตำรวจถามอย่างรวดเร็ว
เย่ฉ่าวเฉินก้มศีรษะลงและถามคนแก่ว่า “สวัสดี ที่นี่ที่ไหน?”
คนแก่บอกที่อยู่และเย่ฉ่าวเฉินก็รายงานให้เจ้าหน้าที่รับทราบ คำสุดท้ายแม่กาหวาก็พูดแทรกว่า”ต้องมาให้เร็ว ถ้าพวกคุณมาช้าต้องมีคนตายเพิ่มอีกเป็นแน่”
วางสายโทรศัพท์ เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะเยาะแม่กาหวา “เอาล่ะ เดี๋ยวตำรวจมาถึงก็รู้เอง”
กาวาจ้องตรงไปที่แม่ เธอแค่อยากได้เงินคืนและไม่อยากให้เรื่องใหญ่
ชาวบ้านส่วนใหญ่กว่าสิบคนต่างเฝ้าดูด้วยความตื่นเต้น บางคนอิจฉากาหวาที่ได้แต่งงานกับคนสวยขนาดนี้ แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ พวกเขายังรู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของคนอื่น
อย่างไรก็ตามมีบางคนให้คำแนะนำอย่างจริงใจว่า “แม่กาหวา แกปล่อยพวกเขาไปเถอะ มองแวบเดียวก็รู้แล้วพวกเขาไม่ใช่คนธรรมดา อย่าทำให้เป็นเรื่องเลย”
แม่กาหวาลังเล เธอยังคงเสียดายเงิน6หมื่นหยวน พูดด้วยใบหน้าเศร้าว่า “ถ้าฉันให้พวกมันไป แล้วเงินของฉันล่ะ? หลี่ว่างกับภรรยาของเขาก็หนีไปแล้ว เงิน6หมื่นหยวนของฉันก็เสียไปฟรีๆแบบนี้หรอ?”
ชาวบ้านได้ยินคำนี้ บ้านหวังให้ความสำคัญกับเงินมาก ใครที่สามารถยืมเงินจากบ้านนี้ไปได้ พวกเขาเก่งมากมันยากกว่าการได้ขึ้นสวรรค์ซะอีก
ไม่กี่นาทีต่อมา ก็ได้ยินเสียงรถไซเรนดังมาแต่ไกล ในไม่ช้าไฟกะพริบสีแดงและสีน้ำเงินก็สว่างขึ้นที่ลานบ้านของกาหวา คิดว่าเป็นคดีฆาตกรรมจริงๆ ตำรวจก็เลยมาสี่คน
เมื่อพวกเขาเห็นคนจำนวนมากยืนอยู่ในบ้าน คิดว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นจริง จึงรีบเข้าไปดูว่าไม่มีอะไร
“ ใครเป็นคนแจ้งความ?” นายตำรวจถามด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
เย่ฉ่าวเฉินตอบอย่างใจเย็น “ฉันแจ้งเอง”
“เมื่อกี้คุณบอกว่ามีเหตุฆาตกรรมไม่ใช่หรอ?” นี่มันเกิดอะไรขึ้น
เย่ฉ่าวเฉินโค้งริมฝีปากและยิ้ม “คุณตำรวจ ถ้าคุณไม่มาอาจจะต้องมีคนตายจริงๆ แต่คุณมาแล้วฉันก็ไม่ต้องลงมือทำอะไรแล้วล่ะ”
ตำรวจเขากลอกตาไปมา “บอกมาสิ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
เย่ฉ่าวเฉินดึงผู้หญิงมาอยู่ในอ้อมแขนและพูดว่า “นี่คือมู่เวยเวยภรรยาของฉัน ฉันชื่อเย่ฉ่าวเฉิน พวกเรามาจากเมือง A เมื่อไม่นานมานี้ภรรยาของฉันหลงมาอยู่ที่นี่ และถูกหลอกขายให้กับครอบครัวของพวกเขา ตอนนี้ฉันจะพาเธอกลับไปแต่คนบ้านนี้ไม่ยอม”
ตำรวจรุ่นใหญ่มองไปที่มู่เวยเวยและตระหนักว่าเธอแตกต่างจากคนทั่วไปด้วยรูปลักษณ์นี้มีโอกาสถูกหลอกได้มาก
ตำรวจหันไปหาสามีภรรยากาหวาและถามว่า “คุณซื้อผู้หญิงคนนี้มาหรอ? ”
แม่กาหวารีบตอบทันทีว่า “ไม่ พวกเราไม่รู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ถูกลักพาตัว หลี่ว่างบอกว่าเป็นญาติห่างๆของเขา เราคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง ดังนั้นเราจึงให้6หมื่นหยวนเป็นค่าสินสอด เรื่องอื่นเป็นยังไงพวกเราไม่รู้”
“หลี่หวัง?” ตำรวจคิดสักพัก”หลี่หวังที่มาจากหมู่บ้านถัดไปหรอ? คนที่ขี้เกียจวันๆไม่ทำอะไรคนนั้น?”
“ใช่ คนนั่นแหละ”
“โทรเรียกเขามา” ตำรวจพูด
พ่อกาหวาขมวดคิ้ว “ ฉันเพิ่งโทรไปและเขาก็ปิดเครื่อง”
ตำรวจวัยกลางคนหนึ่งพูดกับเพื่อนร่วมงานที่มาด้วยกัน “พวกคุณสองคนไปที่บ้านของหลี่ว่าง ถ้าเขาอยู่บ้านให้พาตัวมาที่นี่”
“ครับ ผู้กอง”
ตำรวจหันไปสอนแม่กาหวาว่า “พวกคุณกำลังซื้อขายผู้หญิง นี่เป็นการละเมิดกฎหมายของประเทศ รู้ไหมว่าพวกคุณอาจจะถูกตัดสินจำคุกได้”
ทันทีที่แม่กาหวาได้ยินว่าคำว่าติดคุกขาของเธอก็อ่อนแรง“ คุณตำรวจ พวกเราไม่รู้ว่าเธอถูกลักพาตัวมา ถ้าเรารู้เราไม่มีวันซื้อมาแน่นอน”
ตำรวจมองเธออย่างเย็นชา คิดในใจ ถ้าทำเพื่อนลูกชายแกมีอะไรที่ทำไม่ลงด้วยหรอ? แต่ด้วยตำแหน่งหน้าที่การงานของตนทำให้ไม่สามารถพูดออกมาได้
ชาวบ้านสิบกว่าคนยังคงเฝ้าดูความตื่นเต้น ตำรวจเห็นทุกคนสนใจและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ“ดึกขนาดนี้แล้วพวกคุณไม่นอนกันหรือไง”
ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดว่า “นี่แค่กี่โมงเอง คุณตำรวจ ตอนเที่ยงที่งานเลี้ยงพวกเราก็ได้ยินมาว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องของหลี่หวัง เขาช่วยเธอมาจากแม่น้ำ”
“ ใครเป็นคนบอกแบบนี้?”
“หลี่หวังเมาแล้วเขาพูดออกมาเอง ผู้คนมากมายก็ได้ยิน”
ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ หลายคนที่อยู่ข้างๆเขาก็ส่งเสียงออกมาว่า “ใช่ใช่ ฉันก็ได้ยินเหมือนกัน”
ตำรวจพยักหน้าและเรื่องก็ชัดเจนขึ้น
ในขณะที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น มีเสียงของรถขับมาจอดอยู่ด้านนอก รถอีกสองคัน ผู้คนในบ้านทุกคนหันไปมอง มีชายหลายคนลงจากรถและหนึ่งในนั้นก็รีบมาที่นี่
เขาคือมู่เทียนเย่
เขาดูกังวล ทันใดนั้นก็เห็นมู่เวยเวยซ่อนตัวอยู่ในอ้อมแขนของเย่ฉ่าวเฉิน ราวกับว่าหินก้อนใหญ่ในอกได้ถูกยกออกไป เขารีบวิ่งไปหาน้องสาวของเขา เพียงไม่กี่ก้าวก็เกือบจะร้องไห้ด้วยความดีใจและเสียงของเขาสั่น “เวยเวย”
มู่เวยเวยเดินตามเสียงและหันศีรษะไป เธอมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ในใจรู้สึกว่าเสียงนั้นคุ้นเคยมาก
หัวใจของมู่เทียนเย่เจ็บปวดมาก ถามเย่ฉ่าวเฉินด้วยหางตาว่าเกิดอะไรขึ้นกับเวยเวย?
เย่ฉ่าวเฉินแสร้งทำเป็นสงบและพูดว่า “เธอได้รับบาดเจ็บ ดวงตาของเธอบอดชั่วคราว จิตใจของเธออ่อนแอเล็กน้อยดังนั้นเธอก็เลยจำแกไม่ได้”
“ไม่เป็นไรไม่เป็นไร แค่เธอไม่เป็นอะไรก็โอเคแล้ว เราสามารถรักษาเธอได้ ถ้าในประเทศรักษาไม่หายก็ไปต่างประเทศ เธอต้องดีขึ้นแน่นอน” ดวงตาของมู่เทียนเย่เต็มไปด้วยความเมตตาและความรัก “ต่อให้จะรักษาไม่หายก็ไม่เป็นไร ตระกูลมู่ของเราจะดูแลเธอตลอดชีวิตเอง”
เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะกับสิ่งที่เขาพูด “มู่เทียนเย่ ถึงจะต้องดูแลไปตลอดชีวิตก็ต้องเป็นฉันเอง อย่าลืมสิเธอคือภรรยาของฉัน”
เมื่อมู่เทียนเย่หาน้องสาวเจอ เขารู้สึกโล่งใจและพูดมากขึ้น “เย่ฉ่าวเฉิน อย่าลืมสิ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันก็มีผลมาจากแก”
เย่ฉ่าวเฉินยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฉันรู้ เพราะงั้นฉันจะดูแลเธอเป็นอย่างดี อีกหน่อยตอนนี้เธอจำฉันได้คนเดียว” เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างมีชัยชนะ
มู่เทียนเย่ใช้สายตาจิกเขา“หึอะไร? เธอจำแกได้แล้วยังไง หลานชายฉันยอมรับแกหรือเปล่า?”
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกสำลัก
เมื่อเห็นเขาอ่อนเปลี้ยมู่เทียนเย่ก็มีความสุขอย่างมาก จากนั้นเขาก็สนใจสถานการณ์รอบข้างและตำรวจวัยกลางคนก็จำมู่เทียนเย่ได้
“ คุณเป็นคนที่ไปตรวจดีเอ็นเอครั้งที่แล้วใช่ไหม?”
มู่เทียนเย่เองก็จำตำรวจได้และพูดอย่างสุภาพว่า “ใช่ ฉันจำคุณได้เช่นกัน”
“อ๋อ เธอก็คือน้องสาวที่คุณกำลังตามหา?”
“ใช่เธอเอง เธอคือมู่เวยเวย ส่วนฉันขื่อมู่เทียนเย่ ต้องการหลักฐานอะไรเพิ่มเติมไหม?”
“ไม่จำเป็นแล้ว” ตำรวจยิ้ม เด็กฝึกหัดที่ติดตามเขามาตอนนั้นได้ตรวจสอบตัวตนของเย่ฉ่าวเฉินแล้ว มีข่าวมากมายเกี่ยวกับเย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยทางอินเทอร์เน็ต เรื่องนี้ก็ชัดเจนมากแล้ว
“ แล้วเราไปได้หรือยัง?” มู่เทียนเย่ถาม
นายตำรวจส่ายหัว “รอก่อน ตอนนี้ยังมีอีกคนที่ยังไม่มา”
หลังจากพูดจบ โทรศัพท์ของตำรวจก็ดังขึ้น “ผู้กอง บ้านของหลี่ว่างไม่มีใครอยู่เลย หม้อข้าวเย็นมาก พวกเขาน่าจะหนีไปตั้งแต่เที่ยงแล้ว”
“โอเค ฉันเข้าใจ”ทันทีที่วางสาย ตำรวจก็หันมาบอกกับเย่ฉ่าวเฉินและครอบครัวกาหวา “หลี่ว่าง หนีไปแล้ว”
แม่กาหวาถึงกับเข่าทรุด
นั่งลงกับพื้นและร้องไห้เสียงดังออกมา “ไอ่คนสารเลวที่เอาเงินฉันไป เงิน6หมื่นหยวนของฉันหายไปในพริบตา”
แม้ว่าตำรวจจะปวดหัว แต่พวกเขาก็ยังคงเกลี้ยกล่อมอย่างจริงจัง“ ใครให้คุณไม่ตรวจสอบดีๆก่อนแต่งงานล่ะ? ถือว่าเสียเงินซื้อบทเรียนแล้วกัน เอาล่ะ เราจะจับกุมหลี่ว่างและภรรยาโดยเร็วที่สุดและดูว่าจะสามารถชดเชยความเสียหายอะไรได้บ้างไหม”
“ถ้าอย่างงั้นงานแต่งงานวันนี้ของเราก็เป็นโมฆะหรอ? ค่างานเลี้ยงก็เสียไปตั้งหลายหมื่น” พ่อกาหวาพูดอย่างทุกข์ใจ
“ก็เอาเงินซื้อบทเรียนนิไง” ค่ำคืนนั้นมืดแล้ว ตำรวจก็พูดกับผู้คนที่เฝ้าดูอยู่ว่า “โอเค กลับไปนอนกันได้แล้ว”
ทุกคนยังไม่ขยับ ความตื่นเต้นยังไม่จบ
“ทีนี้เราไปกันได้หรือยัง?” มู่เทียนเย่ถามอีกครั้ง
“ไปได้แล้ว ถ้าเราจับหลี่ว่างได้จะแจ้งให้พวกคุณทราบ”
“ ดีเลย”
เย่ฉ่าวเฉินและพรรคพวกเดินออกไป กาหวาก็กระโดดขึ้นและตะโกนว่า “เมียของฉัน เมียของฉัน”
ชาวบ้านส่งเสียงหัวเราะมีคนแซวว่า “กาหวา นั่นไม่ใช่เมียของแก แกไม่มีเมียอีกแล้ว”
กาหวาวิ่งตามไปอย่างดื้อ ๆ “ เมียกู นี่เป็นเมียกู”
เย่ฉ่าวเฉินกำลังจะระเบิดเมื่อเขาได้ยินสองคำนี้ เขากำลังต่อยกาหวา มือของเขามู่เทียนเย่ก็จับแขนของเขาและพูดว่า “แกพาเวยเวยออกไปก่อน”
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่ใบหน้าที่เฉยชาของมู่เทียนเย่ก็เข้าใจถึงความหมาย
มู่เทียนเย่คว้าแขนของกาหวาแล้วพาไปที่ห้องด้านหลัง “มาสิ ฉันจะแนะนำให้รู้จักเมียแกอีกคน”
ดวงตาของกาหวาติดอยู่ที่ตัวของมู่เวยเวยไม่อยากไปไหน แต่แรงดึงของมู่เทียนเย่มีมาก แถมเขายังกลัวอีกด้วยจึงจำใจต้องตามมู่เทียนเย่เข้าไป
เพื่อนตำรวจยังคงตาคมรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไรและรีบก้าวไปขวางเขา “คุณมู่ พวกเรายังอยู่ที่นี่ อย่าทำอะไรพลุ่งพล่านเกินไป”
มู่เทียนเย่ยิ้มจาง ๆ “คุณตำรวจ ฉันไม่ได้จะทำอะไรนิ ฉันแค่อยากคุยด้วย”
“คุณอยากทำอะไรฉันรู้อยู่แก่ใจ พอแล้ว พวกเขาเสียหมดทุกอย่างแล้ว แถมเพื่อนของคุณก็ทุบตีเขาด้วย ถือว่าหายกันแล้ว คุณยังจะทำคนซื่อบื่อนี้อีกหรอ?”
ประโยคสุดท้ายของตำรวจทำให้มู่เทียนเย่ได้สติ น้องสาวที่รักของเขาถูกทุบตี เขาจะปล่อยไว้แบบนี้ได้ยังไง แต่อีกฝ่ายเป็นคนซื่อบื่อ ต่อให้เขาตีให้ตายก็ไม่มีประโยชน์อะไร
เขาจะไปเอาอะไรกับคนซื่อบื่อได้? ทำลงไปตัวเองก็จะกลายเป็นคนซื่อบื่อไปด้วย
ช่างมันเถอะ
ในที่สุดเรื่องตลกก็จบลง
เมื่อออกจากหมู่บ้านเล็กๆบนภูเขา เย่ฉ่าวเฉินก็พามู่เวยเวยไปที่บ้านของคุณปู่จงเพื่อขอบคุณ หากไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือจากเขา ก็ไม่รู้ว่าจะหามู่เวยเวยเจอเมื่อไหร่
หลังจากเหตุการณ์นั้น เย่ฉ่าวเฉินและมู่เทียนเย่กลับบ้าน และพวกเขาก็ขึ้นเครื่องบินในคืนนั้นกลับไปที่เมือง A
……
ผ่านไปกว่าครึ่งเดือน สถานการณ์ของมู่เวยเวยก็ยังไม่ดีขึ้น
สมองของเธอได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงและมีเลือดคั่งที่ศีรษะซึ่งไปปิดกั้นเส้นประสาทตา ความเสี่ยงในการผ่าตัดสูงเกินไป ดังนั้นเธอจึงได้รับการรักษาอย่างระมัดระวัง
นอกจากนี้ ใจของเธอยังคงกระทบกระเทือน เธอเข้าใจในสิ่งที่คนอื่นพูด แต่จะให้เธอพูดออกมานั้นยากมาก
หลังจากรับตัวกลับจากโรงพยาบาล สิ่งที่มู่เวยเวยทำมากที่สุดในแต่ละวันคืออุ้มลูกของเธอนั่งอยู่บนเก้าอี้และตากแดด ไม่ว่าแม่และเด็กจะแยกจากกันอย่างไรก็จะมีเส้นกั้นระหว่างพวกเขาเสมอ ดังนั้นเมื่อลูกอ้าปากเรียกแม่ ความรู้สึกของมู่เวยเวยก็อดหม่ได้ที่จะอ้าแขนออกไปและกอดลูกไว้ในอ้อมกอด
อย่างไรก็ตาม ความอคติที่ลูกมีต่อเย่ฉ่าวเฉินยังคงฝังลึกและไม่มีเหตุผล เมื่อเขาเห็นพ่อก็หันหน้าไปไม่สนใจ พูดคุยกับเขาก็ไม่สนและไม่เคยยิ้มให้เย่ฉ่าวเฉิน
เย่ฉ่าวเฉินพ่ายแพ้ให้กับหนูน้อยคนนี้จริงๆ อยากจะตีแต่ก็ทำไม่ลง นี่คือลูกของเขาเอง พอไม่ตีก็รู้สึกโกรธในใจ
เขาหมดหนทาง จึงใช้แรงกดเขาลงบนโซฟาและพูดอย่างจริงจังว่า “นี่แกหมายความว่ายังไง? ทำไมถึงไม่เห็นค่าความรักของฉันเลย?”
ลูกมองเขาและไหลตัวลงมาจากโซฟาเพื่อวิ่งไปเล่นกับแม่ของเขา ใช่แล้ว ในช่วงที่มู่เวยเวยไม่อยู่ ลูกอัจฉริยะคนนี้ได้เรียนรู้และเดินได้แล้ว
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่แผ่นหลังกลมของเขาและขาสั้นๆของเขาส่ายไปมา ความรู้สึกไร้พลังลึกๆก็ผุดขึ้นในใจ
พระเจ้า ฉันไปทำบาปกรรมอะไรไว้นักหนา
วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ เย่ฉ่าวเฉินนอนหลับจนถึงรุ่งเช้า มองไปที่หมอนที่ว่างเปล่า เหมือนไฟที่ดับในใจและยังไม่ได้จุดขึ้นใหม่ ตั้งแต่กลับมามู่เวยเวยก็ถูกเด็กตัวแสบยึดครอง ไม่ยอมให้มู่เวยเวยมานอนกับเขา
ในความเป็นจริงเย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ได้จะทำอะไร แค่อยากหลับไปอย่างสงบในอ้อมแขนของภรรยา ขณะที่มู่เวยเวยและลูกน้อยกำลังหลับอยู่ในเรือนเพาะชำ เขาก็แอบพาเธอกลับมาและล็อคประตู
ในใจคิดว่าจะได้กอดภรรยานอนแล้ว ไม่คาดคิดในไม่กี่นาทีก็มีเสียงเคาะประตู “ปั๊งปั๊งปั๊ง” พร้อมกับเสียงร้องของลูก “แม่ แม่ ฉันจะหาแม่” ”
เย่ฉ่าวเฉินถอนหายใจ ช่วยให้เขาสงบลงและเตรียมที่จะเปิดประตู พร้อมรับชะตากรรมของเขา ทันใดนั้นลูกก็เข้ามาและยืนอยู่ข้างเตียง
เย่ฉ่าวเฉินถึงกับตะลึง เขาตะลึงไปนานกว่าจะได้สติกลับมา ลูกชาย……สืบทอดพลังของเขา? และดูเหมือนว่าจะแข็งแรงขึ้นมาก ดวงตาของเขาไม่เปลี่ยน มันยังคงเป็นสีน้ำเงินและสีม่วง
“ ลูกรัก เมื่อกี้ทำอะไรลงไปรู้ตัวไหม?” เย่ฉ่าวเฉินถามอย่างเป็นห่วง ห้ามใช้พลังแบบนี้ต่อหน้าบุคคลภายนอก ไม่งั้นจะถูกคนอื่นมองว่าเป็นตัวประหลาด
ลูกไม่สนใจคำพูดของเขา เดินไปหาแม่แล้วใช้มือเล็กๆตบที่แก้มแม่เบาๆ “แม่ครับ แม่”
มู่เวยเวยตื่นขึ้น ลืมตาแม้ว่าเธอจะยังมองไม่เห็น
“แม่ เรากลับไปนอนกันเถอะ”
พูดจบ มืออ้วนๆน้อยๆของเขาก็ดึงเธอลงมาจากเตียง
“ลูกรัก คืนนี้นอนที่นี่ด้วยกันดีไหม?” เย่ฉ่าวเฉินถามอย่างอ่อนโยน
เด็กน้อยพูดออกมาอย่างหนักแน่นสองคำ“ ไม่เอา!” จากนั้นก็พามู่เวยเวยออกไปอย่างโกรธๆ
เมื่อแม่และลูกจากไป เย่ฉ่าวเฉินทิ้งตัวลงบนเตียงพร้อมกับเสียงถอนหายใจ พระเจ้า ใครก็ได้มาช่วยจัดการกับตัวแสบนี้ที
หลังจากทุบเบาๆที่เตียงสองสามที เย่ฉ่าวเฉินก็ยืนขึ้นและลุกไปหาภรรยาและลูกชายของเขา
ทันทีที่เขาเดินไปที่ประตูห้องของลูก เย่ฉ่าวเฉินก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักอยู่ภายในและไฟในใจของเขาก็ดับลงทันที
แม่ลูกนั่งอยู่บนพรมหนาๆ ข้างหน้ามีของเล่นมากมาย ลูกน้อยกำลังสอนมู่เวยเวยสร้างบล็อก “แม่ลองจับอันนี้สิ อันนี้ต้องวางไว้ตรงนี้ ใช่ใช่ใช่”