วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่287 เติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีคนปล้น
เธอชอบพูดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ทำตัวเหมือนผู้ชาย แต่เดิมเธอก็เป็นหญิงสาวที่งดงามเสมอ เพียงแค่เย่จิงเหยียนไม่เคยเห็น
การบรรเลงเพลงจบสิ้นลง ต้วนอีเหยาลุกขึ้นขอบคุณอย่างสุภาพ ได้รับเสียงปรมมือด้วยความยินดี จากภายในห้องประชุมใหญ่ ขณะที่สาวน้อยเงยศรีษะขึ้นได้สบตาเขา เย่จิงเหยียนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
เป็นการแสดงอะไร เย่จิงเหยียนก็ไม่รู้ เขาคิดเพียงแค่เรื่องเดียว หลังจากการแสดงในสถานที่แห่งนี้จบลง ต้วนอีเหยาก็ออกจากโรงเรียนอนุบาล เขาก็จะไม่ได้พบเจอเธออีกแล้ว
นึกถึงตรงนี้ เย่จิงเหยียนลุกขึ้นออกจากที่นั่งไปที่หลังเวทีการแสดงชั้นโรงเรียนอนุบาล เขาก็ได้เห็นเด็กผู้หญิงของเขา
ต้วนอีเหยารู้สึกตื่นเต้นดีอกดีใจพูดแบ่งปันความสุขกับเพื่อนๆ มองเห็นเขาเดินเข้ามา รีบหยุดพูดคุยกับเพื่อนทันที ถามเขาว่า “นายมาได้อย่างไร?”
เย่จิงเหยียนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “เธอเรียนจบแล้วก็จะไปต่อชั้นประถมที่ไหน? ปีหน้าฉันก็จะไป”
ต้วนอีเหยาชะงักงันไปสักพัก จับที่มือเขาแล้วพูดว่า “นายมากับฉัน”
ทั้งสองคนออกมาด้านนอก โดยปกติสนามกีฬาคนจะเยอะตอนี้ว่างเปล่าไม่มีคนสักคนเดียว หาสถานที่ร่มรื่น ต้วนอีเหยามีความรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย “ฉันจะไม่ได้เรียนชั้นประถมที่เมืองAแล้ว”
“ทำไมล่ะ?”เย่จิงเหยียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ตลอดเวลาฉันไม่เคยพูด พ่อของฉันเป็นทหาร ตั้งแต่เด็กฉันเติบโตในเขตปกครองทหาร ปีนี้พ่อต้องไปทำงานที่อื่นแล้ว ดังนั้น ฉันกับแม่ก็ต้องไปกับพ่อด้วย”
เย่จิงเหยียนตกใจมึนงง นิ่งเงียบไปตั้งนานค่อยพูดว่า “แล้วอย่างนั้นพวกเธอต้องไปที่ไหน?”
“ฉันก็ไม่รู้ ถึงอย่างไรก็ไกลมาก”
“อย่างนั้นต่อไปฉันก็ไม่ได้พบเจอเธอแล้ว?”เย่จิงเหยียนรู้สึกปวดใจเล็กน้อย แววตาก็โศกเศร้า
ต้วนอีเหยายิ้มอย่างเปิดเผย แผ่มือสองข้างออกกว้างแล้วโอบกอดเขา“รอพวกเราโตขึ้น ฉันจะกลับมาเมืองAหานาย”
“คนมากมายเช่นนี้ เธอจะหาฉันพบไหม?”
“แน่นอนฉันหาเจอ”ต้วนอีเหยาปล่อยเขาออก มองตรงไปที่ดวงตาสีดำของเขา “ นายมีลักษณะพิเศษเช่นนี้ ฉันก็
แค่ถามก็หานายเจอแล้ว แต่ นายต้องเก่งมากขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้มีคนรู้จักนายมากขึ้น ฉันก็จะหานายง่ายขึ้น”
เย่จิงเหยียนออกแรงผงกศีรษะ “อืม ฉันเติบโตเจะเก่งให้มากขึ้น แน่นอนว่าเธอต้องกลับมาหาฉันนะ อย่าลืมฉัน”
“ไม่มีทางลืม” ต้วนอีเหยายิ้มอย่างเจิดจ้าสดใส “แต่ว่า ถ้าหากฉันมาหานาย นายไม่รู้จักแล้วฉันทำอย่างไรล่ะ?”
เย่จิงเหยียนขมวดคิ้วแล้วคิดอยู่สองวินาที หลังจากนั้นหยิบด้ายแดงตรงลำคอออกมาอย่างรวดเร็ว ด้านบนห้อยหยกสีขาวชิ้นหนึ่ง แต่ว่าใส่มานานแล้ว มีความโปร่งแสงทะลุเล็กน้อย
“สิ่งนี้คือพ่อของฉันไปวัดโดยเฉพาะทางด้านนี้หามาได้ ด้านหลังมีชื่อของฉัน ต่อไปเธอก็นำติดตัวมาหาฉัน ฉันมองก็รู้จักแล้ว”พูดแล้วเย่จิงเหยียนก็หยิบหยกใส่ที่คอให้แก่เธอ ในหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ เย่จิงเหยียนเติบโตขึ้นมาก ความสูงพอๆกันต้วนอีเหยา
ต้วนอีเหยาลูบหยกซ้ำๆ ใส่เข้าไปภายในเสื้อกดไว้แล้วพูดว่า “ฉันจะเขียนจดหมายหานาย เพียงแค่ที่อยู่ของบ้านนายไม่เปลื่ยน”
“ไม่เปลื่ยน ไม่มีทางเปลี่ยนแน่นอน”
“อย่างนั้นพวกเราพูดคำไหนคำนั้น มาเกี่ยวก้อยกัน”ต้วนอีเหยายื่นนิ้วก้อยออกมา เย่จิงเหยียนเกี่ยวก้อยที่นิ้วมือเธอ “เกี่ยวก้อยกันหนึ่งร้อยปีก็ไม่เปลื่ยนแปลง ประทับตรา”
ฤดูร้อนนี้ เด็กไร้เดียงสาทั้งสองคนรับปากสัญญากันใต้ต้นดอกท้อ แต่ไม่รู้ว่าหลังจากนี้เพื่อที่จะจำซึ่งกันและกันได้ต้องทุ่มเทพลังอีกพันเท่า
หลังเลิกเรียน รถjeepคันหนึ่งพาต้วนอีเหยาออกไป เย่ฉ่าวเฉินวิ่งตามอยู่ด้านหลังเป็นเวลานาน จนรถหายไปลับสายตา เขาจึงจะร้องไห้ออกมา
มาถึงสองวันแล้ว เย่จิงเหยียนไม่ได้กินข้าวมีแต่คำเดียว
มู่เวเวยมองดูลูกชายเป็นอย่างนี้ก็กังวลใจมาก แต่ทว่าเย่ฉ่าวเฉินก็แสดงออกว่าไม่เป็นไร “โดยทั่วไปเขาหิวก็กินเอง อีกสองวันก็ดีขึ้นแล้ว”
คิดไม่ถึงว่าวันนี้ตอนบ่าย เย่จิงเหยียนก็มีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นพันเท่า เพราะต้วนอีเหยาส่งจดหมายหนึ่งฉบับมาให้เขา
จิงเหยียน วันนี้ฉันกับพ่อแม่ออกจากเมือง Aแล้ว เพียงแค่ฉันมีเวลา ฉันจะเขียนจดหมายมาหานาย นี่คือเส้นคอสีทองตอนที่ฉันครบหนึ่งเดือนคุณยายให้ฉันไว้ ฉันใส่มานานมาก นายต้องเก็บรักษาไว้ให้ดีๆแทนฉัน ลาก่อน เพื่อนที่ดีของนาย ต้วนอีเหยา
คำเขียนคดโค้งงอ มีหลายคำที่เขียนไม่ได้ก็ใช่พินอินเขียนแทน ถึงแม้ว่าเป็นเช่นนี้ เย่จิงเหยียนก็อ่านอย่างมีความสุข เธอตั้งใจเขียนจดหมายด้วยตัวเองให้เขา
“เฮ้ย ลูกคนนี้กลายเป็นของผู้หญิงคนอื่นแล้วอย่างรวดเร็ว ฉันยังไม่คุ้นชินจริงๆนะ” มู่เวยเวยซบอยู่ในอ้อมกอดเย่ฉ่าวเฉิน พูดด้วยอารมณ์ไร้ขอบเขต
“เร็วที่ไหนกัน อย่างน้อยก็ต้องยี่สิบปีหลังจากนี้”
“ยี่สิบปี เร็วมาก……”
หลังจากวันนั้นมา ต้วนอีเหยาก็ส่งจดหมายมาอยู่หลายครั้ง บางครั้งมาจากทะเลทางไกลบ้าง บางครั้งมาจากหุบเขาลึกบ้าง มีครั้งหนึ่งในจดหมายยังแนบรูปถ่ายหนึ่งรูปของตัวเอง ยืนอยู่หน้าพระอาทิตย์ตก มัดผมเปียสั้น ที่คอห้อยด้ายสีแดง ในมือถือหมวกหญ้า ยิ้มอย่างสว่างไสวสดใส วันนั้น เย่จิงเหยียนมองรูปถ่ายแล้วยิ้มอย่างเจื่อนๆป็นเวลานาน
หนึ่งปี สองปี สามปี……。
อยู่มาวันหนึ่ง เย่จิงเหยียนนั่งรถผ่านโรงเรียนอนุบาล ทันใดนั้นนึกขึ้นมาได้ นานแล้วเขาไม่ได้รับจดหมายต้วนอีเหยาเป็นเวลานานมาก กลับถึงบ้านก็พลิกค้นกล่องจดหมายไปมา จดหมายจำนวนไม่มากฉบับสุดท้ายที่ได้รับก็คือหนึ่งปีครึ่งก่อนหน้า อีกทั้งส่งมาจากขอบชายแดน จนถึงตอนนี้ เขาก็ไม่เคยได้รับจดหมายจากเพื่อนทีดีอีกเลย
นั่งลงบนพรมอย่างห่อเหี่ยว เย่จิงเหยียนรู้สึกหดหู่มาก ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน? ไม่ใช่ลืมเขาแล้วเหรอ?
วันนี้ตอนเย็น เย่จิงเหยียนไม่ได้ลงมากินข้าว
มู่เวยเวยไปเคาะประตู ได้ยินลูกชายพูดออกมาจากข้างในว่า “ผมไม่หิว”เธอไม่มีวิธีจัดการ ก็กลับไปห้องรับประทานอาหาร
“ผิงอันไม่กินข้าว?”เย่ฉ่าวเฉินถาม。”
“คงจะคิดถึงเพื่อนคนนั้นของเขาขึ้นมา เลิกเรียนก็เข้าไปอยู่ในห้อง”
เย่ฉ่าวเฉินแสยะยิ้มที่มุมปาก “คิดไม่ถึงเด็กคนนี้มีความรู้สึกผูกพันขนาดนี้ จะสามารถนึกถึงโหยหาได้นานเช่นนี้”
มู่เวยเวยถอนหายใจออกมา “น่าเสียดายพ่อของสาวน้อยคนนั้นเป็นนายทหาร ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็พาผิงอันไปเจอเธอได้”
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มเล็กน้อย ชายคนนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่นายทหารที่ธรรมดา
หยิบถ้วยเปล่ามาหนึ่งใบคีบอาหารไม่กี่อย่างให้ลูกสาว พูดปลอบโยน “หรูอี้ นำอาหารไปส่งให้พี่ชายข้างบน เขาไม่กินท้องก็จะหิว”
เสี่ยวหรูอี้โตมาห้าขวบร่างกายเติบโตสวยงามแล้ว ผิวพรรณเหมือนหิมะ ดวงตาเหมือนดวงดาว
เธอถือถ้วยด้วยมือทั้งสองข้างแล้วผงกศรีษะ ในชั่วพริบตาเดียวก็หายไปจากตรงนั้น
เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้พูด สรุปเธอเป็นเด็กดีน่ารักของบ้านเมื่อไหร่กันนะ?
เย่จิงเหยียนโตมาเจ็ดขวบสง่างามเคร่งขรึมเป็นเด็กหัวรั้น พิงอยู่ที่หัวเตียงเริ่มต้นอ่านจดหมายเก่าที่เป็นสีเหลืองทีละแผ่น
“พี่ชาย กินข้าวเถอะ”หรูอี้ปรากฏตัวต่อหน้าเขาอย่างทันที ผิงอันไม่ประหลาดใจแม้แต่นิดเดียว เขาก็คุ้นชินกับการที่น้องสาวมาไม่ให้ซุ่มให้เสียงด้วยวิธีการอย่างนี้แล้ว
“วางไว้ด้านนั้น อีกสักพักพี่จะกิน”
หรูอี้เว้นระยะห่างสักพักหนึ่ง ถ้วยกับตะเกียบก็ลอยผ่านไปวางบนโต๊ะของตัวเอง
นั่งลงยองๆอยู่ต่อหน้าพี่ชาย มือสองข้างอยู่ที่คางแล้วถามว่า “พี่ชาย พี่กำลังอ่านจดหมายพี่สาวอีกแล้ว”
“ใช่แล้ว”เย่จิงเหยียนปิดจดหมายหนึ่งฉบับ แล้วเปิดอีกหนึ่งฉบับ
“พี่ชาย พี่สาวสวยไหม?”
เย่จิงเหยียนนึกถึงใบหน้านั้นที่เหมือนดอกไม้สดใส ยิ้มเล็กน้อยพูดว่า “สวยมาก”
“อยากเจอพี่สาวมากเลย”หรูอี้รู้สึกว่า หลายปีมานี้สามารถทำให้พี่ชายคิดถึงได้นานขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นผู้หญิงที่สวยน่ารักมาก
เย่จิงเหยียนลูบผมของเธออย่างเอ็นดู แล้วพูดว่า “พี่ก็อยากเจอเธอ”
หรูอี้ลุกขึ้นยืน “พี่ชายรีบกินข้าว ฉันยังกินไม่เสร็จเลย ไปแล้วนะ”
พูดว่าจะไปก็ไปเลย หนึ่งวินาทีต่อมา ก็ไม่เห็นเธอแล้ว
มือของเย่จิงเหยียนหยุดชะงักในอากาศ นานมากถึงนำกลับมา ในปากพูดพึมพำหนึ่งประโยคว่า “เด็กผู้หญิงที่ไม่มีหัวใจ”
“ฉันไม่ใช่เด็กผู้หญิง” คำประท้วงของหรูอี้ออกมาอย่างว่างเปล่า
“เธอไม่ใช่เด็กผู้หญิง หรือว่าพี่เป็นเด็กผู้หญิงเหรอ?”เย่จิงเหยียนจงใจหยอกล้อเธอ
“พี่ชายน่าเกลียดน่าชังเช่นนี้ ไม่ต้องกินข้าวแล้ว”เสียงเพิ่งจะเปล่งออกมา เย่จิงเหยียนเงยศีรษะไปมองถ้วยที่อยู่บนโต๊ะ เป็นไปตามคาดหายไปแล้วจริงๆ
เฮ้ เด็กผู้หญิงคนนี้ชอบอาฆาตอย่างนี้?
ต้วนอีเหยาจากไปห้าปีแล้ว
โรงเรียนผู้ดีมีเงินที่ดีที่สุดของเมืองA ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่ วิชาคณิตศาสตร์
คุณครูผู้มีประสบการณ์กำลังเขียนคำถามลงกระดานดำ ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังออกมา หันกลับไปมอง นักเรียนทุกคนนั่งตัวตรงอย่างเรียบร้อยอยู่ สีหน้าจริงจัง ยกเว้นคนคนหนึ่ง
“เย่จิงเหยียน!”คุณครูพูดตะคอก
เด็กผู้ชายบุคลิกองอาจน่าเกรงขามนั่งตรงกลางของห้องเรียน “กระโดด” ลุกขึ้นยืน รีบหยิบสิ่งของยัดเข้าไปในลิ้นชักอย่างรวดเร็ว
“นายกำลังทำอะไร?”คุณครูซักถามอย่างเข้มงวด
สีหน้าของเย่จิงเหยียนทำเหมือนไม่ได้มีความผิด พูดด้วยเสียงเหมือนเด็กน้อยว่า“ผมไม่ได้ทำอะไรเลย”
“เมื่อกี้นายเอาอะไรใส่เข้าไปในลิ้นชักแล้ว?”คุณครูนำหนังสือวางลงบนโต๊ะ แล้วลงจากแท่นมา
“ไม่มีอะไรสักอย่างเลย”
“นายหยิบออกมาด้วยตัวเอง” คุณครูเดินไปถึงด้านหน้าเขา ยื่นมือ “หยิบสิ่งของออกมา”
เย่จิงเหยียนกระพริบตาปริบๆ ถามด้วยความรู้สึกน้อยใจว่า “ คุณครูครับ ไม่มีอะไรสักอย่างเลยจริงๆ คุรครูจะให้ผมหยิบอะไร”
คุณครูไม่เชื่อ เขาเห็นชัดเจนว่าเย่จิงเหยียนนำสิ่งของอะไรสักอย่างใส่เข้าไปในโต๊ะ
“เย่จิงเหยียน นายไม่ต้องคิดว่าพ่อของนายเป็นเศรษฐีใหญ่ของเมืองA ก็จะสามารถละเมิดกฎของโรงเรียนได้ แล้วอย่าลืมนายเป็นเพียงแค่นักเรียนคนหนึ่ง”
คำพูดอย่างนี้เย่จิงเหยียนได้ยินตั้งแต่เด็กจนโตมานับไม่ถ้วนแล้ว เขาก็มีภูมิคุ้มกันมานานแล้ว แต่ว่าเขาเป็นเด็กเชื่อฟัง ไม่ทำอะไรสักอย่างเลยจริงๆ เพียงแค่เล่นหุ่นยนต์เล็กๆที่บริษัทของพ่อเพิ่งจะผลิตออกมา
แน่นอน สิ่งนี้ไม่สามารถให้คุณครูเห็นได้โดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเรียกพ่อมาที่โรงเรียน เขาก็ซวยนะสิ
“คุณครูครับ ผมไม่ได้ทำอะไรสักอย่างเลยจริงๆ ไม่เช่นนั้นคุณครูก็มาค้นหาสักรอบสิ” เย่จิงเหยียนพูดแล้วจากนั้นก็เคลื่อนตัวออกจากที่นั่ง
คุณครูชะงักงันไปสักพักหนึ่ง สุดท้ายแล้ว…… จะค้นหาหรือไม่ค้นหา?
ถ้าค้นแล้วไม่มีสิ่งของจะทำอย่างไร?อย่างนั้นไม่ใช่จะน่าอับอายคนอื่นเหรอ? แต่ไม่ค้นหา ก็แสดงว่าตอนนี้ตัวเองใส่ร้าย เย่จิงเหยียน สีหน้ายิ้มออกมาอย่างเก็บไม่อยู่แล้ว
เขาก็ใจร้อนจะรับสอนห้องเรียนนี้ในเวลานั้น ก็มีคุณครูคนก่อนหน้าเคยบอกเขา ห้องเรียนนี้นักเรียนที่ดูแลยากที่สุดคือเย่ฉ่าวเหยียน เขาอยู่ในห้องเรียนทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง เพียงแค่ไม่กระทบต่อระเบียบในห้องเรียนก็พอแล้ว ก็อย่าไปให้เขาเข้าเรียนฟังคุณครูสอนเลย ถึงอย่างไรในทางกลับกันเขาก็สอบได้ที่หนึ่ง
ตอนนี้เรียบร้อยแล้ว เขาจะทำอย่าไรดี?
เย่จิงเหยียนมองสีหน้าคุณครูที่สับสน ก็ถามไปอีกหนึ่งรอบ “คุณครูครับ สรุปแล้วจะค้นไหม?”
คุณครูจ้องเขม็งมองเขา พูดด้วยน้ำเสียงประนีประนอม “ในเมื่อนายบอกว่าไม่มี อย่างนั้นครูก็จะเชื่อคำพูดนายหนึ่งครั้ง แก้โจทย์ปัญหาบนกระดานดำนั้นเถอะ”
“อ้อ ครับ” เย่จิงเหยียนเดินขึ้นไปบนแท่นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ถ้ารู้มาก่อนว่าคุณครูคนนี้หวาดกลัวอย่างนี้ ก็จะเปลี่ยนไม่ให้หุ่นยนต์หายไปแล้ว มาถึงตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าหายไปอยู่ที่ไหนแล้ว เขาอยากจะเล่นก็ไม่มีแล้ว
เพียงแค่มองหัวข้อตาเดียว เย่จิงเหยียนก็หยิบปากกาขึ้นมาเขียนเลย ไม่ถึงหนึ่งนาที คำตอบก็เขียนลงบนกระดานแล้ว เสียงชมเชยของเพื่อนร่วมห้องดังมาจากข้างล่าง
ถึงแม้ว่าอายุเก้าขวบ แต่ทว่าเขาเขียนตัวหนังสือสวยกว่าของคุณครู
“ไม่เลว”คุณครูพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “กลับไปนั่งที่เถอะ”
เลิกเรียน นักเรียนในชั้นเรียนก็ล้อมวงกัน พูดเสียงกระซิบเบาๆแล้วถามว่า “จิงเหยียน หุ่นยนต์ที่นายเล่นในห้องเรียนตัวนั้นล่ะ? ฉันขอดูหน่อย”
“ใช่ๆ ฉันมองเห็นไม่ชัดเจน”
“อืมๆ มองดูแล้วรู้สึกว่าเท่มากเลย หยิบออกมาให้พวกเราดูหน่อยนะ”
เย่จิงเหยียนทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย คุณครูมองไม่เห็นหุ่นย์เล็กๆนั้น แต่นักเรียนเหล่านั้นมองเห็น แล้วจะทำอย่างไรดี? แท้ที่จริงมันหยิบออกมาไม่ได้แล้วนะสิ
“อันนั้น……” เย่จิงเหยียนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“อันนั้นก็คือสิ่งประดิษฐ์ใหม่บริษัทพ่อฉัน ฉันจะให้พวกนายดูได้ตามใจชอบได้อย่างไรกัน? นี่เกี่ยวข้องถึงเรื่องความลับทางธุรกิจนะ”
“มองนิดหนึ่งเท่านั้นเอง พวกเราก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องสิ่งประดิษฐ์”
เย่จิงเหยียนจงใจใช้ตัวบังลิ้นชักไว้ “ไม่ได้ ถ้าพวกนายอยากเห็นจริงๆ อย่านั้นก็ควรซื้อหนึ่งตัวกลับไปเล่นที่บ้านของตัวเอง”
“เท่าไหร่” มีเพื่อนถาม
เย่จิงหยียนเอามือไว้ใต้คางครุ่นคิดแล้วคิดอีก ยื่นมือออกไปแล้วชูสามนิ้ว
“สามพันหยวน?”
เย่จิงเหยียนชำเลืองมองไปที่คนนั้น “สามพันหยวนนายไปซื้อของเล่นเถอะ”
“สามหมื่นหยวน?”
“ใช่”เย่จิงเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก็ไม่รู้ที่อื่นขายเท่าไหร่ พูดมั่วไปก่อนค่อยว่ากันอีกที
เพื่อนนักเรียนมองหน้ากันไปมา แสดงสีหน้าลำบากใจออกมา เด็กผู้ชายมีลักษณะผิวพรรณขาวใสพูดว่า “จิงเหยียน สามารถลดลงมาได้ไหม? สามหมื่นหยวนมันเยอะไปหน่อย””
เย่จิงเหยียนเงยหน้าเล็กน้อย “ไม่ได้ หนึ่งหยวนก็ไม่ขาดไม่ได้”
“อย่างนั้นนายให้ฉันดูอีกครั้งว่ามีประสิทธิภาพการทำงานอย่างไร”
แน่นอนว่าเย่จิงเหยียนไม่สามารถให้เขาดูได้ เพราะในลิ้นชักไม่มีอะไรเลย เขาพูดสีหน้าเรียบเฉย “ดูอีกไม่ได้แล้ว พวกนายอยากซื้อก็มาลงชื่อ ไม่อยากซื้อก็แยกย้ายกัน ตระกูลเย่ของพวกเรามีสิ่งของที่ใช้ไม่ดีเหรอ?”
เด็กชายรู้สึกลำบากใจ ท้ายที่สุดก็กัดฟันพูดว่า “อย่างนั้นฉันซื้อหนึ่งอัน พรุ่งนี้นายเอามา ฉันจะให้เงินนาย”
“โอเค”เย่จิงเหยียนมองดูโดยรอบ ถามคนอื่น ๆว่า“พวกนายเอาหรือไม่เอา?”
เด็กน้อยนักเรียนเห็นอย่างนั้น มีคนหนึ่งซื้อแล้ว คนอื่นๆก็รีบตามติดๆ แต่ว่าตามปกติแล้วเย่จิงเหยียน ในความคิดของเพื่อนร่วมชั้นเป็นคนที่มีอำนาจกับลักษณะเฉพาะตัวที่แยกไม่ออก
“ฉันก็เอาหนึ่งอัน……”
“อย่ารีบร้อนๆ มา ใครต้องการ เขียนชื่อของพวกนายลงบนกระดาษแผ่นนี้……”
ผู้ที่สามารถเล่าเรียนที่โรงเรียนนี้ผู้ดีนี้ได้ ก็เป็นวงศ์ตระกูลร่ำรวยทั้งหมดในเมืองA นำเงินสามหมื่นหยวนมาซื้อหุ่นยนต์ระถ้าพูดตามพวกคุณชายเหล่านี้ก็เหมือนกับนำเงินแต๊ะเอียออกมาใช้เพียงเล็กน้อย
เมื่อกระดาษเปล่าที่อยู่ในมือเย่จิงเหยียน ด้านบนเขียนแล้วสิบห้ารายชื่อ เป็นรายชื่อของครึ่งหนึ่งที่มีอยู่ในชั้นเรียนแล้ว
เย่จิงเหยียนมองรายชื่อบนกระดาษ ดีใจและทุกข์อย่างละครึ่ง ที่ดีใจก็คือเขาสามารถทำยอดสั่งจองได้ถึงสี่แสน
ห้าหมื่นหยวนแต่ที่กังวลใจก็คือถ้าเกิดตัวเองขายถูกจะทำอย่างไร?
นี้เป็นการทำลายธุรกิจของพ่อมากเกินไปแล้ว
ตอนบ่ายห้าโมงเย็น เสียงสัญญาณเลิกเรียนดังขึ้น เด็กนักเรียนพร้อมใจกันรีบวิ่งไปที่ประตูโรงเรียน
เพื่อนที่ปกติมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเย่จิงเหยียนจำนวนหนึ่งเดินยิ้มพูดคุยมาด้วยกัน สาวน้อยคนหนึ่งชั้นประถมศึกษาปีที่ห้าวิ่งมาหาเขา ดวงตากลมโตคู่นั้นสว่างสดใส
“เย่จิงเหยียน ฉันกับนายทางเดียวกัน ฉันสามารถนั่งรถของบ้านนายกลับบ้านได้ไหม?”
เพื่อนที่อยู่ด้านข้างพูด “โอ้โฮ”หยอกล้อขึ้นมา ผลักเย่จิงเหยียนอย่างแรง แต่เขาก็พูดเสียงนิ่งเฉยว่า“ไม่ได้”
“ไม่ควรใจแคบอย่างนี้ไหม ถึงอย่างไรก็เป็นทางผ่าน” แม้จะถูกทุกคนหยอกล้อ แต่สาวน้อยใจกล้ามาก ใบหน้าไม่แดงเลย
เย่จิงเหยียนยิ้มเล็กน้อยพูดว่า “วันนี้ไม่ผ่านเส้นทางนั้น เพราะฉันต้องไปบริษัทของพ่อ””
สาวน้อยมองเขายิ้มอย่างใจลอย เด็กผู้ชายคนหนึ่งข้างๆยิ้มอย่างหัวเราะพูดว่า “เพื่อน พวกเราผ่านทางนั้น เธอนั่งรถบ้านฉันสิ”
สาวน้อยจ้องเขม็งใส่ “ไม่ได้ต้องการ” หลังจากนั้นก็หมุนตัวแล้ววิ่งจากไป
เรื่องแบบนี้ เย่จิงเหยียนพบเจออยู่ทุกวัน แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยตอบตกลงสักครั้ง แน่นอนว่าถ้าเป็นอีกคน ถึงเธอจะไม่เอ่ยปากพูด เขาก็ยืนอยู่ด้านหลังเพื่อขอร้องเธอให้ขึ้นรถ ก็เหมือนกับตอนเด็กช่วงที่อยู่โรงเรียนอนุบาล
กลุ้มใจเหมือนกันกับเขา ยังมีเย่ชูวเสวียน้องสาวของเขาเอง
ถนนอีกฝั่งหนึ่งของโรงเรียน เย่ชูวเสวียถูกเด็กผู้ชายจำนวนหนึ่งล้อมรอบ ก็ไม่ได้ทำอะไร ยิ้มแล้วมองมาที่เธอ คล้ายกับกำลังวาดภาพที่วาดยาก
เย่ชูวเสวียสะพายกระเป๋าหนังสือไว้ด้านหลังเดินเอ้อระเหยอย่างช้าๆ โดยไม่ได้มีคนเหล่านั้นอยู่ในสายตา
เธอเดินไปหนึ่งก้าว เด็กผู้ชายเหล่านี้ก็ถอยหลังหนึ่งก้าว ในที่สุดก็มีคนอดทนไม่ได้ ยิ้มแล้วพูดว่า “เย่ชูวเสวีย เป็นเพื่อนกับฉันได้ไหม?”
เย่ชูวเสวียไม่ได้พูด เธอมีประสบการณ์เกี่ยวกับผู้ชายชวนคุยเช่นนี้ เธอไม่สนใจอย่างแน่นอน
ยังจำได้เพิ่งจะเข้าเรียนชั้นประถมเป็นวันแรก มีรุ่นพี่ผู้ชายจงใจเข้ามาคุยกับเธอ เธอก็โง่เขลาไม่รู้อะไร ก็ได้พูดชื่อของตัวเองออกไป หลังจากนั้นก็แย่แล้ว ภายในครึ่งวัน เหมือนกับผู้ชายทั้งโรงเรียนก็มาแวะเวียนมองเธอ ยิ่งใหญ่มากกว่าเย่จิงเหยียนที่เข้าเรียนในปีนั้น
หลังจากนั้น ก็มีผู้ชายมาพูดคุยหาเธออย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการเกิดเรื่องตามมา เธอไม่พูดสักประโยคเดียวกับพวกเขา เพราะการพูดคุยครั้งหนึ่ง เธอพูดอะไร พูดอย่างไร วันต่อมาก็กระจายไปทั่วโรงเรียน
“เย่ชูวเสวีย เธอทำไมไม่พูดเลย”
เย่ชูวเสวียไม่มีเปิดปากพูด แต่ทว่าด้านหลังมีคนเริ่มพูด “เพราะว่านายไม่หล่อ”
ทุกคนหันศีรษะกลับไปมอง ผู้ชายสองคนรูปร่างหน้าตาเหมือนกันมองพวกเขาด้วยสายตาเยือกเย็น ลักษณะนั้น ไม่ต่างกับจิงเหยียน จนกระทั่งกลุ่มผู้หญิงสรุปพูดคุยกันว่าเย่จิงเหยียนที่หล่อมาก ยังมีพี่น้องคู่แฝดที่หล่อสง่างามอีก
“พี่ชาย พวกคุณไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รอฉันสักคนเลย”เย่ชูวเสวียพูดด้วยเสียงบ่นพึมพำ รีบเดินไปข้างหน้า ดึงแขนทั้งสองคนแล้วเดินไปหน้าประตูโรงเรียนพร้อมกัน หลงเหลือไว้เพียงกลุ่มผู้ชายที่อยู่ในบรรยากาศร้อนอบอ้าว
สองพี่น้องแฝดไม่ใช่คนอื่น เป็นสัตว์ประหลาดตัวน้อยของตระกูลมู่นั่นเอง
พวกเขากับพี่น้องตระกูลเย่เรียนที่เดียวกัน และเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเย่ชูวเสวีย
เด็กผู้หญิงเติบโตสวยงาม วงศ์ตระกูลดี เรียนก็ดี อยู่ในโรงเรียนโดยปกติมีทั้งพันคนอิจฉาและหมื่นคนเกลียด อีกทั้งเย่ชูวเสวียถูกกลุ่มผู้หญิงส่วนมากอิจฉาริษยา นั่นก็เพราะว่ามีพี่ชายหล่อสามคนคอยปกป้องชั่วชีวิต ดังนั้นเย่ชูวเสวียก็ถูกพวกเด็กผู้หญิงสร้างความโดเดี่ยวขึ้นมาให้ ที่สามารถจะเข้ามาหาเธอด้วยตัวเองก็เพราะจะส่งจดหมายรักให้เย่จิงเหยียนกับแฝดทั้งสองคนนั้น
แน่นอน เย่ชูวเสวียเบื่อที่จะทำเรื่องเหล่านี้ พูดอย่างเย็นชาว่า “เอาไปให้ด้วยตัวเองนะ” ก็ได้ไล่ไปแล้ว
ถึงหน้าประตูโรงเรียน เย่จิงเหยียนมารอที่รถอยู่ก่อนแล้ว พร้อมสีหน้าที่หงุดหงิดไม่อดทนแม้แต่นิดเดียว “ทำไมเพิ่งจะออกมา?”
“หรูอี้ถูกคนหยุดรั้งไว้” พี่ชายมู่ยู่วฉีพูดน้ำเสียงจนปัญญา
เย่จิงเหยียนทอดถอนหายใจ เปิดประตูรถแล้วพูด “ขึ้นรถเถอะ”
เซียวอวี้หลินยืดคอมองไปรอบๆรถหรูที่จอดเรียงกัน “พ่อฉันไม่มา?”
จางเห่อโค้งเอวลง ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “วันนี้ประธานมู่กับคุณผู้หญิงมู่ออกไปท่องเที่ยวแล้ว คุณชายสองท่านพักที่ตระกูลเย่ชั่วคราวก่อน”
“เฮ้ ปล่อยพวกเราทิ้งไว้แล้วไปเที่ยวเล่นกันเอง สรุปแล้วใช่หรือไม่ใช่ลูกแท้ๆ” เซียวอวี้หลินพูดบ่นพึมพำ
ตั้งแต่สองแฝดเริ่มเข้าเรียนชั้นประถม มู่เทียนเย่ก็ชอบพาภรรยาไปเที่ยวเล่น ถึงอย่างไรตระกูลเย่ก็สามารถดูแลพวกเขาได้”
บนรถ เย่จิงเหยียนก็นึกราคาของหุ่นยนต์ตัวเล็กอยู่ ลองถามจางเห่อว่า “คุณอาจาง เมื่อวานพ่อผมให้หุ่นยนต์อันนั้นมาราคาเท่าไหร่เหรอ?”
“ห้าหมื่นหยวน”
“ห้ะ? ทำไมแพงอย่างนั้น?”เย่จิงเหยียนประหลาดใจ ใจกระตุกวูบ จบแล้วๆ ครั้งนี้น่าเวทนาขาดทุนแล้ว
จางเห่อมองเขาด้วยความสงสัย “ทำไมเหรอครับ?”
เย่จิงเหยียนรีบเก็บอาการ “เออ อันนั้น วันนี้ผมพูดกับเพื่อนร่วมห้องเรื่องนี้ พวกเขาอยากซื้อ ให้ผมมาถามราคา”
“ห้าหมื่นหยวนเป็นราคามิตรภาพ ในตลาดตอนนี้ขายหกหมื่นแปดพันหยวน”
เย่จิงเหยียนเงียบโดยสิ้นเชิง เขายังคิดว่าจะสามารถทำกำไรได้มากขึ้น คิดไม่ถึงว่าจะขาดทุนขนาดนี้
จางเห่อขับรถแล้วมองเขาแวบหนึ่ง ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายน้อย ไม่ใช่ว่าคุณบอกราคาเพื่อนของคุณแล้วเหรอ”
“ไม่ครับๆ……” เย่จิงเหยียนโต้แย้งทันที เขาจะทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้ได้อย่างไร?
จางเห่อยิ้มและไม่พูด คุณชายน้อยที่ยังรักษาหน้าตาไม่เปลี่ยนเลย
เด็กน้อยสามคนด้านหลังกำลังเสียงดังคึกคัก เย่จิงเหยียนมองนอกหน้าต่างอย่างหดหู่ใจ วางแผนอยู่ในใจมืดสลัวจะนำเงินมาจากไหนมาชดเชยส่วนที่ขาดทุนครั้งนี้
ในเวลานี้ เขามองเห็นซอยที่อยู่บนถนน นักเรียนกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมรอบสาวน้อยอยู่ คล้ายกับกำลังทำให้เธอหวาดกลัวและในมือเธอเหมือนกำลังกอดหุ่นยนต์ของเขา
“หยุดรถๆ” เย่จิงเหยียนรีบตะโกนบอก
ทันใดนั้นจางเห่อก็เหยียบเบรค รถถูกหยุดรถข้างถนนทันที แล้วถามเขาว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เย่จิงเหยียนปลดเข็มขัดนิรภัยออก พูดว่า “ผมเห็นคนรู้จักคนหนึ่ง จะลงไปถามธุระสักหน่อย รอผมห้านาที ทุกคนไม่ต้องลงจากรถ”
“อย่างนั้นคุณระวังตัวด้วย” จางเห่อกำชับ
“เข้าใจแล้วๆ”เย่จิงเหยียนลงไปแล้วปิดประตูรถ วิ่งแจ้นเข้าไปในซอย
จากระยะไกลก็ได้ยินเสียงผู้ชายพูดด้วยน้ำเสียงหยาบโลนว่า “น้องสาว หุ่นยนต์ในมือนั้นเอามาให้ฉัน ไม่เช่นนั้นอย่ามาหาว่าฉันไม่เกรงใจ”
“นี่เป็นสิ่งของของฉัน ทำไมฉันต้องให้นายด้วย?”
“ดูจากการแต่งตัวของเธอ เธอซื้อหุ่นย์ราคาแพงนี้ได้อย่างนั้นเหรอ?ฉันดูเหมือนว่าเธอจะขโมยมากจากที่ไหนแล้วสินะ”
สาวน้อยรีบกอดหุ่นยนต์ในมือไว้แน่น มองแล้วน้ำตาไหลพูดว่า “ฉันไม่ได้ขโมย นี่เป็นของฉัน””
เด็กผู้ชายก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวเพื่อแย่งชิงหุ่นยนต์มา “ยังกล้าโกหก รีบนำมันมาให้ฉัน ไม่อย่างนั้นฉันก็จะพาขโมยอย่างเธอไปส่งให้ตำรวจ”
“อา——นายไม่ต้องมาแตะต้องตัวฉัน ช่วยด้วยมีคนปล้น——” เด็กผู้หญิงร้องเสียงแหบแห้งดังมาก
“โอ้โฮ สาวน้อยร้ายกาจมาก” เด็กผู้ชายที่ไม่ได้ลงมือ พูดกับเด็กผู้ชายจำนวนหนึ่งที่ยืนอยู่ว่า “พวกนายยังยืนบื้ออะไรอยู่ ยังไม่รีบลงมืออีก”
พูดจบ เด็กผู้ชายจำนวนหนึ่งก็ลงมือแย่งชิงหุ่นยนต์มาจากมือสาวน้อย
สาวน้อยใช้แรงปกป้องหุ่นยนต์ อีกด้านก็ร้องเสียงดัง“มาดูเร็ว มีคนปล้นแล้ว”
เย่จิงเหยียนมองอยู่สองนาที เห็นหุ่นยนต์ที่กำลังจะถูกแย่งชิงไป ร้องตะโกนเสียงเย็นชาว่า“หยุด”