วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่289 กำลังรนหาที่ตายหรอ?
“ไปเถอะไปเถอะ มีอะไรก็โทรหาพ่อ”
“ลาก่อน”
เย่จิงเหยียนเดินไปที่จุดตรวจความปลอดภัยอย่างรวดเร็ว หลังจากตรวจสอบสัมภาระทั้งหมดแล้ว เขาก็โบกมือให้พ่อ ในขณะนั้นเขาก็เห็นพ่อน้ำตาคลอ
ไม่กล้าที่จะอยู่ต่อนาน เย่จิงเหยียนเดินไปทางประตูขึ้นเครื่อง โดยไม่หันหลังกลับมามองเพราะกลัวว่าพ่อจะเห็นน้ำตาของเขา
มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโลก อาจเป็นเรื่องยากสำหรับนักเรียนส่วนใหญ่ แต่สำหรับเย่จิงเหยียนที่เรียนพิเศษมาอย่างดี มันเหมาะสมแล้ว
ในเวลาว่างนอกเหนือจากการเข้าห้องปฏิบัติการฟิสิกส์แล้ว เขายังไปที่ห้องทดลองและเข้าร่วมโครงการต่างๆ แถมยังเข้าร่วมโครงงานที่สามารถทำเงินได้ด้วย เขากำลังเรียนรู้แนวคิดทางธุรกิจจากต่างประเทศและความเฉียบแหลมทางธุรกิจ
แน่นอนว่าการปรากฏตัวของชายชาวตะวันออก หล่อเหลาด้วยรูปลักษณ์ที่น่าทึ่ง ดึงดูดสายตาของสาวงามต่างชาติจำนวนมาก มีสาวสวยมากมายมาเคาะประตูของเขาในตอนกลางคืน แต่เขาก็ปฏิเสธอย่างเย็นชา
ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรหลุดออกไปหรือเปล่า ช่วงนี้ไม่มีสาวงามมาหาเขาเลย มาแต่พวกเพื่อนผู้ชาย เย่จิงเหยียนเปิดประตูห้องพร้อมกับถอนหายใจ “เฮ้อ” ที่หดหู่
ในเวลาสามปี เขาเรียนรู้ความรู้ทั้งหมดของหลักสูตรสี่ปี และยังได้ฐานะตัวแทนของผู้สำเร็จการศึกษาที่โดดเด่นในปีนั้น
เพื่อให้รางวัลตัวเอง เมื่อสำเร็จการศึกษาเย่จิงเหยียนใช้เงินทั้งหมดที่ได้รับระหว่างการศึกษาไปเที่ยว ไม่ใช่ยุโรปและไม่ใช่อเมริกา แต่เป็นแอฟริกา
“แม่ครับ ผมจะดูแลตัวเอง ไม่ให้ถูกเสือและสิงโตกิน จะกลับมาหาแม่แบบร่างกายครบสามสิบสองแน่นอน” เย่จิงเหยียนสัญญาซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนขึ้นเครื่องบิน
โทรศัพท์อยู่ที่เย่ชวูเสวีย “พี่ชาย พี่ทำเกินไปละนะ ไปเที่ยวแต่ไม่ยอมพาฉันไปด้วย”
เย่จิงเหยียนพูดด้วยรอยยิ้มอย่างเอ็นดู“ พาไปไม่ได้หรอก น้องสวยเกินไป ถ้าหัวหน้าเผ่าคนไหนเห็นแล้วชอบ เขาจะจับเธอไว้ทำเป็นภรรยาเลยนะ ถ้าเป็นแบบนั้นพ่อแม่เราก็จะไม่มีลูกสาวแล้ว”
“หึ! ต่อให้พี่จะชมฉันสวยก็ไม่มีประโยชน์” เย่ชวูเสวียพูดอย่างโกรธๆ ” พี่รอดูเลย ถ้าพี่กลับมาฉันไม่ปล่อยพี่ไว้แน่”
“ได้สิ ถ้างั้นก็รอพี่กลับไปแล้วคิดบัญชี เครื่องบินจะออกแล้ว พี่วางก่อนนะ”
หาที่นั่งของตัวเองเจอวางกระเป๋า เย่จิงเหยียนพร้อมที่จะนอนแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเช้า ข้างนอกฟ้ายังมืดอยู่ เพื่อที่จะไปให้ทัน เที่ยวบินนี้เขาตื่นตั้งแต่ตีสี่
เพียงแค่หลับตาลง ผู้หญิงตัวสูงผมสั้นและสายตาไม่แยแสเดินผ่านเขาไปและนั่งที่ด้านหลังของเครื่อง
เขาตื่นขึ้นมาทันที เครื่องบินยังคงอยู่ในชั้นบรรยากาศของท้องฟ้า เป็นสีฟ้าและมีกลุ่มเมฆก้อนใหญ่อยู่ด้านนอกห้องโดยสาร เย่จิงเหยียนดูแล้วสดชื่น
“คุณคะ คุณต้องการจะรับเครื่องดื่มอะไรไหม?” พนักงานต้อนรับถามด้วยเสียงน้ำเสียงนุ่มนวลขณะที่เข็นรถเข็นมา
“ขอน้ำเปล่า ขอบคุณ”
“ได้ค่ะ”
ไม่ว่าทิวทัศน์จะสวยงามแค่ไหน มองนานไปก็ทำให้เบื่อ เย่จิงเหยียนที่มึนงงก็หลับไปอีกครั้ง
สิบชั่วโมงต่อมา เครื่องบินได้ลงจอดที่แผ่นดินแอฟริกา
เย่จิงเหยียนลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าเดินทางและเดินออกจากประตูห้องโดยสาร เขาก็ไม่เห็นหญิงสาวที่นั่งเงียบๆอยู่แถวหลังแล้ว
เมื่อเขามาถึงโรงแรมที่จองไว้ เย่จิงเหยียนก็อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อจะออกไปหาอาหารทาน อาหารบนเครื่องบินมันไม่อร่อย
ขณะนั่งรออาหารอยู่หน้าร้านอาหาร มีรถจี๊ปของทหารในท้องถิ่นขับผ่านเขา ข้างในรถมีผู้ชายสามคนกับผู้หญิงหนึ่งคนนั่งอยู่
ผู้หญิงคนนี้สวมชุดทหารลายพรางพร้อมถุงน่องสีดำ สถานการณ์ดูไม่ปกติ เย่จิงเหยียนมองเห็นเธอได้ในพริบตา ท่าทางของเธอดูเย็นชามากและเธอจ้องมองไปที่ถนนข้างหน้า ในตัวเธอเย่จิงเหยียนรู้สึกได้ถึงการฆาตกรรมและความมุ่งมั่นที่โหดเหี้ยม
เจ้าของร้านนำอาหารมาให้ เย่จิงเหยียนชี้ไปที่รถทหารในระยะไกล ถามเจ้าของร้านด้วยภาษาท้องถิ่นว่า “คนพวกนั้นเป็นใคร?”
เจ้าของร้านมองอยู่นาน “อ๋อ นั่นคือกองทหารของสหประชาชาติที่ประจำการเพื่อรักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อย”
“กฎหมายที่นี่มันแย่ขนาดนั้นเลยหรอ?”
เจ้าของร้านไม่รู้จะตอบยังไง ยิ้มเจื่อนและพูดว่า “ ฮิฮิฮิ ก็ยังดีกว่าที่อื่นมาก มีกองทัพอยู่ที่นี่ ถ้าเป็นพื้นที่อื่นก็ไม่แน่ใจ คุณเป็นนักท่องเที่ยวต้องระมัดระวังในการออกไปข้างนอก ทางที่ดีที่สุดคืออย่าเดินทางไปไหนคนเดียว มันถูกปล้นได้ง่าย ”
“ขอบคุณนะ” เย่จิงเหยียนนึกถึงผู้หญิงคนนั้น ในใจรู้สึกไม่สงบ โดยสงสัยว่าเธอเป็นคนจีนหรือเปล่า ดูเหมือนเธออายุประมาณยี่สิบกว่าๆ แต่เป็นทหารรักษาความสงบแล้ว เก่งจริงๆ
เอ้ย เดี๋ยวก่อนเดี๋ยวก่อน ทำไมถึงต้องนึกถึงผู้หญิงคนนั้นด้วย?
หลังอาหารค่ำ เขาเช่ารถจี๊ปจากพ่อค้ารถในพื้นที่ เย่จิงเหยียนออกเดินทางตามลำพัง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นอกจากอยู่กับญาติแล้วเขามักจะอยู่ตัวคนเดียว
ในเวลานี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ในทุ่งหญ้าแอฟริกาทุกอย่างฟื้นขึ้นมา หญ้าก็เติบโตและมีแมลงโบยบิน นอกเมืองมีสัตว์กินพืชทุกชนิดอยู่ทั่วไป เย่จิงเหยียนชอบลมหายใจของธรรมชาติ เขาจอดรถไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่และกระโดดขึ้นไปบนหลังคาเพื่อชมทิวทัศน์
ท้องฟ้ามืดเป็นพิเศษ เป็นสีฟ้าแจ่มใส ฝูงวัวและแกะกำลังกินอยู่บนทุ่งหญ้า บางครั้งก็เห็นกระต่ายสองสามตัวกระโดดไปมา มองไปรอบๆ จากนั้นก็เข้าไปในทุ่งหญ้า
ไม่รู้นกนกสายพันธ์อะไรบินวนอยู่บนหัวเขา บินวนไปสองสามรอบ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ขยับ พวกมันก็บินลงมาเกาะบนไหล่ของเขาอย่างกล้าหาญ
เย่จิงเหยียนหัวเราะอย่างเงียบๆ รู้สึกราวกับว่าเขาผสมผสานเข้ากับมันและกลายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
ทันใดนั้น ฝูงวัวที่อยู่ในระยะไกลก็วิ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พื้นดินก็สั่นไหว เย่จิงเหยียนรีบหยิบกล้องโทรทรรศน์ในกระเป๋าของเขาออกมาและมองเข้าไปในระยะไกล
ปรากฏว่าเป็นเสือดุร้ายกำลังไล่ตามพวกมัน มันวิ่งไปทางซ้ายและขวาแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว และลูกวัวตัวนึงวิ่งไม่ทันตกอยู่ข้างหลัง
เย่จิงเหยียนตกใจขึ้นมาทันที เมื่อเห็นเสือก็วิ่งเข้าไปกัดลูกวัว ลูกวัวล้มลงกับพื้น ก็เห็นลูกวัวคร่ำครวญและดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา เย่จิงเหยียนรู้สึกเห็นใจมาก แต่เขาจะไม่ทำอะไรเพราะนี่เป็นกฎของธรรมชาติ ผู้ที่อ่อนแอกว่าจะเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง
เดี๋ยวก่อน ทำไมในแอฟริกาถึงมีเสือ?
หลังจากปรับความยาวโฟกัสของกล้องโทรทรรศน์แล้ว เย่จิงเหยียนสามารถมองเห็นได้ชัดขึ้น นี่ไม่ใช่เสือ มันเป็นเสือดาว สีตัวของมันคล้ายกันมาก แถมยังมีหญ้าปกคลุม ทำให้เข้าใจผิดกันได้
เย่จิงเหยียนรู้สึกโชคดีมาก วันแรกที่มาถึงแอฟริกาก็ได้เห็นอะไรแบบนี้
ดวงอาทิตย์ค่อยๆลาดไปทางทิศตะวันตก เย่จิงเหยียนนอนอยู่บนหลังคารถ เสียงลมหวีดหวิวในหูของเขา กลิ่นของหญ้าหอมโชยเข้ามาในจมูกตลอดเวลา ยี่สิบสิบมานี้ เขาไม่เคยสัมผัสบรรยากาศสบายๆแบบนี้เลย แค่มองไปที่ท้องฟ้าสีครามและเมฆสีขาวปล่อยให้เวลาไหลผ่าน
หรือเพราะนั่งเครื่องบินนานเกินไป เย่จิงเหยียนก็หลับไปสักพักก็ฝันขึ้นมา
ในความฝัน เด็กหญิงตัวเล็กๆยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดพร้อมพูดว่า เย่จิงเหยียนเป็นของฉัน ห้ามใครมารังแกเขา
“ปั๊ง-” เย่จิงเหยียนตื่นขึ้นด้วยเสียงกระสุนปืน
เขาปีนขึ้นจากหลังคารถอย่างรวดเร็ว แทบหายใจไม่ออกเมื่อพบว่ารถของเขาถูกล้อมรอบด้วยสิงโตสามตัว และสัตว์ร้ายทั้งสามก็จ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาโหดเหี้ยม
แผ่นหลังของเย่จิงเหยียนเย็นเฉียบ เขาก็ประมาทจนหลับไปในทุ่งหญ้าในแอฟริกาที่เต็มไปด้วยอันตราย
“ปั๊ง-” เสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง
สิงโตทั้งสามคำรามอย่างรำคาญ หนึ่งในนั้นมองกลับไปที่รถทหารที่อยู่ไม่ไกล คำรามเบาๆและหันหลังช้าๆแล้วพาอีกสองตัวจากไป ดูเหมือนมันจะอารมณ์เสียมาก มันหันกลับมาและมองอย่างไม่เต็มใจ เกือบจะมีเหยื่อให้กินแล้ว
หลังจากที่เสือตัวใหญ่ทั้งสามหายไปในหญ้าสูง เย่จิงเหยียนก็มีเวลาดูรถทหารที่อยู่ห่างออกไปสิบเมตร
บังเอิญจัง
คนในรถคือผู้หญิงที่เขาเจอเมื่อตอนเย็น สวมชุดลายพรางถือปืนไว้ในมือ โดยถือปากกระบอกปืนหันขึ้นฟ้า เมื่อกี้เธอเป็นคนยิงปืนทั้งสองนัด
เธอสวมแว่นกันแดด ใบหน้าคางของเธอใหญ่มาก เย่จิงเหยียนจึงเห็นเธอไม่แน่ใจลักษณะของเธอ
“คนจีน? คนญี่ปุ่น? หรือเกาหลีกันแน่? ” หญิงสาวถามเขาด้วยภาษาอังกฤษอย่างเย็นชา
เย่จิงเหยียนยืนอยู่บนรถจี๊ปสวมแว่นกันแดดและตอบเป็นภาษาจีนว่า “ฉันเป็นคนจีน”
ผู้หญิงคนนั้นจ้องมองข้ามใบหน้าของเขาและเธอยังพูดเป็นภาษาจีนว่า “คุณรู้หรือเปล่า เมื่อกี้คุณเกือบไปอยู่ในท้องของสิงโตแล้ว?”
เย่จิงเหยียนรู้สึกผิดเล็กน้อย ” โทษที เมื่อกี้ฉันเผลอหลับไป”
“ คุณไม่ต้องมาขอโทษฉัน ถ้าง่วงก็ไปนอนที่ห้องสิ มานอนที่ทุ่งหญ้ารนหาที่ตายหรือไง” น้ำเสียงของหญิงสาวเย็นชาอย่างมากพร้อมกับเยาะเย้ยเล็กน้อย
เย่จิงเหยียนถูกดุ แต่ก็ไม่โกรธ อย่างไรก็ตามผู้หญิงคนนี้เป็นผู้ช่วยชีวิตของเขา “ขอบคุณนะ ครั้งหน้าฉันจะระวัง”
ผู้หญิงคนนั้นหันหน้าไปตบคนขับที่ไหล่ แล้วพูดเป็นภาษาท้องถิ่นว่า ” ออกรถ ”
เย่จิงเหยียนรีบตะโกนออกมา ” เดี๋ยวก่อน ”
หญิงสาวหันมามองเขาผ่านแว่นกันแดด ราวกับรอให้เขาพูด
เย่จิงเหยียนกัดริมฝีปาก ที่จริงเขาไม่รู้จะพูดอะไร แต่เขาตะโกนออกมาก็แค่อยากคุยด้วย
“ เออคือ……คุณชื่ออะไร?” เย่จิงเหยียนลังเลอยู่นานก่อนที่จะถามออกมา“ อย่าเข้าใจผิด ฉันแค่อยากจะขอบคุณ”
ผู้หญิงคุ้นเคยกับการสนทนาแบบนี้กับลูกคนรวย พวกเขายิ้มมุมปากก็เย้ยหยัน “ไม่ต้องขอบคุณ แค่แวะผ่านมาพอดี พวกเราไปกันเถอะ ”
ชายในชุดลายพรางสตาร์ทรถและผู้หญิงก็ไม่ได้มองไปที่เย่จิงเหยียนอีกเลย และค่อยๆหายไปจากทุ่งหญ้าที่งดงาม
เย่จิงเหยียนถอดแว่นกันแดดออก และจ้องมองไปที่ทิศทางของเธอ ผ่านไปสักครู่ เขาก็ได้สติกลับมา
นี่ตัวเองเป็นอะไรไปเนี่ย? ถึงมาเหม่อลอยกับผู้หญิงที่เพิ่งเคยเจอสองครั้ง
บ้าไปแล้ว
สวมแว่นกันแดด แล้วกระโดดลงไปบนที่นั่งคนขับ เย่จิงเหยียนขับรถกลับในช่วงพระอาทิตย์ตก
ไม่กี่วันที่ผ่านมา เย่จิงเหยียนได้เห็นสัตว์ป่าที่สวยงามและดุร้ายกำลังข้ามแม่น้ำในเขตอนุรักษ์ธรรมชาติของเคนยา ชมความเร็วและพลังของสิงโต ชมนกฟลามิงโกหลายล้านตัวที่เต้นรำในทะเลสาบบ็อกเลีย ยีราฟและช้างกำลังเดินอย่างสง่างามในยามพระอาทิตย์ตก .. .
การที่เย่จิงเหยียนปล่อยใจไปกับธรรมชาติต่างๆที่เกิดขึ้นกับเขา ความรู้สึกสบายใจแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน
หลังจากไปเยือนเคนยาแล้ว เย่จิงเหยียนกำลังจะไปแทนซาเนียในวันพรุ่งนี้ เขาอยากเห็นท้องฟ้าที่เขาเล่าต่อกันมาว่ามันสวยแค่ไหนกัน
เพราะเขาต้องขึ้นรถตั้งแต่เช้าในวันพรุ่งนี้ เย่จิงเหยียนจึงเข้านอนหลังจากที่เขารายงานให้ครอบครัวของเขาทราบว่าเขาปลอดภัย
จนกระทั่งกลางดึก เสียงกระสุนปืนดังลั่นทำลายค่ำคืนที่แสนสงบ
เย่จิงเหยียนพลิกตัวจากเตียง และหยิบปืนพกออกมาจากกระเป๋าเดินทาง ในขณะเดียวกันเสียงเคาะประตูดังขึ้น เสียงของเจ้าของโรงแรมก็ดังมา
“ คุณผู้ชาย? คุณตื่นแล้วหรอ?”
เย่จิงเหยียนซ่อนปืนไว้ที่เอวของเขา เดินลงไปเท้าเปล่าและเปิดประตู “เกิดอะไรขึ้นหรอ?”
“ โจรกลุ่มนั้นเข้ามาอีกแล้ว คุณรีบหนีไปเร็ว พวกมันกำลังจะเข้ามาปล้น” เจ้าของโรมแรมพูดอย่างกังวล
เย่จิงเหยียนงงงวย“โจร? แข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรอ?”
“โอ้ย มันเป็นกองกำลังติดอาวุธ พวกมันน่ากลัวมาก โรงแรมของฉันถูกพวกมันปล้นหลายครั้งแล้ว รีบหนีไปก่อนที่พวกมันจะมาเถอะ” เจ้าของโรงแรมพูดจบ “ปั๊ง” กระจกหน้าต่างก็ถูกยิงแตก
“พระเจ้าช่วย พวกมันกำลังจะบุกมาแล้ว คุณรีบหนีเถอะ ฉันดูแลคุณต่อไม่ได้แล้ว”
เย่จิงเหยียนยกำลังจะถามว่ามีที่ไหนปลอดภัย แต่เจ้าของโรงแรมวิ่งหนีไปแล้ว
ไม่มีทางเลือก เย่จิงเหยียนทำได้แค่เก็บข้าวของและจากไป
เนื่องจากการรุกรานของกลุ่มก่อการร้ายทำให้ถนนที่เงียบสงบ เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวที่มาที่นี่เพื่อที่ยวและพักผ่อน เป้าหมายของกลุ่มก่อการร้าย ง่ายๆคือมาปล้นคนที่มาที่นี่ เพราะส่วนมากคนที่มาคือคนที่ร่ำรวย
เย่จิงเหยียนไม่รู้ว่าจะซ่อนตัวที่ไหน ในขณะที่ฝูงชนวิ่งไปที่ถนน เสียงปืนดังเข้ามาใกล้มากขึ้น บางคนตกใจกลัวและกรีดร้อง
หลังจากวิ่งข้ามถนน รถตำรวจหลายคันก็ขับออกมาจากฝั่งตรงข้าม โดยมีป้ายของสถานีตำรวจท้องถิ่นพิมพ์อยู่ เย่จิงเหยียนหยุดช้าๆและดูรถที่แล่นผ่านไป
เขารู้สึกว่าคงไม่ต้องหนีแล้วมั้ง แถมเขายังรู้สึกอีกว่าการวิ่งหนีแบบนี้มัน……ว่าด้วยพรสวรรค์ของเขาแล้วมันน่าอายมาก
เมื่อนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนเดินผ่านเขาไปเขา ตบไหล่เขาแล้วพูดว่า ” ยังไม่รีบหนีอีกหรอ? พวกมันกำลังจะเข้ามาแล้ว”
ผู้ชายคนที่ทักเย่จิงเหยียนคือคนที่เพิ่งเจอกันเมื่อสองวันก่อน เพราะแผนการเดินทางเหมือนกัน แถมยังเป็นคนจีน จึงไปด้วยกันได้
เย่จิงเหยียน ชี้ไปที่กองทัพที่ผ่านมาและพูดว่า “พวกเขาไม่ได้มายับยั้งหรอกหรอ?”
“ขี้หมา พวกตำรวจพวกนี้มันแค่เสแสร้งทำตามหน้าที่ อาวุธของพวกมันสู้พวกก่อการร้ายไม่ได้หรอก”
“คุณรู้ได้ยังไง?”
ชายหนุ่มจับแขนของเขาและวิ่งไปข้างหน้าพร้อมกับพูดว่า “ฉันเป็นทหาร ก่อนที่ฉันจะมาที่นี่ ฉันตรวจสอบความสงบเรียบร้อยของประชาชนในท้องถิ่นและเปรียบเทียบกำลังของพวกมันแล้ว”
ปรากฏว่าทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ รถตำรวจที่เพิ่งผ่านมาก็ถอยกลับไป
“ดูสิ เป็นอย่างที่ฉันพูดไหมล่ะ? ช่วยตัวเองน่าจะรอดกว่านะ”
เย่จิงเหยียนปล่อยมือออกอย่างใจเย็นและวิ่งไปสองก้าว เนื่องจากมีคนจำนวนมากเกินไปและในไม่ช้าคนใจดีก็หายไปจากสายตา
ข้างถนนเป็นร้านกาแฟที่ดูดี ประตูปิดแน่น ด้านในมืดสนิท
เย่จิงเหยียนเดินไปที่ประตูร้านกาแฟและมองไปรอบๆ ไม่มีใครสนใจ ในพริบตาเดียวเขาก็หายเข้าไปในร้านกาแฟ
ด้วยสายตาที่ดี เย่จิงเหยียนพบบาร์ของร้านกาแฟ รินน้ำเย็นให้ตัวเองหนึ่งแก้ว นั่งบนเก้าอี้ที่มุมหนึ่ง ยกขาทั้งสองข้างขึ้นดื่มน้ำและดูสถานการณ์ข้างนอกไปด้วย
มีผู้คนจำนวนน้อยลงที่หลบหนีบนถนน แต่เสียงปืนและการทุบตีดังขึ้นเรื่อยๆ และร้องไห้และกรีดร้อง ยังมีคนร้องขอความเมตตา
สิบนาทีต่อมา มีผู้ชายสองสามคนที่ถือปืนปรากฏตัวในสายตาของเขา พวกเขาหัวเราะและทุบประตูซุปเปอร์มาร์เก็ตตรงข้ามร้านกาแฟ รีบเข้าไปคว้าของมีค่า จากนั้นทุบทำร้ายของอย่างไม่สนใจ
เจ้าของโรงแรมพูดถูก โจรพวกนี้แข็งแกร่งมาก
จากนั้น กลุ่มก่อการร้ายก็ปรากฏตัวขึ้นเรื่อยๆ คนนึงชี้ปืนไปที่ป้ายร้านกาแฟและดูเหมือนจะถามเพื่อนว่าจะเข้าไปไหม
ทั้งสองคนจ้องตากัน พยักหน้าอย่างตื่นเต้น หยิบปืนกลขึ้นมายิงทำลายประตูร้านกาแฟ ด้วยการยิงรัวๆ แล้วเดินเข้าไปอย่างโลดโผน
เย่จิงเหยียนซ่อนตัวอยู่ในความมืดราวกับสิงโตที่พร้อมจะออกไปเหยียดกรงเล็บของเขาได้ทุกเมื่อ
ในขณะเดียวกัน มีเสียงปืนดังขึ้นและฝ่ายก่อการร้ายบนถนนก็ล่าถอยอย่างรวดเร็ว ขณะที่ยิงทั้งสามคนที่เข้าไปในร้านกาแฟรีบซ่อนตัวอยู่ใต้หน้าต่าง ดูเหมือนรอให้มีโอกาสจะรีบออกไปช่วย
ในไม่ช้า รถจี๊ปของทหารหลายคันก็ปรากฏตัวขึ้นที่ถนน โดยบรรทุกกองทหารขององค์การสหประชาชาติมาช่วย
เย่จิงเหยียนนึกขึ้นได้ทันที เธอจะอยู่ในนั้นด้วยไหมนะ?
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้มีคนเพียงไม่กี่คนที่กระโดดลงจากรถคันสุดท้าย ถือปืนเพื่อค้นหากลุ่มก่อการร้าย ทิ้งคนนึงไว้รูปร่างผอมเล็ก ท่าทางก็เชื่องช้า ตาของเย่จิงเหยียนกระตุกทันที ดูเหมือนจะเป็นเธอ
อย่ามาทางนี้ อย่ามาทางนี้……
เย่จิงเหยียนภาวนาอย่างเงียบๆในใจ เขาไม่อยากให้เธอได้รับบาดเจ็บ
อย่างไรก็ตามความเป็นจริงมักจะต่อต้านเสมอ ท่าทางของผู้หญิงกำลังค้นหาเป้าหมายอย่างกระตือรือร้น ในขณะเดียวกันก็มีปากกระบอกปืนเล็งไว้ที่หน้าต่างและเป้าหมายก็คือเธอ
เย่จิงเหยียนผู้ซึ่งมองเห็นทุกสิ่งได้อย่างกว้างไกลทำให้หัวใจของเขาเต้นรัว
มีการเคลื่อนไหวอยู่ข้างหลัง เมื่อหญิงสาวหันกลับมา ผู้ก่อเหตุในร้านกาแฟเหนี่ยวไก สาวเท่คุกเข่าเพื่อหลบกระสุน จากนั้นเสียงปืนดังขึ้นผู้ก่อการร้ายในร้านกาแฟก็ล้มลง
เมื่อเธอลุกขึ้นจากพื้น ผู้หญิงคนนั้นก็เดินเข้าไปในร้านกาแฟอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นก็มีมีดที่ซ่อนอยู่หลังประตูแทงออกมา เขาก็ถูกผู้หญิงคนนั้นเตะลงกับพื้น จากนั้นเธอดึงมีดออกมาจากกางเกง และแทงเข้าไปกลางใจของคู่ต่อสู้อย่างเลือดเย็น
การกระทำนั้นดุเดือดและเฉียบคม ในเวลาเพียงไม่กี่นาที เธอก็จัดการศัตรูได้สามคน
เธอเช็ดมีดที่เลอะเลือดบนเสื้อผ้าของศัตรู กำลังจะจากไป ทันใดนั้นเธอก็ยกปืนขึ้นและเล็งไปที่มุม
“ออกมา!” ผู้หญิงคนนั้นตะโกนเป็นภาษาอังกฤษ
เย่จิงเหยียนยกมือขึ้นและพูดเป็นภาษาจีนว่า “ฉันเอง”
ผู้หญิงคนนั้นได้ยินเสียงของเขา ขมวดคิ้วแต่ไม่ปล่อยปืน“คุณมาทำอะไรที่นี่?”
เย่จิงเหยียนออกมาจากมุมห้องและพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ฉันมาซ่อนตัวที่นี่ แต่ไม่ได้คาดคิดว่าคนเหล่านี้จะบุกเข้ามา ก่อนที่พวกมันจะเจอฉัน พวกคุณก็มาพอดี”
ผู้หญิงคนนั้นเห็นว่ายังมีกระเป๋าเดินทางอยู่ที่เท้าของเขา เก็บปืนไว้ที่เอวและพูดอย่างเย็นชาว่า “มีสถานีตำรวจอยู่ทางตะวันออกของเมืองนี้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น คุณไปซ่อนตัวที่นั่นได้”
“ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ฉันก็จะไปจากที่นี้แล้ว”
หญิงสาวพยักหน้าและหันจากไป
“เห้ย” เย่จิงเหยียนเดินตามไปข้างหน้าสองสามก้าว แต่ผู้หญิงคนนั้นหยุดแต่ไม่หันกลับมามอง
“ระวังตัวด้วยนะ” เย่จิงเหยียนไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ดังนั้นเขาจึงพูดคำนี้ออกมา
หญิงสาวไม่พูดอะไรและจากไปอย่างรวดเร็ว
เธอเป็นทหาร ชีวิตและความตายอยู่บนเส้นด้าย คำว่าดูแลตัวเองอะไรพวกนี้มันไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเธอ
ภายใต้แสงสลัว ผู้หญิงคนนั้นกระโดดอย่างคล่องแคล่ว กระโดดขึ้นไปบนรถจี๊ปหลังของเธอผอมมาก แต่เธอก็กล้าหาญและมีพลังมาก จนทำให้คนต้องประหลาดใจ
เมื่อมองลงไปที่ชายสามคนที่ล้มลงบนพื้น เลือดก็หลั่งไหลไปทั่วพื้นดิน เย่จิงเหยียนไม่มีความเห็นอกเห็นใจพวกเขาเลยแม้แต่น้อย คนเหล่านี้มักจะทำสิ่งชั่วร้าย ได้รับชะตากรรมแบบนี้ก็สมควรแล้ว
ในคืนนี้ เมืองผ่านไปด้วยความสยดสยองและเสียงร้องไห้ เย่จิงเหยียนออกจากที่นี่ในวันรุ่งขึ้น
เดิมทีต้องการนั่งเครื่องบินไปยังจุดหมายต่อไป แต่ก็อยากชมทิวทัศน์ระหว่างทาง เย่จิงเหยียนจึงเลือกรถประจำทางระยะไกล เมื่อผ่านสถานีกองทัพ เขามองหาคนรูปร่างบางๆท่ามกลางทหารโดยไม่รู้ตัว
แต่มันทำให้เขาผิดหวัง เขาไม่เจอผู้หญิงคนนั้น
เย่จิงเหยียนหลับตาและตกอยู่ในความคิด เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา เป็นเวลากว่ายี่สิบปีแล้ว นอกจากคิดถึง ต้วนอีเหยา ส่วนน้อยมากที่เขาจะรู้สึกสนใจผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษ
อยากรู้ว่าเธอชื่ออะไร อยากรู้ว่าเธอกำลังทำไร แต่จะว่าไปพวกเขาก็เคยเจอกันแค่สองครั้ง
ยังไงก็มีแค่สองอย่างใช้ชีวิตกับการทำงาน กลัวว่าจะไม่ได้เจอเธออีก
เมื่อถอนความคิด เย่จิงเหยียนเปิดโบรชัวร์การท่องเที่ยวและเรียนรู้เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวในแทนซาเนีย
ก็เที่ยวเล่นมานานกว่าครึ่งเดือน ผิวของเย่จิงเหยียนจากขาวนวลก็กลายเป็นสีคล้ำน้ำผึ้ง เขาขึ้นเครื่องกลับจีนอย่างไม่เต็มใจ เขาชอบดินแดนแห่งนี้มาก แม้ว่าสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆจะไม่สมบูรณ์แบบและเครือข่ายไม่ได้รับการพัฒนา แต่ก็เป็นสวรรค์ของสัตว์และเป็นสถานที่ที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากที่สุด
สนามบินในเมืองA
หญิงสาวที่มีรูปร่างสวยงาม ผมตรงและใบหน้าสวยกำลังรออยู่ที่อาคารผู้โดยสาร เธอสวมแว่นกันแดดขนาดใหญ่ ผู้คนจึงมองไม่เห็นดวงตาที่มีเสน่ห์ของเธอ มีใบหน้าเพียงครึ่งเดียวที่โชว์ให้เห็นความสวย
ผู้ชายหลายคนถึงกับเดินชนกระเป๋าของคนอื่น เพราะมัวแต่หันมองเธอ
เด็กสาวจ้องมองไปที่ทางออกอย่างว่างเปล่า โดยไม่สนใจความอิจฉาของทุกคน มีคนเดินขึ้นไปและต้องการที่จะพูดคุย แต่ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆเธอไล่ออกไป
จนกระทั่งชายร่างสูงคนหนึ่งเดินออกมา หญิงสาวก็มีสีหน้าที่ดีใจ เธอรีบวิ่งเข้าไปในอ้อมแขนของชายคนนั้น กอดเขาไว้แน่นและพูดอย่างมีเสน่ห์ว่า “โอเค ฉันกอดเธอแล้ว ไหนล่ะของฝาก?”
เย่จิงเหยียนมองเธออย่างรังเกียจ“โอย เธอก็จริงจังไปหรือเปล่า”
“จริงจังที่ไหน? ฉันปกติจะตาย” เย่ชวูเสวียพูดอย่างไม่มั่นใจ
เย่จิงเหยียนมองดูเธออบอุ่น โอบไหล่เธอและเดินออกไป “ฉันรู้สึกว่าเธอสูงขึ้นนะ หรือว่ารองเท้าส้นสูงที่สูงเกือบสามเซนติเมตร?”
“จะบ้าหรอ ฉันสูงขึ้นแล้วจริงๆ”
จางเหอทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม มองเขาด้วยความรักและพูดว่า “ คุณชายน้อย กลับมาจนได้นะครับ คุณชายและคุณนายกำลังรออยู่ที่บ้าน”
เย่จิงเหยียนให้กระเป๋าเดินทางแก่เขา “ลุงจาง ผมอายุยี่สิบสี่ปีแล้วนะ อย่าเรียกผมคุณชายน้อยสิ ผมเคยบอกแล้วให้เรียกว่าผิงอันหรือจิ้งเหยียนก็พอ”
จางเหอยิ้มแต่ไม่พูดอะไร ก็เรียกคุณชายน้อยมาหลายปีมันชินแล้ว
เย่ชวูเสวียยังคงสร้างปัญหากับเขา “พี่ พี่ไม่พาฉันไปเที่ยวด้วยไม่พอ ยังไม่ซื้อของฝากมาให้ฉันอีก พี่นี่ขี้เหนียวเกินไปละ”
เย่จิงเหยียนจับมือเล็กๆของเธอพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนว่า “เอาล่ะเอาล่ะ มันอยู่ในกระเป๋า ลืมอะไรก็ลืมได้แต่ไม่ลืมของฝากเธอหรอก”
เย่ชวูเสวียเกี่ยวแขนของเขาและยิ้ม ” แบบนี้ค่อยว่าไปอย่าง”
พวกเขาสองคน แค่คนเดียวก็ทำให้คนละสายตาไม่ได้ ยิ่งมายืนอยู่คู่กันมีออร่าฉายแสงเต็มไปหมด เดินไปถึงไหนก็มีเสียงฮือฮาถึงนั่น
เย่จิงเหยียนมองไปที่ทิวทัศน์ภายนอกและพูดด้วยอารมณ์ดีว่า “เมือง A เปลี่ยนไปมากเลยเนอะ”