วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่305 ความลับ ฉันชอบเธอ
ต้วนอีเหยายักไหล่และพูดว่า “ฉันเหมือนกำลังโกรธหรอ? จะว่าไป ทำไมฉันต้องโกรธเธอด้วย? เราเคยเป็นเพื่อนกันตอนเด็ก โตมาก็เจอกันไม่กี่ครั้ง ก็แค่นั้นเอง ฉันจะไปโกธรเธอได้ยังไง? ”
เย่จิงเหยียนตกตะลึงกับสิ่งที่เธอพูด แต่พูดอะไรไม่ได้เพราะที่เธอพูดคือความจริง
“อีเหยา ฉันผิดไปแล้ว ตอนนั้นฉันไม่น่าพูดกับเธอแบบนั้นที่ประตูบริษัทเลย ฉันก็ไม่ควรถามเธอแบบนั้นด้วย ฉันกังวลมากไปเอง ขอโทษนะ”
“อืม เรื่องนี้เมื่อกี้เธอก็พูดแล้ว ฉันให้อภัย” ต้วนอีเหยามองไปที่เขาอย่างไม่แยแส
เห็นท่าทีของต้วนอีเหยา เย่จิงเหยียนไม่สามารถพูดอะไรในใจได้มาก มองดวงตาที่อารมณ์ไม่ดีของเธอ ถามอย่างเป็นห่วงว่า “อาการบาดเจ็บของเธอเป็นยังไงบ้าง?”
“เมื่อกี้ก็บอกไปแล้ว เดี๋ยวก็ดี ”
” เธอ……ตอนนี้เธอเกลียดฉันมากใช่ไหม?!” ดวงตาของเย่จิงเหยียนน่าสงสารมาก ต้วนอีเหยาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอ่อนลง
เธอถอนหายใจและพูดว่า “เย่จิงเหยียน ฉันไม่ได้เกลียดเธอ”
เย่จิงเหยียนเป็นเหมือนเด็กที่ได้รับบาดเจ็บ ” แต่ตอนนี้เธอไม่สนใจฉันเลย ไม่มองแม้แต่หน้าฉัน เป็นเพราะฉันสารภาพกับเธอ หรือเพราะความลับที่ฉันบอกเธอ…… ”
“เย่จิงเหยียน ฉันรู้ว่าเธอชอบฉัน ฉันก็กลับไปคิดเรื่องนี้คิดแล้วคิดอีก แต่ว่า มันเป็นไปไม่ได้ ทำไมฉันต้องให้ความหวังเธอ? ” ต้วนอีเหยาเป็นคนที่ตรงไปตรงไป มีอะไรก็พูดตรงๆ
“ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้?”
ต้วนอีเหยาให้เหตุผลว่า“ ดูสิ พวกเราสองคนไม่รู้จักกันและกันด้วยซ้ำ อารมณ์ฉันเป็นยังไงเธอก็ไม่รู้ เธอมีนิสัยยังไงฉันก็ไม่รู้ นี่คือเหตุผลที่หนึ่ง เหตุผลที่สอง เธอเป็นหัวหน้าใหญ่สิ่งที่จำเป็นคือเด็กสาวหน้าตาดี ออกงานสังคมกับเธอได้ ทำงานด้วยกันและใช้ชีวิตร่วมกับเธอ แน่นอนว่าฉันทำแบบนี้ไม่ได้ ฉันอาจถูกเรียกตัวไปได้ทุกเมื่อและฉันไม่อยากถูกตั้งคำถามทุกครั้งที่กลับมา ไปไหน ทำอะไร”
ประโยคสุดท้ายของต้วนอีเหยาเป็นการเสียดสีเย่จิงเหยียนอย่างเห็นได้ เขายังไม่ทันอ้าปากอธิบาย เธอก็พูดต่อ“ มาพูดถึงสเปคของฉัน ฉันแค่อยากหาคนที่เอาใจใส่ในการใช้ชีวิต เวลาที่ฉันไม่อยู่เขาจะดูแลบ้านได้ แบบเธอมันคงไม่ได้…… ”
“ทำไมฉันจะทำไม่ได้? ฉันทำได้” เย่จิงเหยียนพูดอย่างกังวล
ต้วนอีเหยาเอื้อมมือไปห้ามเขาไม่ให้พูด “เย่จิงเหยียน อย่าพูดออกมาอย่างเต็มปาก เธอทำมันได้ช่วงหนึ่ง แต่ทำตลอดชีวิตได้ไหมล่ะ? เธอหนะ หน้าตาก็ไม่เลย ฐานะครอบครัวก็ดี มีผู้หญิงหลายคนชอบ เธอไล่ตามเธอ ฉันไม่อยากรู้สึกเอาแต่กังวลเป็นห่วงเวลาออกไปปฏิบัติหน้าที่ ว่าเธอจะนอกใจ สวมเขาให้ฉันไหม”
“อีเหยา เธอดูถูกฉันเกินไปแล้ว ถ้าฉันเป็นคนแบบนั้น ผ่านมายี่สิบเจ็ดปีแล้วทำไมยังไม่เคยมีความรักล่ะ?” น้ำเสียงของเย่จิงเหยียนกลายเป็นจริงจัง เขาสามารถยอมรับความจริงที่ว่าต้วนอีเหยาไม่ได้ชอบเขา แต่รู้สึกยอมรับเหตุผลแบบนี้
ต้วนอีเหยาสะบัดมือของเธอ “เอาล่ะ ต่อให้เธอไม่ได้เป็นแบบนั้น ฉันก็ไม่ได้ชอบเธอ”
“ทำไม? ฉันไม่ดีตรงไหน ฉันเปลี่ยนได้” เย่จิงเหยียนเหมือนจะกลายเป็นคนคลั่งและถามเธอ
ต้วนอีเหยาถูกคำถามของเขาทำให้อึ้ง ” ไม่ใบ่เธอไม่ดี แต่เราสองคนยังไม่รู้จักกันดีพอ แถมฉันก็ไม่มีคสามรู้สึกอะไรกับเธอ”
“นั่นหมายความว่า ถ้าเราเจอกันบ่อยขึ้นเพื่อทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งขึ้น บางทีเธออาจจะชอบฉันใช่ไหม?”
“ห้ะ?” ต้วนอีเหยาอึ้ง “ฉันพูดแบบนี้เมื่อไหร่?
“เธอบอกว่าเราไม่รู้จักกันดี และไม่เข้าใจกัน” เย่จิงเหยียนมองไปที่เธอกำลังตะลึงและพูดอย่างรวดเร็ว “ วันนั้นที่ฉันสารภาพกับเธอ เพราะกลัวว่าเธอจะไปชอบคนอื่น เธอยังไม่ต้องตอบตกลงฉันตอนนี้ เรามาเป็นเพื่อนกันก่อน ไม่สิ พวกเราเป็นเพื่อนกันมาอยู่แล้ว เธอไม่ต้องเอาไปคิดมากนะ เห็นฉันเป็นเย่จิงเหยียนเหมือนเดิมก็พอแล้ว ไปเถอะ ฉันจะไปเดินเป็นเพื่อน ”
เย่จิงเหยียนจ้องไปที่เธอ เธอสับสนราวกับว่ามีดาวเต็มรอบๆหัว และค่อยๆเดินจากไป
ชิงหลงที่ฟังอยู่ข้างๆ เขาเข้าใจเหตุผลทั้งสองประการ หนึ่งกัปตันกับไอ่หนุ่มหน้าขาวคนนี้รู้จักกันตั้งแต่เด็ก สองผู้ชายคนนี้ตัวหอมมีเสน่ห์เกินไป
หนุ่มหน้าขาวคนนี้ กำลังถอนหายใจ ด้วยความโล่งอกและเตือนตัวเองตลอดเวลาว่าอย่ากังวล ให้เธอทำใจก่อนก็แล้วกัน ยังไงความสัมพันธ์ดีๆก็ต้องเริ่มจากเพื่อนแล้วค่อยๆเป็นค่อยๆไป
ทั้งสามคนเดินไปได้ครึ่งทาง ต้วนอีเหยาเพิ่งจะเพิ่งจะเข้าใจสิ่งที่เขาพูด มองไปที่เย่จิงเหยียนและถามว่า “ฉันตกอยู่ในแผนหลอกของเธอแล้วใช่ไหม?”
เย่จิงเหยียนยกมือขึ้นเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของเขา “ไม่ใช่ไม่ใช่ ฉันจะกล้าหลอกเธอได้ยังไง? เธอก็ทำเหมือนว่าวันนั้นฉันไม่ได้พูดอะไรไป พวกเรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเหมือนวันนั้น”
“แต่เธอพูดมาอย่างชัดเจนแล้ว” ต้วนอีเหยาพูดตรงๆ
“ ถ้าอย่างนั้นเธอก็คิดว่าฉันเมาแล้วพูดเรื่องไร้สาระ ถึงคำพวกนี้จะเป็นจริง แต่เธอก็ไม่ต้องเก็บไปคิดมากหรอก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน้าบริษัทของฉัน จอนนั้นสมองฉันมันไม่ทำงานจริงๆ ถ้าเธออยากด่าก็ด่าเลย ถ้าฉันกล้าพูดว่าไม่แม้แต่คำเดียว ฉันก็คงไม่ใช่ลูกผู้ชายแล้วล่ะ” เย่จิงเหยียนยอมทำทุกอย่าง ขอแค่เธอยกโทษให้ ต่อให้ตอนนี้ต้วนอีเหยาบอกให้เขากระโดดตึก เขาก็จะทำ เพราะยังไงก็ไม่ตายอยู่ดี
ในที่สุดต้วนอีเหยาก็อมยิ้มและพูดเบาๆว่า “เย่จิงเหยียน ทำไมเธอต้องมาเสียเวลากับฉันนานขนาดนี้? เธอเองก็ยี่สิบเจ็บแล้ว อายุก็ไม่น้อย ควรแต่งงานได้แล้ว!!”
“ก็ไม่ใช่ว่ารอเธอหรอ…… ” เย่จิงเหยียนแค่อ้าปากก็พูดออกมา พูดจบเขาก็รีบตบหน้าผากของเขาแรงๆและขอโทษ “ขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว”
“เธออย่ามารอฉันเลย ฉันยังไม่รู้เลยจะแต่งงานได้เมื่อไหร่ ฉันคิดว่าผู้หญิงที่อยู่หน้าประตูบริษัทคนนั้นก็ดีมากนะ ตัวผอมสูง หน้าตาก็ไม่เลว อารมณ์ดีและสวยด้วย ” ต้วนอีเหยาพูดตามตรง ตอนนี้เธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับเย่จิงเหยียน รลคิดอะไรก็พูดออกมาหมด
“ที่ประตูบริษัท ?” เย่จิงเหยียนนึกสักครู่ “อ่อ ที่เธอพูดคือหนานกงฉิง เธอมีโครงการที่ทำงานร่วมกับบริษัทของเรา พวกเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น เราเพิ่งเจอกันวันนั้นและคุยแต่เรื่องงาน ”
หลังจากอธิบายเสร็จ เย่จิงเหยียนก็รู้ทันที หรือเป็นเพราะหนานกงฉิงทำให้เธอเข้าใจผิด?!
เพราะงั้นถึงเย็นชากับตัวเองขนาดนี้?!
“อีเหยา ฉะนกับเธอไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ เธออย่าเข้าใจผิดนะ” เย่จิงเหยียนย้ำอีกครั้ง
ต้วนอีเหยา รู้สึกอายเล็กน้อย พูดในใจ ที่แท้ก็เป็นเพื่อนร่วมงาน ตอนนั้นเธอเข้าใจผิด แต่เรื่องนี้จะยอมรับไม่ได้ มันน่าอับอายเกินไป เขาจึงแสร้งทำเป็นเมินเฉยและพูดว่า “ฉันไม่ได้เข้าใจผิด ฉันแค่รู้สึกว่าผู้หญิงคนนั้นน่ารักและเธอเข้ากับเธอได้ดี เธอก็ลองดูสิ”
เย่จิงเหยียนโค้งงอริมฝีปากของเขา “เหมาะกันตรงไหน? ไม่เหมาะสักนิด” ในใจของเขา มีเพียงต้วนอีเหยาเท่านั้นที่เข้ากับเขาได้ดีที่สุด
ชิงหลงก็เข้ามาขัดจังหวะและพูดว่า “รู้สึกผู้หญิงวันนั้นสวยกว่าอีก”
“คนไหน?” เย่จิงเหยียนอยู่ในความงง ทำไมมีผู้หญิงปรากฏตัวขึ้นอีกคน
ต้วนอีเหยายังคงขยิบตาให้ชิงหลงบอกเขาว่าอย่าพูด แต่ชิงหลงไม่เห็น กำลังจะพูด “เด็กผู้หญิงคนนั้นไงที่ตาสีม่วง” ในขณะนั้น มีเสียงเรียกดังมาแต่ไกล
“พี่ พี่ชาย-”
สามคนเงยหน้าขึ้นมอง คนหนึ่งสวมชุดสีขาวผมยาวและผ้าคลุมไหล่ ใบหน้าสีพีช หญิงสาวที่มีดวงตาสีม่วงส่องแสงคู่หนึ่งเดินมาหาพวกเขาอย่างมีความสุข
ชิงหลงตกตะลึง วันนั้นแค่มองจากไกลๆยังสวยขนาดนั้น วันนี้ได้ดูใกล้ๆ เหมือนนางฟ้ามาจากสวรรค์เลย
ต้วนอีเหยายังได้สัมผัสกับความประหลาดใจใน สายตาของเธอจ้องมองไปที่นางฟ้าที่กำลังมา
มีเพียงเย่จิงเหยียนเท่านั้นที่มองอย่างรังเกียจ“ เธอมาทำอะไร?”
แค่แวบเดียวเย่ชวูเสวียก็ดูออกว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างๆพี่ชายเธอคือพี่สาว เธอก็ดีใจเป็นอย่างมาก ที่แท้พี่สาวคนนี้ก็อยู่ในโรงพยาบาลนี้ด้วย มันคุ้มจริงๆ ทีนี้พี่ก็ไม่ต้องหน้าหงิกหน้างอทุกวันแล้ว
“พี่ พ่อบอกว่าวันนี้พี่มาเยี่ยมปู ทำไมพี่ไม่ชวนฉันมาด้วย? ” ในขณะที่เย่ชวูเสวียกำลังพูด แต่สายตาก็จ้องอยู่ที่ตัวต้วนอีเหยา
“ เธอยุ่งอยู่ไม่ใช่หรอ?”
“พี่ไม่เคยถามฉันด้วยซ้ำ รู้ได้ไงว่าฉันกำลังยุ่ง?” ดวงตาสีม่วงของเย่ชวูเสวียเปล่งประกาย เดินไปที่ต้วนอีเหยาและพูดด้วยรอยยิ้ม ” นี่ก็คือพี่สาวคนนั้นสินะ สวัสดี ฉันชื่อเย่ชวูเสวีย เป็นน้องสาวของเย่จิงเหยียน ”
ต้วนอีเหยามีปฏิกิริยาอย่างกะทันหัน พวกเขา … เป็นพี่น้องกัน?
ใช่สิ เย่จิงเหยียนเคยบอกเธอว่าเขามีน้องสาวหนึ่งคน แต่เขาไม่ได่บอกว่าน้องสาวตัวเองสวยขนาดนี้
“สวัสดี ฉันต้วนอีเหยา” ต้วนอีเหยาใช้เสียงที่นุ่มนวลของตัวเอง ดวงตาของเธออดไม่ได้ที่จะจ้องไปที่เย่ชวูเสวีย รู้สึกอยู่ในใจทำไมผิวถึงขาวและดูดีมากขนาดนี้ มันวาวและหุ่นดีมาก
เย่ชวูเสวียคุ้นเคยกับการจ้องมองแบบนี้มานานแล้ว ยิ้มอย่างซุกซนและพูดว่า “ฉันรู้มานานแล้ว ฉะนคุ้นเคยกับชื่อพี่มาก”
ต้วนอีเหยาประหลาดใจมาก “เธอรู้ได้อย่างไง?”
เย่ชวูเสวียเหลือบมองไปที่เย่จิงเหยียน เห็นว่าเขาไม่ห้าม ดังนั้นเธอจึงจับแขนของต้วนอีเหยาอย่างสนิทสนมและพูดว่า ” ถ้างั้นก็ต้องขอบคุณพี่ฉันแล้วล่ะ ตั้งแต่ฉันจำความได้ ก็รู้ว่าพี่ชายของฉันมีคนในใจชื่อ ต้วนอีเหยา แค่เธอส่งจดหมายมา วันนั้นทั้งวันก็ไม่ทำอะไรละ เอาแต่นั่งอ่านจดหมายนั้นวนไปมาหลายสิบรอบ……”
“หรูอี้ ไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเป็นใบ้หรอกนะ” เย่จิงเหยียนพูดเองก็ไม่รู้อะไร แต่พอมีคนที่สามมาพูดเขารู้สึกเขินอายขึ้นมา แถมยังต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้
เย่ชวูเสวียซ่อนตัวอยู่ข้างๆต้วนอีเหยา “โฮ่ พี่ก็เอาแต่รังแกฉัน ทีอยู่ต่อหน้าพี่สาวเชื่องอย่างกับลูกแมว”
“ฉันรังแกเธอ?” เย่จิงเหยียนหัวเราะทั้งน้ำตา “คุณหนู เธอไม่รังแกฉันก็บุญแล้ว จะไปเยี่ยมคุณปู่ไม่ใช่หรอ? ยังไม่รีบไปอีก?”
ไม่ง่ายเลยที่เย่ชวูเสวียจะได้เจอกับต้วนอีเหยาใกล้ชิดแบบนี้ จะยอมไปง่ายๆได้อย่างไง เธอพูดด้วยรอยยิ้มว่า ” ไม่รีบไม่รีบ ฉันจะคุยกับพี่สาว” สายตาเหลือบไปเห็นข้างๆต้วยอีเหยายังมีผู้ชายอีกคน เห็นเธอมองไป เขาก็เขินแก้มแดงทันที รีบหันหน้าไปอีกทาง
เย่ชวูเสวียเป็นคนตลก ผู้ชายคนนี้ก็ค่อนข้างขี้อาย
“สวัสดี ฉันชื่อเย่ชวูเสวีย” เย่ชวูเสวียยื่นมือออกไปอย่างเป็นกันเอง มือที่บอบบางของเขาสวยงามราวกับหยก
หัวของชิงหลงหันไปมา ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาเริ่มพูดตะกุกตะกัก เช็ดมือที่ขากางเกงก่อนจะจับมือเธอ แต่เขาก็รีบปล่อยออก เขากลัวว่าความเขินของเขาจะจับแรงไป
“สะ สวัสดี เรียกฉันว่าชิงหลงก็ได้” ชิงหลงไม่ได้แนะนำชื่อของเขา พวกเขามักจะอ้างถึงชื่อรหัสเท่านั้น
เย่ชวูเสวียยิ้มอย่างสดใสและพูดด้วยความประหลาดใจ “เฮ้อ เป็นสัตว์เทพโบราณอีกตัวหนึ่ง”
ชิงหลงมองเธออย่างสงสัย อะไรคือ “อีก”?
เย่ชวูเสวียอธิบายว่า “ฉันมีลูกพี่ลูกน้องสองคนที่เป็นฝาแฝด ชื่อเล่นของพวกเขารวมกันเรียกว่า ฉีหลิน ฉันก็เลยชอบเรียกพวกเขาว่าสัตว์เทพตัวน้อย”
“อ่อๆ เป็นแบบนี้นี่เอง” ในสายตาเธอรู้สึกว่าชิงหลงซื่อๆใสๆ
เย่จิงเหยียนไม่อยากให้น้องสาวโปรยเสน่ห์ไปทุกหนแห่ง เขาจึงลากเธอมาและกระซิบข้างหูของเขา “ไปเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นถ้ามีอะไร ฉันจะไม่ช่วยอีก”
เย่ชวูเสวียเม้มปากเล็กๆของเธอและจ้องกลับมาที่เขา เหมือนสัตว์ร้าย
“ พี่สาว คุยกับพี่ฉันก่อนนะ ฉันจะไปหาคุณปู่ ถ้ามีเวลาฉันจะไปหา……อย่ามาดึงฉัน ฉันไปเองได้……”
พาน้องสาวไปได้ไม่กี่เมตร เย่จิงเหยียนกลับไปที่ต้วนอีเหยาและพูดอย่างอายๆว่า “ยัยตัวแสบก็วุ่นวายแบบนี้แหละ พวกเธออย่าใส่ใจเลยนะ”
“เธอนิสัยดีมาก” ต้วนอีเหยาพูดชื่นชม
เย่จิงเหยียนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้“ พวกเราตามใจเธอจนเสียคน เธอไม่เคยเห็นตอนที่เธอโมโห เหิมเกริมไปมาก ที่บ้านไม่มีใครเอาเธออยู่เลย”
ต้วนอี้เหยามองไปที่ร่างเพรียวๆของเธออย่างไม่อยากเชื่อ“ เป็นไปได้ยังไง?”
“แต่ฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ ทำได้แค่แลกเปลี่ยนข้อตกลงเท่านั้น”
ต้วนอีเหยามองกลับมาที่เขาด้วยความประหลาดใจ ดวงตาตกตะลึงเล็กน้อย
เย่จิงเหยียน “ฟุบ” โน้มตัวเข้ามาใกล้และข้างๆหูของเธอว่า “พลังของเธอแข็งแกร่งกว่าฉันหลายเท่า”
ต้วนอีเหยาตกใจมากขึ้น “เธอก็มี?”
เย่จิงเหยียนไม่ได้โกหก“ อืม เธอก็มี”
ต้วนอีเหยาเริ่มอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ สาวสวยและน่ารักคนนี้มีพลังที่ทรงพลังซ่อนอยู่ในร่างกาย
“ใช่สิ” เย่จิงเหยียนถามชิงหลง “ผู้หญิงที่คนนั้นคือใครนะ?”
ก่อนที่ชิงหลงจะพูดเขาได้รับสายตาเตือนจากต้วนอีเหยา และเปลี่ยนคำพูดทันที บอกว่า “ไม่รู้จัก ก็แค่วันนั้นฉันกับกัปตันเห็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง”
“อ่อ พวกเธอดูเหมือน……จะว่างทุกวันนิ…… ”
ชิงหลงหัวเราะเบาๆสองครั้ง โชคดีที่กัปตันเตือน ถ้าเผลอบอกไปว่าพวกเขาคิดว่าน้องสาวมู่จิงเหยียนเป็นแฟนเขา กัปตันกลต้องโกรธแน่ๆ มันน่าอายเกินไป
“เออ ฉันก็ออกมานานพอสมควรแล้ว ฉันกับชิงหลงกลับก่อนนะ” ทันใดนั้นสมองของต้วนอีเหยาก็ได้รับข้อมูลนั้น ทำให้เธอรู้สึกสับสนไปหมด และตั้งสติจัดระบบความคิดดีๆ
“ฉันส่งไปเอง”
ทั้งสามคนวาปไปชั้นหกทันที เย่จิงเหยียนส่งเธอไปที่ประตูของห้องพักผู้ป่วยและพูดอำลา “ถ้างั้นพักผ่อนเยอะๆนะ ฉันจะไปเยี่ยมปู่ก่อน”
“อืม” ต้วนอีเหยาโบกมือให้เขา “ไปเถอะ ไปเถอะ”
เย่จิงเหยียนอยากให้ชิงหลงไปก่อน จากนั้นเขาจะพูดกับต้วนอีเหยาสองสามรำ แต่ชิงหลงเดินเข้าไปในห้องพักและนอนลงบนโซฟา
“เขา เขาอยู่ในห้องพักผู้ป่วยนี้ด้วยหรอ?” เย่จิงเหยียนถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูปกติที่สุด
“ใช่ มันเปลืองงบถ้าเปิดอีกห้อง บ๊ายบาย” ต้วนอีเหยาไม่พูดอะไรมากและปิดประตูห้อง “ปั๊ง”
เย่จิงเหยียนยืนอยู่ที่ประตูเป็นเวลานานโดยไม่พูดอะไร เปลืองเงิน? เขาจ่ายเงินค่าห้องอีกห้องให้ก็ได้
เมื่อคิดถึงเช่นนี้ เย่จิงเหยียนก็ยกมือขึ้นกำลังจะเคาะประตู แต่จู่ๆความคิดก็ผุดออกมา ไม่สิ ค่าห้องคืนนึงก็ไม่เท่าไหร่เอง ชิงหลงอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องเธอหรือเปล่า นึกย้อนไปเหตุการณ์ในวันนั้น ต้วนอีเหยาน่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส
ยังดียังดี ที่ครั้งที่ตัวเองไม่ผลุนผลัน ไม่งั้นยิ่งถูกต้วนอีเหยารำคาญแน่เลย
ต้วนอีเหยาที่กำลังแอบฟังอยู่ที่ประตู ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินไปไกล จึงกลับไปที่เตียง กอดอกและครุ่นคิด ถ้าอย่างนั้น ฉันเข้าใจเขาผิดหรอ?
แต่ว่าความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ที่มีต่อเขา……ก็ยังไม่ได้ลึกซึ้งขนาดนั้น
ช่างเขาเถอะ จะว่าไป ตอนนี้ฉันต้องรีบรักษาอาการบาดเจ็บให้หาย
ทางนี้ เย่จิงเหยียนกลับไปที่ห้องของคุณผู้ที่อยู่ชั้นสามอย่างสดชื่นและถูกเย่ชวูเสวียแกล้งทันทีที่เข้ามา
“อันแน คุณชายเย่กลับมาแล้ว ไหนมาดูสิ้ มาดูหน่อย มดขึ้นตัวหมดแล้วมั้ง”
เย่จิงเหยียนไม่สามารถหยุดรอยยิ้มที่มุมตาของเขาได้ แม้แต่คำเยาะเย้ยของเย่ชวูเสวียก็ไม่อยู่ในใจ เขาเดินไปหาปู่จับมือและพูดว่า “คุณปู่ ผมดูหลายวันมานี้อาการดีขึ้นเยอะเลย”
ดวงตาของคุณปู่เต็มไปด้วยความสดใส แถมยังอ้าปากถามเขาได้ว่า “แฟนของแกล่ะ?”
เย่จิงเหยียนอดไม่ได้ที่จะไม่เขิน “คุณปู่ เธอยังไม่ใช่แฟนผม เธอยังไม่ตอบตกลง”
คุณปู่เสี่ยวยิ้มคิกๆ “ สวยไหม?”
เย่จิงเหยียนพยักหน้าเหมือนเด็ก “สวย”
“ต้องปฏิบัติกับผู้หญิงดีๆ” คุณปู่พูดสั่นในลำคอ
“ ครับคุณปู่ ผมจะทำอย่างดี”
หลังจากนั่งคุยกับคุณปู่เสี่ยวสักพัก อ่านหนังสือพิมพ์ให้เขาฟัง ดูเขาค่อยๆหลับไป เย่จิงเหยียนเลและเย่ชวูเสวีย ก็ออกจากห้องอย่างเงียบๆ
เดินไปถึงที่บันได เย่จิงเหยียนก็หยุด จริงๆเขาอยากขึ้นไปข้างบนไปดูต้วนอีเหยา แต่ก็กลัวเธอกำลังพักผ่อน จากนั้นคิดไปคิดมา ช่างมันเหอะ
“อยากไปก็ไปสิ พี่ขี้ขลาดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?” เย่ชวูเสวียรู้สึกงุนงง พี่ชายของเธออยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนอื่นขี้อายมาก แต่กับน้อยสาว……
“ไม่ไปแล้ว ไป กลับบ้านกันเถอะ” เย่จิงเหยียนเดินลงบันได
เย่ชวูเสวียเดินตามเขาไป “พี่ พี่สาวคนนั้นรักษาตัวอยู่ที่นี่หรอ? เธอได้รับบาดเจ็บ?”
“อืม”
“โชคไม่ดีเลย เรามาที่นี่ตั้งกี่ครั้ง แต่ไม่เคยเจอ เธออยู่ชั้นไหน?”
เย่จิงเหยียนมองกลับไปที่เธออย่างระมัดระวัง “แกคิดจะทำอะไร?”
เย่ชวูเสวียตะโกนอย่างไร้เดียงสา “ฉันไม่ได้จะทำอะไรนิ แค่ถามเฉยๆ เออ พี่เป็นพี่ชายฉันนะ ฉันจะแกล้งพี่ได้ไง? ”
“ ไม่ได้หมายความว่าอันนี้”
“แล้วอันไหน?”
เย่จิงเหยียนยกคางขึ้นด้วยความรังเกียจและมองไปรอบๆและพูดว่า “ฉันกลัวแกจะไปโปรยเสน่ห์ใส่เขาหน่ะสิ ถึงตอนนั้นยุ่งยาก แกไม่เห็นหรอคนข้างๆต้วนอีเหยาหน้าแดงเป็นมะเขือเทศแล้ว แกห้ามไปที่ห้องเธอเด็ดขาด ถ้าเกิดไอ่หนุ่มนั่นชอบแกขึ้นมามันจะยุ่งยาก ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นฉันจะไม่ยุ่ง แต่คนใกล้ตัวต้วนอีเหยา แกอยู่ห่างๆเลย”
เย่ชวูเสวียขมวดคิ้ว“ร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรอ?”
“ แล้วแกชอบแบบเขาหรอ?”
เย่ชวูเสวียโบกมืออย่างรีบร้อน“ ไม่ไม่ไม่ ฉันไม่ชอบ ไม่กลับบ้านทั้งวันทั้งปี ฉันไม่อยากเป็นหม้ายรออยู่บ้านเหงาๆ”
” งั้นยังไม่พอหรอ? ฟังพี่ ผู้ชายแบบนั้นเป็นคนตรงไปตรงมา ฉันกลัวว่าจะรับมือยาก” เย่จิงเหยียนจับหัวของเธอและพูดอย่างอบอุ่น
เย่ชวูเสวียถอนหายใจเงียบๆ “โอเค”
ความสำเร็จแวบหนึ่งฉายในดวงตาของ เย่จิงเหยียน เอาล่ะ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
เมื่อพวกเขามาถึงที่จอดรถ ทางแยกทั้งสองทาง เย่จิงเหยียนได้เข้าไปในสีดำ เย่ชวูเสวียเข้าไปในรถสีแดง
ระหว่างทางเย่จิงเหยียนเห็นซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ จอดรถข้างทางและโทรหามู่เวยเวย “แม่ ได้รับบาดเจ็บกินซุปแบบไหนดีที่สุด?”
“ ใครบาดเจ็บ?” มู่เวยเวยถามอย่างเป็นห่วง
“ ต้วนอี้เหยา”
“ห้ะ? แกเจอเธอแล้วหรอ? เมื่อไหร่?”
เย่จิงเหยียนพูดสั้นๆเกี่ยวกับเรื่องตอนเที่ยงและพูดว่า “ฉันเห็นว่าเธอซีดลงมาก แถมยังสั่งข้าวจากข้างนอกมากิน อยากต้มซัปให้เธอทาน”
“อันแน เป็นห่วงดูแลใส่ใจผู้หญิงเป็นด้วย ดีกว่าพ่อแก” มู่เวยเวยแกล้งลูกชายของเธอและพูดว่า “ไปซื้อไก่กระดูกดำ สมุนไพรบำรุงเลือดด้วยก็ดีเหมือนกัน สำหรับการรักษาบาดแผล ”
“โอเคครับ มีอะไรเพิ่มอีกไหม?”
“พอละ ที่เหลือที่บ้านมีหมดแล้ว”
สามชั่วโมงต่อมา ฟ้าเริ่มมืด เย่จิงเหยียนไม่ละสายตาไปแม้แต่น้อยจากซุปหก่ดำที่กำลังทำ ตั้งแต่ใส่ส่วนผสมทุกขั้นตอนเขาก็เป็นคนลงมือทำเอง แต่อยู่ในการแนะนำของมู่เวยเวย
เมื่อซุปไก่ดำรสกลมกล่อมถูกเทลงในกล่องอาหารกลางวัน มู่เวยเวยก็ถอนหายใจอย่างจริงใจ“ ไม่อยากคิดเลยว่าเขาเลี้ยงลูกชายมาได้โตขนาดนี้แล้ว เป็นครั้งแรกที่เขาต้มซุปให้ผู้หญิง”
เย่จิงเหยียนเทหม้อที่เหลือลงในชาม เอาช้อนลายครามแล้วเป่า ป้อนให้เวยเวย “แต่ว่าคำแรกต้องให้แม่ ลองชิมสิครับ อร่อยไหม?”
มู่เวยเวยจิบปากของเธอดวงตาของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความรัก“อืม อร่อย รีบส่งไปให้หญิงสาวคนนั้นเร็ว”
“ ใช่สิ แม่ครับ ยาทาของหมอฮันยังมีอยู่ไหม?”
“ มี แม่จะไปเอาให้”
หลังจากส่งลูกชายไป มู่เวยเวยก็แอบอยู่ข้างๆเย่ฉ่าวเฉินและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ลูกชายคนนี้ ทำให้หัวใจอ่อนไหวจริงๆ”
“ถ้าเธอชอบใครสักคนเธอต้องให้ความจริงใจทั้งหมด แม้ว่าผลลัพธ์จะออกมาไม่ดี เขาก็จะไม่เสียใจ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ในอนาคต” เย่ฉ่าวเฉินพูดถึงประสบการณ์ของตัวเอง
ทันใดนั้นมู่เวยเวยก็นั่งตัวตรงมองไปที่สามีของเธอที่มีเสน่ห์เพิ่มขึ้นตามวัยและพูดว่า “ดูเหมือนว่าเธอไม่เคยทำซุปให้ฉันเลย”
ดวงตาของเย่ฉ่าวเฉินดูไม่แน่นอน“ จริงเหรอ? ฉันไม่เคยทำให้?”
“ไม่เคย เมื่อก่อนฉินหม่าอยู่ ฉินหม่าเป็นคนทำให้ตลอด เธอไม่เคยทำเลย” มู่เวยเวยบ่นออกมา
เย่ฉ่าวเฉินพูดแก้ตัวไม่ออกและต้องพูดว่า “แล้วเธออยากทานซุปอะไรล่ะ? พรุ่งนี้ฉันจะทำให้”
“เธอทำออกมาไม่อร่อยเท่าลูกทำหรอก ที่ลูกทำ ทำด้วยความจริงใจล้วนๆ เธอหน่ะหรอ ทำเพราะจำเป็น”
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว “ลูกเราทำซุปอร่อยเหรอ?”
“ใช่สิ ฉันจะไปตักมาให้ ยังเหลืออยู่”
เย่ฉ่าวเฉินจับภรรยาของเขาที่กำลังจะลุกขึ้น ดึงเธอไปหายกคางขึ้นแล้วจูบ……
ริมฝีปากและฟันประกบกันและชุ่มชื้น
“โอ้ย ถ้าพ่อกะบแม่จะแสดงความรักก็ไปที่ห้องไม่ได้หรอ หัวใจดวงน้อยๆของฉันทนเห็นไม่ได้” เย่ชวูเสวียที่เพิ่งเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นอุทานเมื่อเห็นพ่อของเขาไม่สนใจเธอเลย แถมจูบแม่ เธอไม่มีทางเลือกนอกจากก้มหน้ารับลมและพูดว่า ” พ่อแม่ทำต่อเลย ฉันกำลังจะกลับไปที่ห้องแล้ว”
หลังจากที่เย่ฉ่าวเฉินได้ลิ้มรสกลิ่นหอมนวลนุ่มจากริมฝีปากของภรรยาแล้ว เขาก็ปล่อยมือจากภรรยาที่หน้าแดง และตบริมฝีปากของเธอเบาๆและพูดว่า“ มันหอมมาก แต่ว่า” เย่ฉ่าวเฉินก้มศีรษะลงและกระซิบข้างหู“แต่เธอหอมกว่า” หลังจากพูดจบเขาก็อุ้มภรรยาเดินไปที่ห้องนอนชั้นสอง แน่นอนว่าบรรยากาศดีๆแบบนี้ต้องดำเนินต่อไป
มู่เวยเวยหน้าแดงและใช้กำปั้นทุบหน้าอกของเขาเบาๆ “ต่อไปเธอช่วยอายหน่อยได้ไหม? โดนลูกสาวแซวแล้วเนี่ย”
เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างมีชัยว่า “ทำไมฉันต้องอาย นี่บ้านเรานะ พวกเขาต้องมีความสุขสิเห็นพ่อแม่รักกันขนาดนี้”
เมื่อเขาพูดคำนี้ออกมาตอนที่เย่ชวูเสวียกำลังเดินผ่านพอดี เธอเปิดประตูเข้ามาและพูดว่า “พ่อ พ่อแก่แล้วไม่เจียม”
“ ไร้สาระ พ่อแกแก่ที่ไหนกัน?”
“อะๆ พ่อยังไม่แก่ ยังอายุสิบแปดปี แต่ลองถามรอยย่นที่ตาดูว่าเห็นด้วยไหม”
“ไปไปไป ไปเล่นของแกไป” เย่ฉ่าวเฉินเตะเปิดประตูห้องนอนขณะที่อุ้มภรรยาของเขาไว้
ทันใดนั้นเย่ชวูเสวียรู้สึกเหงาเล็กน้อย เธอเองก็อยากมีความรัก แต่เธอไม่เจอผู้ชายที่เข้ามารักเธอจริงๆเลย หรือเป็นเพราะสีผิวเธอ หรือว่าฐานะทางบ้านเธอ
ปีนี้เธออายุยี่สิบห้าแล้ว ยังไม่เคยมีความรักเลย ถ้าคำนี้พูดออกไปทั้งเมืองAคงมีไม่กี่คนที่เชื่อหรอก ทั้งๆที่เป็นความจริง
เมื่อไหร่เธอจะเจอผู้ชายที่เธอชอบนะ?
ทางโรงพยาบาล
เย่จิงเหยียนมาที่ห้องพักผู้ป่วยชั้นหก พร้อมซุปไก่ด้วยความรักและยืนอยู่ที่ประตํห้องพัก เขาจัดเสื้อผ้าและผมของเขาก่อนจะยกมือขึ้นและเคาะประตู
ไม่กี่วินาทีต่อมา ชิงหลงก็เปิดประตู ต้วนอีเหยาก็กำลังจะกินข้าวอยู่ข้างใน
“เธอมาที่นี่ทำไม?” ต้วนอีเหยากินน้ำซุปผักต้มในชามและเงยหน้าถามเขา
เย่จิงเหยียนยกกล่องอาหารในมือขึ้น“ ฉันทำซุปไก่กระดูกดำมาให้”
ต้วนอีเหยาประหลาดใจมากและรีบโบกมือและพูดว่า “จริงเหรอ? มาเร็ว รีบเอามา อาหารของโรงพยาบาลไม่อร่อยเลย”
เดิมทีเย่จิงเหยียนคิดว่าเธอจะปฏิเสธ ไม่คิดว่าเธอจะตอบตกลงเร็วขนาดนี้
ทันทีที่เปิดกล่องอาหาร ทั้งห้องก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของซุปไก่ ต้วนอีเหยาน้ำลายไหลเพียงแค่ได้กลิ่น
“หอมขนาดนี้? เธอทำเองจริงๆหรอ” ต้วนอีเหยาแสดงความสงสัย
เย่จิงเหยียนให้เครดิตและยิ้มอย่างนุ่มนวล “แม่สอนฉันอยู่ข้างๆ ฉันไม่ได้ใส่เครื่องปรุงรสเผ็ดเลย มันไม่ดีต่อบาดแผล”
ต้วนอีเหยาแทบรอไม่ไหวรีบหยิบช้อนขึ้นมา น้ำลายไหล
“ค่อยๆนะ” เย่จิงเหยียนแทบจะไม่เห็นท่าทางน่ารักของเธอแบบนี้
ต้วนอีเหยาอ้าปากค้างและตาของเธอก็สว่างขึ้นทันที “อืมอืม อร่อย อร่อยมาก”
อารมณ์ของเย่จิงเหยียนมีความสุขยิ่งกว่าการทำธุรกิจขนาดใหญ่ “ถ้าอร่อยก็ทานเยอะๆนะ ฉันทำมาเยอะ”
ชิงหลงที่อยู่ข้างๆและกลืนน้ำลายและพูดอย่างน่าสงสารว่า “เยอะขนาดนี้กัปตันทานไม่หมดหรอก แบ่งให้ฉันหน่อยได้ไหม?”
เย่จิงเหยียนตักให้เขาหนึ่งชามและพูดขณะตักซุป “ฉันกลัวว่าจะไม่พอ เอามาเยอะเลย มีของเธอด้วย”
“ขอบคุณ ขอบคุณ”
เย่จิงเหยียนยิ้มอย่างแผ่วเบา การจะจีบผู้หญิงสักคน ต้องซื้อใจจากคนรอบข้างก่อน ถ้าได้ถือว่าชนะไปแล้วครึ่งนึง ส่วนการซื้อใจนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละคน เจ้าตัวน้อยของตระกูลมู่สอนเขามาและตอนนี้ดูเหมือนว่าจะได้ผล
ทั้งสองดื่มซุปไก่อย่างมีความสุข เย่จิงเหยียนไปมองอาหารบนโต๊ะของพวกเขา ไม่มีน้ำมัน ไม่เนื้อสัตว์เลย ขมวดคิ้วและพูดว่า “ เธอกินพวกนี้หรอ?”
“ ใช่สิ ก็อาหารของโรงพยาบาลนิจะอร่อยได้ไง”
“พรุ่งนี้ฉันจะทำมาให้ ที่บ้านทำให้ มีค่าทางโภชนาการและดีต่อสุขภาพ” เย่จิงเหยียนตัดสินใจทันทีและกลับไปดูสูตรอาหารในตอนเย็นและจัดทำเมนู
ต้วนอีเหยาปฏิเสธโดยไม่รู้ตัว ” มันไม่ดีมั้ง”
“ไม่มีปัญหาเลย ถือว่าเป็นหารตอบแทนเธอที่ช่วยชีวิตฉัน” เย่จิงเหยียนพบข้อแก้ตัวที่เธอไม่สามารถปฏิเสธได้
ต้วนอีเหยาตะลึง “ช่วยชีวิตอะไร?”
เย่จิงเหยียนเห็นว่าเธอทานหมดแล้ว หยิบชามเล็กๆจากมือเพิ่มอีกชามให้เธอและตักไก่ดำสองสามชิ้นให้ “เธอลืมไปแล้วหรอ? ตอนที่ฉันไปเที่ยวที่แอฟริกา เกือบโดนสิงโตคาบไปกินแล้ว เธอเป็นคนช่วยฉันไว้”
ต้วนอีเหยานึกถึงความทรงจำมากมาย พยักหน้าและพูดว่า “ดูเหมือนว่าจะเคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้น เธอกำลังมาใช้หนี้บุญคุณสินะ ไม่ทำงานหรอ?”
“ฉันลาพักร้อนประจำปี ฉันไม่ได้พักร้อนมาสองปีแล้ว ฉันลางานทั้งหมดในครั้งนี้และใน ช่วงนี้ที่บริษัทไม่มีอะไรทำ” เย่จิงเหยียนเฝ้าดูเธอดื่มซุปเพียงคนเดียวและเตือนอย่างอบอุ่น ” อย่าดื่มแต่น้ำซุปสิ กินเนื้อด้วย”
“อือ…… ” ต้วนอีเหยาครุ่นคิดจะดีไหมเพราะเธอไม่ใช่แฟนของเขา
เย่จิงเหยียนรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ โดยดูจากการแสดงออกของเธอ เขายืดคางของเขาและพูดว่า “อย่าคิดมากเราเป็นเพื่อนกันมาหลายปีแล้ว เมือง A อยู่ภายใต้การดูแลของแม่ฉันแน่นอนฉันต้องดูแลเธอ ก็แค่ส่งข้าวไม่กี่วันเอง ไม่ต้องคิดมากขนาดนี้หรอก ”
“ได้ได้ได้ แล้วแต่เธอ” ต้วนอีเหยาไม่อยากเถียงกับเขาเพราะเธอมีลางสังหรณ์ว่ายังไงเขาก็ชนะ
เย่จิงเหยียนเม้มริมฝีปากและก้าวเข้ามาในห้องนี้เป็นครั้งแรก การจัดห้องวางเหมือนกับของเธอปู่เสี่ยว เหมือนกับห้องเดี่ยวเล็กๆ ที่มีห้องน้ำ โซฟาและโต๊ะอาหาร นอกจากนี้เขายังเห็นบิล ถ้าคิดไม่ผิดน่าจะเป็นชิงหลงเปิดพักตอนกลางคืน
พูดความในใจ เย่จิงเหยียนไม่เห็นด้วยกับชายหญิงที่โสดจะมาอยู่ในห้องด้วยกันตามลำพัง แต่ต้วนอีเหยาเองก็ได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้เธอไม่สามารถป้องกันตัวเองจสกพวกสารเลวได้เพราะงั้นเลยไม่กล้าพูดมาก
มีชิงหลงอยู่ เนื้อไก่ในในกล่องอาหารไม่มีเหลือ พวกเขาสองคนอิ่มมากจนหมดความสนใจกับอาหารบนโต๊ะ
เย่จิงเหยียนหยิบถุงขยะมาและเก็บของเหลือทิ้งทั้งหมด จากนั้นเช็ดโต๊ะให้สะอาดด้วยผ้าขนหนูชุบน้ำราวกับว่าเขาอยู่ที่นี่เพื่อเป็นพี่เลี้ยงเด็ก
ส่วนอีกสองคนนอนดูเขา โดยไม่พูดอะไรสักคำหลังจากนั้นชิงหลงก็พูดขึ้นว่า “เย่……”
“ฉันชื่อเย่จิงเหยียน” เย่จิงเหยียนเป็นชื่อในบ้านเขา “แค่เรียกชื่อฉันก็พอแล้ว”
“อืม เย่จิงเหยียน เธอก็เป็นหัวหน้าบริษัทใหญ่ ทำไมถึงทำงานบ้านเก่งขนาดนี้?”
เย่จิงเหยียนอธิบายอย่างไม่แยแสว่า “เมื่อสองสามปีก่อนตอนที่ฉันไปเรียนต่อต่างประเทศ ฉันอยู่คนเดียวและฉันทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ก็เลยคล่อง”
“ ห๊ะ? พวกคุณมีเงินขนาดนี้ไม่จ้างแม่บ้านหรอ? แถมยังทำเอง?”
เย่จิงเหยียนมองไปที่ต้วนอีเหยาอย่างสงบและพูดว่า “ที่เธอพูดมาแน่นอนว่ามี แต่ตอนฉันไปต่างประเทศ พ่อฉันให้แค่ตั๋วเครื่องบินและค่าครองชีพหนึ่งเดือน ทั้งหมดเป็นค่าครองชีพของฉัน จะมีเหลือไปจ้างแม่บ้านได้ยังไง?”
“แล้วค่าเล่าเรียนของเธอล่ะ”
“ฉันได้ทุนการศึกษา ก็พอแล้ว”