วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่338 นางตายแล้ว
ชิงหลงรับโทรศัพท์พร้อมกับเหลือบตาไปมองพาดหัวข่าว ความรู้สึกจากสงสัยไปเป็นตกใจและลงท้ายด้วยความรู้สึกโกรธ “ เยสเข้ ฉันว่าแล้วเรื่องแบบนั้นจะทำให้พี่ใหญ่เป็นลมได้ไง ที่แท้เรื่องก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”
“คุณว่าไงนะ ต้วนอีเหยาเป็นลมหรือ” ทหารต้วนดึงเสื้อคอของเขา “เกิดอะไรขึ้น”
ชิงหลงก็อารมณ์ขึ้น “ ผู้กอง ฟังฟังฉันพูดก่อน ตอนนี้ฉันเรียบเรียงเรียบร้อยแล้ว…”
จากนั้น ชิงหลงก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลให้ผู้กองต้วนอย่างละเอียด รวมถึงจ้าวเสวียนไปหาพี่ใหญ่ และพี่ใหญ่สลบคาที่ และเย่จิงเหยียนไปขอการอภัยจากต้วนอีเหยา และเธอเสียใจจนร้องไห้ บอกอย่างละเอียดแทบทุกจุด
แต่เขาไม่ได้พูดถึงความลับในตัวของเย่จิงเหยียน เพราะเขาสัญญากับพี่ใหญ่ว่าเรื่องนี้จะไม่พูดเด็ดขาด
ทหารต้วนยิ่งฟังยิ่งโกรธ ความเข้มแข็งของลูกสาวเขารู้อยู่แก่ใจ ตั้งแต่เล็กจนโต นอกจากร้องไห้ตอนที่เสียแม่แล้ว ก็ไม่เคยเห็นนางน้ำตาตกอีก ไม่ว่าจะได้รับความเจ็บปวดแค่ไหน ก็จะยิ้มและพูดว่า พ่อ ฉันไม่เป็นไร
แต่นางกลับร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดเพื่อเย่จิงเหยียน เห็นได้ว่านางรักเจ้าทึ่มคนนี้มากแค่ไหน
“นายรู้ไหมว่าตอนนี้อีเหยาอาการเป็นไงบ้าง” ทหารต้วนถามเมื่อเขาเล่าเรื่องจบ
“ตอนออกจากเมืองA เห็นเขาคนนั้นมาส่งพี่ใหญ่ ดูแล้วพี่ใหญ่ไม่ได้แสดงออกอะไร”
ทหารต้วนพูดอย่างเย็นชา “ ทำเรื่องน่าอายขนาดนี้ยังกล้ามาหาอีเหยา ครั้งหน้าถ้านายเจอเขาช่วยสั่งสอนแทนฉันที”
ชิงหลงพูดอย่างเขินๆว่า “ ผู้กอง ฉันสู้เขาไม่ได้”
“สู้ไม่ได้ก็ต้องสู้” ทหารต้วนพูดอย่างโมโห
“รับทราบ ผู้กอง” ชิงหลงยืนตรงทำความเคารพ
“ไปได้”
ชิงหลงวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกดีๆที่เคยมีต่อเย่จิงเหยียนในใจนั้นขายไปยังไร้ร่องรอย
เวลาผ่านไปพักหนึ่งทหารต้วนถึงจะใจเย็นลงได้ ลูกเขยคนนี้เอาไว้ไม่ได้เด็ดขาด มีครั้งที่ 1 ก็ย่อมมีครั้งที่ 2 ในชีวิตของเขา เขาเกลียดคนที่เจ้าชู้ที่สุด
เขากลัวว่าลูกสาวจะหลงใหลในคำพูดที่อ่อนหวานของเย่จิงเหยียน ไม่ได้ เขาต้องตัดความสัมพันธ์นี้ให้ได้
แล้วจะทำยังไงล่ะ เขาคิดแล้วคิดอีก
…
เมืองAที่แสนไกล คฤหาสน์ตระกูลเย่
เย่จิงเหยียนนั่งอยู่ข้างๆทะเลสาบตกเบ็ด สายตามองออกไปยังทะเลสาบที่เขียวมรกต แต่ใจกลับเหม่อลอย เบ็ดตกปลาขยับครั้งแล้วครั้งเล่าเขาก็ไม่รู้สึก
“อั้ยยะ ปลาติดเบ็ดแล้ว” เย่ชูวเสวียรีบวิ่งมายกเเบ็ดตกปลาขึ้น ยกขึ้นมา ปลาได้กินเหยื่อและหนีไปตั้งนานแล้ว เย่ชูวเสวียเก็บเบ็ดตกปลาไปด้วยบ่นพี่ชายไปด้วย “พี่มาตกปลาหรือมานั่งเล่นเนี่ย ปลาหนีไปแล้ว”
“หนีก็หนีสิ ยังไงก็ยังอยู่ในแม่นำ้อยู่ดี” เย่จิงเหยียนพูดไปด้วยยิ้มไปด้วย
“เฮ้ แล้วนี่พี่มานั่งตกอะไรล่ะ” นำไส้เดือนแขวนไว้บนเบ็ดตกปลา แล้วเหวี่ยง แต่สายเบ็ดไปไม่ถึงแม่น้ำ
เย่จิงเหยียนถอนหายใจด้วยความข้องใจ “เวลาผ่านไปเกือบเดือนแล้ว แต่ยังไม่มีข่าวคราวของอีเหยาเลย พี่รู้สึกเป็นห่วงนาง”
“พี่ก็ส่งข้อความไปหานางสิ” เย่ชูวเสวียขยับเข้ามาใกล้ๆข้างกายเขา ผมที่เร็วยาว กับใบหน้าหน้าที่ไม่มีเครื่องสำอาง มีความเป็นกุลสตรีมาก
“ คือพี่…คือพี่กลัวว่าจะรบกวนเธอ”
“เวลาเกือบเดือนแล้ว ภารกิจก็น่าจะสำเร็จแล้วแหละ” เย่ชูวเสวียจ้องมองเขา นัยน์ตาหมุนไปหมุนมา พูดว่า “เอาโทรศัพท์มา เดี๋ยวน้องส่งแทนพี่”
เย่จิงเหยียนขยับแต่ก็ไม่กล้า “ช่างมันเถอะ”
เย่ชูวเสวียมองครั้งเดียวก็รู้ความในใจของพี่ชาย จึงล้วงเข้าไปในกระเป๋าของเขาหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วป้อนรหัสผ่าน จากนั้นหาเบอร์โทรของต้วนอีเหยา ขณะที่กำลังจะส่งข้อความไปให้เธอ ก็มีโทรศัพท์สายหนึ่งโทรเข้ามา
“เฮ้ โทรศัพท์พี่” เย่ชูวเสวียส่งโทรศัพท์ให้เขา
เย่จิงเหยียนเหลือบตามองดู เห็นว่าเป็นเบอร์คนแปลกหน้า จึงรับไปงั้นๆ “ฮัลโหล คุณเป็นใคร”
มีเสียงที่นิ่งและเย็นชาออกมาจากโทรศัพท์ “ฉันคือทหารต้วน”
เย่จิงเหยียนตกใจจนแทบจะลุกออกจากที่นั่ง พูดด้วยความสุภาพว่า “สวัสดี คุณอา”
เย่ชูวเสวียเมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็ลุกขึ้นมาด้วย และจ้องมองโทรศัพท์อย่างตั้งใจ
“ฉันอยากจะบอกอะไรอย่างหนึ่งกับคุณ คุณ…” ทหารต้วนตั้งใจหยุดพูด แล้วจึงพูดต่อไปว่า “คุณไม่ต้องรออีเหยาแล้ว”
เย่จิงเหยียนถึงกับตะลึง ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความว่างเเปล่า ถามด้วยความหมดหวังว่า “เพราะอะไร”
“ คือนาง ชีพเพื่อชาติแล้ว ลาก่อน” ทหารต้วนเมื่อพูดจบประโยค ก็รีบตัดสายทันที
เย่จิงเหยียนเหมือนกับถูกกดปุ่มหยุด หัวใจก็หยุดเต้น โทรศัพท์บนมือร่วงลงไปกับพื้นดัง “โปะ”
เย่ชูวเสวียเห็นสีหน้าของพี่ชายก็รู้ว่าเกิดเรื่องแล้ว รีบถามไปว่า “คุณอาพูดว่าอะไรนะ”
เย่จิงเหยียนตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
“ พี่ พี่อยากทำให้น้องตกใจสิ บอกมาว่าเกิดอะไรขึ้น” เย่ชูวเสวียขยับแขนของเขา คิดไม่ถึงว่าไม่กี่วินาที ร่างกายที่สูงใหญ่ก็ล้มลงกับพื้น
“พี่—–” กอดเขาไว้แน่น ร้องตะโกนว่า “ คุณพ่อ คุณแม่ รีบมาเร็ว”
เย่ฉ่าวเฉินเมื่อได้ยินเสียงเสียงตะโกนของลูกสาว ก็รีบวิ่งมาดู เห็นเย่จิงเหยียนนอนอยู่บนพื้น สีหน้าเปลี่ยนทันที “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเป็นลมล่ะ”
“ฉันไม่รู้” เย่ชูวเสวียแทบจะน้ำตาไหล “ เมื่อกี้พ่อของพี่อีเหยาโทรมา ไม่รู้ว่าพูดอะไรไปบ้าง จากนั้นพี่ก็เป็นลมทันที ”
เย่ฉ่าวเฉินตกใจ พยุงลูกชายขึ้นมา พูดต่อไปว่า “แย่แล้วแย่แล้ว ต้วนอีเหยาเกิดเรื่องแน่นอน เราพาเขาเข้าไปในห้องก่อนแล้วค่อยพูด”
เมื่อพูดจบ เย่ฉ่าวเฉินกับลูกสาวพยุงแขนคนละข้างหายไปจากข้างทะเลสาบ
มู่เวยเวยรู้ข่าวก็รีบวิ่งมาดู เห็นลูกชายหน้าซีดนอนอยู่บนเตียง ถามด้วยความตกใจ“เกิดอะไรขึ้นกับผิงอัน”
เย่ชูวเสวียเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นพร้อมน้ำตา มู่เวยเวยพูดเหมือนกับสามีว่า “แย่ล่ะ ต้วนอีเหยาต้องเกิดเรื่องแน่ๆเลย”
“ จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นล่ะ ถึงกับทำให้พี่ชายสลบไปด้”
หน้านิ่วคิ้วขมวด พูดอย่างหนักแน่นว่า “หรือว่า …พลีชีพแล้ว”
มู่เวยเวยเช็ดน้ำตาให้ลูกสาว พูดอย่างนุ่มนวลว่า “อย่าร้องไห้เลย พ่อก็แค่เดาเฉยๆ รอให้ผิงอันตื่นเราก็จะรู้เองแหละ”
“หรือจะลองเรียกหมอมาดูไหม” เย่ฉ่าวเฉินถาม
“เมื่อกี้ฉันให้จางเฮ่อโทรไปแล้ว เดี๋ยวเดียวหมอก็จะมาถึงแล้ว”
ทั้ง 3 คนจ้องหน้าไปยังเย่จิงเหยียนที่สลบอยู่ด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง ในใจก็เป็นห่วงแทนเขา ถ้าหากว่าเรื่องเป็นอย่างที่เย่ฉ่าวเฉินเดาไว้ เย่จิงเหยียนจะทำยังไง
เย่จิงเหยียนฝันความฝันนั้นอีกครั้งหนึ่ง ต้วนอีเหยาทั้งตัวเต็มไปเลือดนอนอยู่ในอ้อมกอดของเขา หลังจากนั้นค่อยๆจางหายไป…
“อีเหยา—-” เย่จิงเหยียนตกใจและสะดุ้งตื่นมานั่งบนเตียง สายตาเต็มด้วยความว่างเปล่า
“พี่ขา”เย่ชูวเสวียเรียกเขาเบาๆ ปลุกเขาตื่นจากฝัน “พี่ พี่เป็นอะไรหรือเปล่า”
เย่จิงเหยียนขยับปาก เสียงที่ออกมาเหมือนกับไม่ใช่เสียงตัวเอง ได้ยินเสียงเบาๆว่า “อีเหยาตายแล้ว”
ทั้ง 3 ตกใจกลัว ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง
“อีเหยาตายแล้ว อีเหยาตายแล้ว” เย่จิงเหยียนพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนกับร่างที่ไร้วิญญาณ ไม่รู้ว่าถูกอะไรปลุกให้ตื่น เธอดึงผ้าห่มออกแล้วจะลงจากเตียง แต่ถูกเย่ฉ่าวเฉินห้ามไว้ “นี่ จะไปไหน”
“ผมจะไปหาเธอ ผมไม่เชื่อว่าเธอจะตาย ผมจะต้องไปหาเธอ”เย่จิงเหยียนใช้แรงเพื่อเอามือของพ่อออก เพิ่งจะยืนขึ้นได้ หัวก็เหมือนถูกมีดฟัน สายตาสลึมสลือแล้วก็สลบไปอีก
เย่ชูวเสวียยกมือขึ้นพร้อมน้ำตาคลอง พูดว่า “ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ”
มู่เวยเวยกอดเธอและปลอบใจว่า “ไม่เป็นไร ลูกทำดีแล้ว”
เย่ชูวเสวียพุ่งไปยังอ้อมกอดของแม่ร้องไห้สะอื้นๆ ร้องไห้ไปด้วยพูดไปด้วย “พี่อีเหยาจะตายได้ยังไง เธอเก่งขนาดนั้น จะตายได้ยังไง”
มู่เวยเวยตบหลังเธอเบาๆ เหมือนกับตอนที่โอ๋เธอตอนเป็นเด็ก “ลูกรักของแม่ อยากร้องไห้ก็ร้องไห้เถิด”
“แล้วพี่ชายล่ะทำไง พี่ชอบพี่อีเหยาขนาดนั้น ฮือๆๆ…ทำไมสวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมอย่างนี้”
สิ่งที่ตอบกลับมาหาเธอคือเสียงร้องไห้ที่หนักกว่าเดิมของลูกสาว
เมื่อเวลากลางดึก เย่จิงเหยียนตื่นมาอีกครั้ง เขามองไปยังเพดานที่ขาวสะอาด คิดถึงคำพูดของทหารต้วน น้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
ก็ว่า ทำไมเธอถึงไม่ได้ติดต่อกลับมาเป็นเวลานาน ก็ว่า ทำไมตัวเองถึงฝันแปลกๆ ที่แท้ก็เธอเกิดเรื่อง…
ต้วนอีเหยา ฉันบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือว่าให้ดูแลตัวเองดีๆ เธอดูแลตัวเองยังไง เธอจากไปแล้วฉันจะทำยังไง
ห้องรับแขกชั้นล่าง 3 คนอยู่ด้วยกันโดยไม่มีใครพูดเป็นเวลานาน ในที่สุดเย่ฉ่าวเฉินเอ่ยขึ้นมาว่า “เดี๋ยวฉันโทรหาผบ.ต้วน ยังไงก็ให้ผิงอันไปเห็นหน้าเธอครั้งสุดท้าย”
“ก็ดีเหมือนกัน” มู่เวยเวยเห็นด้วย “ไม่งั้นชีวิตนี้เขาต้องไม่เชื่อเรื่องแบบนี้แน่ ตัดใจตั้งแต่เนิ่นๆก็ดี”
เย่ชูวเสวียยังคงร้องไห้สะอื้นสะอื้นข้างๆแม่
เย่ฉ่าวเฉินจับโทรศัพท์ลูกชายขึ้นมาแล้วกดไปยังสายสุดท้ายที่ได้รับ เสียงโทรศัพท์ดังอยู่นานกว่าจะมีคนรับสาย ทางโน้นเงียบมาก
“สวัสดีครับผู้นำต้วน ผมเป็นพ่อของเย่จิงเหยียน เย่ฉ่าวเฉิน”เย่ฉ่าวเฉินแนะนำตัว
“สวัสดี” ทหารต้วนตอบด้วยท่าทีที่เงียบ เขามีท่าทีที่ไม่ดีต่อตระกูลเย่แล้วจริงๆ
“ฉันได้ยินข่าวคราวที่ไม่ดีของจิงเหยียน ตอนนี้เขาทุกข์โศกมาก”
หรือว่าเขาตั้งใจเตรียมแก้แค้นให้ต้วนอีเหยา
“เดี๋ยวฉันขึ้นไปดูผิงอันก่อน” มู่เวยเวยเตรียมตัวที่จะลุกขึ้น แต่ถูกเย่ฉ่าวเฉินกดไว้ “ไม่ต้องไป ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว ผ่านไปสองสามวันเขาน่าจะดีขึ้นเอง ”
มู่เวยเวยไม่ได้เห็นด้วยกับคำพูดนี้ “ครั้งก่อนเขาพูดว่า อีเหยาคือชีวิตครึ่งหนึ่งของเขา ตอนนี้ครึ่งชีวิตนั้นได้หายไปแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่กว่าจะกลับมาปกติ ”
“พวกเราต้องเชื่อใจผิงอัน เขาเป็นเด็กที่เข้มแข็งตั้งแต่เด็ก และครั้งนี้เขาก็จะผ่านมันไปได้”
“โธ่ เราได้แต่หวังให้เป็นอย่างนี้แหละ”
รอยัลปาร์คอันแสนไกล
จากการพักรักษาตัวหลายวัน ทักษะการฟังของหูข้างซ้ายของต้วนอีเหยานอกจากจะได้ยินเสียงที่ดังมากๆแล้ว ก็ไม่มีปัญหาอะไรอีก หูอีกข้างนึงไม่รู้สึกอะไร
เธอเริ่มรู้สึกสบายใจ
“ผู้นำ จากความพยายามสุดกำลังของเรา ผู้รับบาดเจ็บได้รับการรักษาจนถึงขั้นนี้ เป็นอะไรที่เหลือเชื่อแล้ว” หมอพูดด้วยความรู้สึกเสียใจ
เพียงระยะเวลาไม่กี่วัน ผมของทหารต้วนก็ขาวไปไม่น้อย ตัวก็ดูผอมลงไปเยอะ “แล้วตอนนี้ที่คุณพูดหมายความว่าไง”
“ผมว่าคุณกลับไปรักษาบ้านก็ดี” หมอหยุดไปสักพัก พูดแนะขึ้นว่า“ สามารถใช้เครื่องช่วยฟังก่อน ทำแบบนี้เมื่อมีคนพูดเขาจะได้ยินนิดหนึ่ง และสามารถตอบสนองต่อคู่สนทนาได้ แต่ว่าหากไม่พูดเป็นเวลานาน ผมกลัวว่าจะส่งผลต่อกล่องเสียง ขั้นร้ายแรงอาจจะสูญเสียการได้ยินได้”
“ทำตามที่คุณว่าก็แล้วกัน”
ต้วนอีเหยาเป็นคนที่ผ่านสถานการณ์เฉียดตายมากมาย และเป็นคนที่คิดอะไรออกง่ายๆ เมื่อเห็นหมอยื่นเครื่องช่วยฟัง เธอก็รับไว้ด้วยรอยยิ้ม
ใส่ไว้ที่หูข้างซ้าย เหมือนกับว่าจะได้ยินเสียงนิดนึง ในช่วงที่เธอรับการรักษาเธอพยายามฝึกภาษาริมฝีปาก ฉะนั้นถ้าคู่สนทนาค่อยๆพูด เธอสามารถเดาความหมายโดยรวมได้
“ได้ยินเสียงไหม”ทหารต้วนพูดด้วยน้ำเสียงที่ช้าๆและดัง
ในที่สุดต้วนอีเหยาก็ได้ยินเสียงของพ่อ เธอพยักหน้าอย่างมีความสุข และพูดเสียงแหบว่า “ได้ยินแล้ว”
ไม่ได้พูดเป็นเวลานาน กล่องเสียงของเธอเหมือนกับว่าจะได้รับบาดเจ็บ เวลาพูดต้องใช้แรงมาก แต่สำหรับเธอและพ่อแล้วแบบนี้ถือได้ว่าดีมากแล้ว
ต้วนอีเหยาจิบดื่มน้ำเพื่อให้ชุ่มคอ พูดต่อว่า “พ่อ ฉันได้ยินแล้ว”
นัยน์ตาของทหารต้วนแดงก่ำในวินาทีนั้น “ดี เรากลับบ้านกันเถอะ”
“อืม ”
ต้วนอีเหยาพักอยู่ในซื่อเหอเอวี้ยนที่มีคุณค่าและโบราณหลัง 1ใน รอยัลปาร์ค เป็นสิ่งที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ทันทีที่ทหารต้วนกับต้วนอีเหยามาถึงรอยัลปาร์ค ก็ได้อยู่พักที่นี่ มีคนทำความสะอาดตลอดเวลา ถือได้ว่าสะอาดและน่าอยู่มาก
ใจกลางของสวนหน้าบ้านที่กว้างใหญ่มีโอ่งใบนึง ในโอ่งมีปลาไนอ้วนท้วนสมบูรณ์ว่ายไปมา บนผิวน้ำมีดอกบัวลอยอยู่ไม่กี่ดอก ดูแล้วงดงาม ข้างๆโอ่งน้ำมีเถาองุ่นที่พันต้นไม้ไว้ เป็นเพราะว่าต้นนั้นมีอายุมากแล้ว เถาวัลย์สีเขียวเหมือนกับว่าจะคุมสวนหน้าบ้านไปเกือบครึ่งนึง องุ่นที่ยังไม่สุกพวงเขียวขจี ดูแล้วน่ารักมาก
ทหารต้วนผลักประตูบานนึง ข้างในยังคงปูด้วยอิฐสีเงิน หน้าต่างที่ใส่สะอาด มีแต่เตียงที่ว่างอยู่ เขาเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วนำเครื่องนอนออกมา “วันนี้อากาศดี เหมาะกับการตากเครื่องนอนจริงๆ”
เขาแบกไว้บนหลัง คำพูดของเขาไม่ได้เสียงดัง ดังนั้นต้วนอีเหยาไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด แต่ว่าดูท่าทางของเขา เธอก็พอจะเดาได้
สองพ่อลูกตากผ้าด้วยกัน ช่วยกันทำความสะอาดห้อง แล้วมานั่งไส้ผักใต้ซุ้มเถาองุ่น ผักนั้นชิงหลงเป็นคนซื้อ และเขายังมีหน้าที่ทำกับข้าวด้วย
ต้วนอีเหยาคิดอย่างมีความสุข การอยู่ว่างๆแบบนี้ ก็ไม่ได้เลวเท่าไหร่
แม้ว่าจะขาดหลายๆอย่าง
เวลาบ่ายๆนั่งกินข้าวด้วยกันใต้ซุ้มองุ่น ต้วนอีเหยาพยายามควบคุมเสียงเล็กใหญ่ของตนเอง เธอทำท่าเหมือนจะพูดอยู่ 2 3 ครั้ง ในที่สุดพูดออกมาว่า “พ่อ ฉันอยากปลดประจำการ”
ตะเกียบบนมือของทหารต้วนกับชิงหลงหยุดชะงักทันที
คำถามนี้ต้วนอีเหยาใช้เวลาคิดนานมาก ตอนนี้เธอกลับไปยังกองทัพก็ช่วยอะไรไม่ได้ กลับต้องรับสายตาที่ดูหมิ่นหรือความสงสารจากคนอื่น อีกอย่างเธอไม่อยากเป็นภาระให้กับกองทัพ ฉะนั้นตัวเองปลดประจำการดีกว่า