วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่345 ดอกกุหลาบยี่สิบดอก
ต้วนอีเหยามือไม้สั่น กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่จึงรีบกดวางสาย
เสียงของผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เสียงของเย่ชูวเสวีย และก็ไม่ใช่เสียงของคนที่เธอรู้จัก
เธอคนนั้นเรียกเขาว่าพี่จิงเหยียนช่างดูสนิทสนมกันอะไรเช่นนี้ แถมยังป้อนอาหารกันอีก
ต้วนอีเหยาไม่รู้ว่าควรจะเสียใจหรือควรปล่อยวางดี เธอขว้างโทรศัพท์ไปบนเคาท์เตอร์จากนั้นก็เอนตัวนอนเหม่อลอยที่เปลพับ
เธอรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจราวกับว่ามีก้อนหินก้อนใหญ่ทับไว้อยู่
เธอนิ่งอยู่สักพักก่อนถอนหายใจยาว เธอรู้สึกขมขื่นในใจ คิดในใจใครมันจะไปรอผู้หญิงที่หายไปไม่มีข่าวคราว ไม่มีเธอเขาก็มีผู้หญิงอื่นที่เหมาะสมคอยอยู่ข้างๆเขา
“พี่อีเหยา ได้เวลากินข้าวแล้วค่ะ” ฮัวเสี่ยวกุ้ยเดินถืออาหารเข้ามาในร้าน ต้วนอีเหยาเมื่อได้สติก็รีบเช็ดน้ำตาแล้วพูดด้วยสีหน้าที่เหมือนไม่มีอะไร “ซื้ออะไรมากิน”
“มีก๋วยเตี๋ยวข้ามสะพานกับข้าวผัดไข่ค่ะหนูให้เขาใส่พริกให้แล้วค่ะ พี่อยากกินอันไหนคะ?” ฮัวเสี่ยวกุ้ยไม่ได้สังเกตว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับเธอ เพราะท่าทียังดูยิ้มปกติดี
“เอาข้าวผัดไข่แล้วกัน”
ต้วนอีเหยากำลังกินข้าวผัดไข่เธอรู้สึกว่ารสชาติมันแย่กว่าปกติมากบางทีอาจจะเป็นเพราะเธออารมณ์ไม่ดี
“เสี่ยวกุ้ย แฟนทำงานอะไรเหรอ”
“เป็นพนักงานทั่วไปในบริษัทเล็กๆอ่ะค่ะ”
“แล้วปกติเวลากินข้าวแฟนเธอเขาป้อนไหม” ต้วนอีเหยาไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับคนเป็นแฟนกันต้องทำอะไรบ้างเลยอดไม่ได้ที่จะถาม
ฮัวเสี่ยวกุ้ยงงนิดหน่อยก่อนจะหัวเราะดังออกมา ” พี่จะบ้าเหรอ ไม่มีแบบนี้หรอกค่ะ ขนลุกเลยอ่ะ พี่อีเหยาถามแบบนี้ไปทำไมเหรอคะ? ”
“อ่อ พอดีพี่ไปดูคลิปหนึ่งในเน็ตมาอ่ะ เลยถามไปงั้นแหละ” ต้วนอีเหยาใจสลายราวกับเศษแก้ว ขนาดฮัวเสี่ยวกุ้ยยังรู้สึกขนลุก แล้วพวกเขาล่ะ……
ณ แหล่งท่องเที่ยวเมืองโบราณ
อีกฝ่ายตัดสายไปเย่จิงเหยียนก็รู้งงงวยในใจ รู้สึกแปลกประหลาดเหมือนกับว่ามีคนมาขโมยของบางอย่างไป
“พี่จิงเหยียนกินอีกสักชิ้นนะคะ” “ต้วนจื่ออิ๋งกำลังหยิบขนมโมจิอีกชิ้นเพื่อป้อนเขา แต่เขาก้าวถอยหลังและพูดเบาๆว่า “พี่ไม่ชอบกินของหวาน”
มะกี้เขาไม่ทันระวังโดนต้วนจื่ออิ๋งยัดขนมเข้าปากจนถึงตอนนี้ยังรู้สึกอึดอัดท้องอยู่เลย
“ใครโทรเหรอคะ ทำไมเหม่อลอยอย่างนี้”
“น่าจะโทรผิดอ่ะ ชูเสวียทุกคนไปไหนกันหมดแล้วเหรอ?”เย่จิงเหยียนค่อยๆเงยหน้าขึ้น เขารู้สึกประหม่าและไม่ชินที่ต้องอยู่สองต่อสองกับผู้หญิงที่เพิ่งรู้จัก ถึงเธอจะหน้าเหมือนอีเหยาก็ตาม
ต้วนจื่ออิ๋งรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแล้วชี้ไปที่ตรอกข้างหน้า”พวกเขาไปอยู่ตรงนั้นค่ะ”
“งั้นพวกเราตามพวกเขาไปเถอะ” พูดจบเย่จิงเหยียนก็รีบลุกขึ้นเดินออกไป แล้วต้วนจื่ออิ๋งก็รีบวิ่งตามไป
ในวันหยุดสุดสัปดาห์มีผู้คนมากมายมาเที่ยวที่เมืองโบราณ ส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนที่อยู่ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ต้วนจื่ออิ๋งตั้งใจเบียดไปที่ตัวของเย่จิงเหยียนและมือของเธอสัมผัสมือของเขา ในใจเธออยากจะจับมือเขามากแต่กลัวว่าเขาจะสะบัดมือเธอทิ้ง
เย่จิงเหยียนรู้ทันจึงเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
เขาแสดงออกว่ารำคาญต้วนจื่ออิ๋ง ถ้ามะกี้เธอมีความกล้าเข้าไปจับมือเขาในตอนนี้อาจมีความหวังอยู่บ้าง
“พี่คะ กินร้านนี้เถอะ ตอนนี้อากาศร้อนแล้วอยากพักผ่อนสักหน่อย” เย่ชูวเสวียยืนอยู่ที่ทางเข้าร้านอาหารโบราณ เธอสวมหมวกใบใหญ่และใส่แว่นกันแดดแต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถบดบังความสวยของเธอได้ ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างก็หันมามองเธอ
“อืม งั้นร้านนี้ก็ได้”
พวกเขาไปนั่งที่ห้องวีไอพีชั้นสอง ด้านนอกหน้าต่างเป็นสะพานเล็กๆมีน้ำใสไหลผ่าน กลุ่มปลาคาร์ฟว่ายอยู่ในน้ำและมีลมเย็นๆพัดเข้ามา บรรยากาศช่างน่ารื่นรมย์ใจ
หลังจากสั่งอาหารไปสองสามจาน พนักงานเสิร์ฟก็หน้าแดงรู้สึกประหม่ารีบเติมน้ำชาจากนั้นรีบเดินถอยหลังไปสามก้าว ไม่เคยเห็นลูกค้าเป็นกลุ่มไฮโซชั้นสูงขนาดนี้มาก่อน
“เสี่ยวอวี้หลินเมื่อไหร่จะไปยุโรป?” เย่จิงเหยียนมือหนึ่งวางแขนไว้ข้างหน้าต่าง อีกมือหนึ่งยกน้ำชาขึ้นมาดื่ม
เสี่ยวอวี้หลินยิ้ม” ใกล้แล้วแหละ พวกเราเคยคุยเรื่องนี้กันแล้ว อยากจะถอนกิจการที่ยุโรปกลับมา คุณยายกับพ่อแม่อายุเยอะแล้ว ฉันอยากอยู่ใกล้ๆพวกเขามากขึ้น
เย่ชูวเสวียพูดอย่างรีบร้อน “เอ่อ ปราสาทที่ยุโรปเก็บมันไว้ได้ไหม ฉันชอบมันมาก ถ้ามีเวลาว่างอยากไปพักผ่อนสักช่วงหนึ่ง”
“แน่นอนอยู่แล้ว คุณยายกำชับหนักแน่นว่าต้องเก็บปราสาทหรูหราที่สุดในอังกฤษไว้ให้เธอ”
เย่ชูวเสวียดวงตาเป็นประกาย “คุณยายดีกับฉันเสมอ ฉันจะทำเค้กให้คุณยายเองในวันพรุ่งนี้”
“พี่ใหญ่ ได้ยินว่าพี่จะไปเมืองหลวงเหรอ ไปทำอะไรเหรอ” มู่ยู่วฉีถามไปยิ้มไป
เย่จิงเหยียนที่กำลังจิบชาอยู่ถึงกับเลิกคิ้ว “ใครบอกเหรอว่าพี่จะไปเมืองหลวง”
มู่ยู่วฉีมองไปที่ใครบางคนในโต๊ะ เย่ชูวเสวียร้อนตัวตะโกนออกมาว่า”ก็บอกไงว่าอย่าบอกใคร”
“ฉันยังไม่พูดอะไรเลย”
เย่จิงเหยียนจ้องมองน้องสาวของตัวเอง “ช่างมันเถอะ รู้งี้ไม่รีบบอกพวกเธอซะดีกว่า”
“พี่ใหญ่ ประชุมอะไรคะ ทำไมต้องเป็นความลับขนาดนี้”
“การประชุมของกระทรวงพาณิชย์อ่ะ อย่างอื่นพี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ครึ่งเดือนที่ผ่านมา เย่จิงเหยียนได้รับสายโทรศัพท์สายหนึ่งจากเมืองหลวง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่โทรหาเขาเป็นการส่วนตัว โดยบอกว่าผู้นำเรียกเขาเข้าร่วมการประชุม ตอนแรกเย่จิงเหยียนคิดว่ามันเป็นการโทรหลอกลวงและรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงเมื่อเขาเห็นจดหมายเชิญอย่างเป็นทางการ แต่เขาไม่รู้ว่าการประชุมนั้นเกี่ยวกับอะไร
“พี่จะไปเมืองหลวงเหรอคะ?” ต้วนจื่ออิ๋งถามด้วยความตื่นเต้น
“ยังเหลือเวลาอีกอาทิตย์หนึ่ง”
ต้วนจื่ออิ๋งพูดด้วยความกล้า”ให้หนูไปเป็นเพื่อนพี่นะคะ ถึงเวลานั้นหนูเป็นไกด์ให้พี่เอง พาพี่ไปเที่ยวรอบปักกิ่งเลยค่ะ”
เย่จิงเหยียนพูดผ่านๆ” ค่อยคุยกันอีกทีเถอะ ไม่รู้จะมีเวลาหรือเปล่า”
“พี่ใหญ่พาฉันไปด้วยได้ไหมคะ อยากไปเปิดหูเปิดตาบ้าง” มู่ยู่วฉีขอร้องอ้อนวอน
เย่จิงเหยียนเผลอหัวเราะออกมา”เอ่อ จะพาไปด้วยยังไง”
มู่ยู่วฉีตบที่อกของตัวเองแล้วพูดว่า”ให้ฉันไปเป็นผู้ช่วยของพี่ก็ได้นะ เดี๋ยวฉันจะคอยบริการรับใช้พี่อย่างดีเลย”
“ผู้ช่วยค่าตัวแพงขนาดนี้พี่จ้างไม่ไหวหรอก”
“พี่ใหญ่ ขอร้องล่ะพาฉันไปด้วยนะ”
เย่จิงเหยียนเริ่มรู้สึกสงสัย “ทำไมพี่ต้องพาเราไปด้วยล่ะ”
เสี่ยวอวี้หลินรีบพูดแทนพี่ชายของตัวเอง” พี่ใหญ่ ไม่รู้หรอกว่าเขาแอบชอบดาราหญิงคนหนึ่ง ตอนนี้เธอกำลังถ่ายละครอยู่ที่ปักกิ่ง แต่ว่าพ่อแม่ไม่เห็นด้วยที่จะให้เขาคบกับผู้หญิงในวงการบันเทิง ห้ามเขาไม่ให้ไปที่ปักกิ่ง แต่ถ้าพี่พาเขาไปด้วยก็จะได้ใช้ข้ออ้างนี้”
“อะไร? ดาราหญิง?” เย่จิงเหยียนกับเย่ชูวเสวียพูดพร้อมกัน “คนไหน? ทำไมไม่เคยบอกพี่”
“โอ้ย ไม่ต้องถามแล้ว เรื่องนี้พูดไปยังไงก็ไม่จบเดี๋ยวรอผลลัพธ์ค่อยบอกพวกพี่ก็ยังไม่สาย”
“ถ้าคุณลุงกับคุณป้ารู้เรื่องเข้าต้องด่าพี่แน่นอนเลย” เย่จิงเหยียนรู้สึกเป็นกังวล
“ถ้าพวกเราไม่มีใครพูดพวกเขาก็ไม่รู้ ถ้าให้พูดอีกพ่อแม่เขารักพี่จะตาย จะด่าลงเหรอ”
เย่จิงเหยียนลังเลอยู่พักหนึ่งแต่เมื่อดูสภาพที่น่าสงสารของเขาที่อยากพบคนที่อยากเจอแต่กลับเจอไม่ได้ จึงยอมใจอ่อนให้ไปด้วย “โอเค พี่ให้ไปด้วย แต่อย่าเผลอไปพูดอะไรออกไปล่ะ”
“ฉันก็อยากไปด้วยเหมือนกัน”
“ไปไม่ได้!”เย่จิงเหยียนกับมู่ยู่วฉีพูดพร้อมกัน
“เชอะ ไม่ไปก็ไม่ไป”เย่ชูวเสวียทำหน้าบึ้งตึง
เย่จิงเหยียนพูดกับมู่ยู่วฉีอย่างเคร่งขรึม “ทำตัวให้สบายนะอย่าทำให้เป็นเรื่องอื้อฉาว ถ้าคุณลุงรู้เข้าจะขัดขวางนายทุกวิธีทางแน่”
“โอเค พี่ไม่ต้องห่วง ฉันเตรียมการเป็นอย่างดีแล้ว”
ต้วนจื่ออิ๋งจินตนาการถึงความสุขที่เย่จิงเหยียนจะไปที่เมืองหลวง ถึงเวลานั้นเธอต้องพาเขาไปพักอยู่ในบ้านของเธอที่นั่น
เมื่อเทศกาลชีซีเวียนมาอีกครั้ง
ต้วนอีเหยากับฮัวเสี่ยวกุ้ยตื่นขึ้นมาเปิดร้านตอนเวลาประมาณแปดโมงเช้า เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับยอดขายที่ดีในวันนี้ หลังจากเปิดร้านผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็มียอดสั่งจองเข้ามา
“แม่ค้าครับ ผมเอาดอกกุหลาบยี่สิบช่อครับ”ชายหนุ่มในชุดสูทและสวมใส่รองเท้าหนังพูดด้วยรอยยิ้ม
ต้วนอีเหยาตกใจก่อนจะพูดว่า “คุณต้องการไปทำไมเยอะขนาดนั้น”
ชายหนุ่มอธิบายว่า”วันนี้เป็นเทศกาลชีซี เจ้านายของผมจะนำดอกกุหลาบไปมอบให้กับพนักงานหญิงทุกคนในบริษัทครับ”
“ได้ค่ะ แต่ละช่อต้องการใส่ดอกไม้กี่ดอกคะ”
ชายหนุ่มพูดอย่างชิลๆ”แล้วแต่เลยครับ”
“อะไรนะคะ”
“เอ่อ คือผมหมายความว่าเรื่องแบบนี้ผมไม่ค่อยเข้าใจให้คุณจัดการให้เลยครับ” ชายหนุ่มพูดในใจก็เจ้านายบอกแค่ว่าสั่งดอกกุหลาบ 20ดอกที่นี่แต่ไม่ได้บอกว่าให้จัดดอกไม้ยังไง
“งั้นเอาเป็น20ดอกต่อหนึ่งช่อแล้วกันนะคะ เพราะมีความหมายแฝงว่าวัยแรกแย้มที่แสนงดงาม” ต้วนอีเหยาหยิบจับภาษาดอกไม้มาใช้โดยความเป็นธรรมชาติ
“ได้ครับ เอาตามนี้เลยครับ”
ต้วนอีเหยายิ้มแล้วพูดว่า “ดอกกุหลาบจำนวน20ช่อเยอะมากเลยนะคะ คุณขับรถมาอยู่ใช่ไหม”
ชายหนุมชี้มือไปที่รถกระบะที่จอดอยู่ประตูทางเข้า”เป็นรถที่ไปยืมมาโดยเฉพาะเลยครับ”
“ฮ่าๆ ทำไมเจ้านายของคุณน่ารักจังเลย คุณไปเดินเล่นแถวนี้รอก่อนนะคะ ประมาณชั่วโมงกว่าค่อยมาเอาดอกไม้นะ”
“โอเคครับเดี๋ยวผมจ่ายเงินไว้เลย ทั้งหมดเท่าไหร่ครับ”
“6000หยวนค่ะ ” ช่วงเทศกาลแบบนี้ดอกกุหลาบจะมีราคาแพงมาก เป็นเรื่องปกติที่จะขายในราคาดอกละ15หยวน
ชายหนุ่มไม่สนใจถามเรื่องราคาเขาหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าหนังสีดำของเขาและนับมันแล้วยื่นให้เธอ “6000 หยวน”
ต้วนอีเหยาก็ไม่ได้นับเงินเช่นกันพอรับเงินมาก็โยนเงินลงในลิ้นชักเลย ลูกค้ารายใหญ่ประเภทนี้มักจะไม่โกงคน
หลังจากที่ชายคนนั้นเดินออกไปต้วนอีเหยากับฮัวเสี่ยวกุ้ยก็ยุ่งอยู่การจัดดอกไม้ ในช่วงเวลานี้เธอยังได้เรียนรู้วิธีการห่อช่อดอกไม้แม้ว่าความเร็วจะไม่เท่าฮัวเสี่ยวกุ้ยแต่ก็พอช่วยให้งานเสร็จเร็วมากขึ้น
“สวัสดีตอนเช้า” ไป๋จิ่นอี้เดินเข้ามาในร้าน “ว้าว ทำไมวันนี้ขายดีขนาดนี้แค่ตอนเช้าก็ได้ยอดจองเยอะแล้วอ่ะ”
ต้วนอีเหยาหันหน้าไปมองไป๋จิ่นอี้ที่สวมใส่เสื้อยืดสีขาวพร้อมแจ็คเก็ตสีฟ้าด้านนอกและสวมใส่กางเกงยีนส์สีอ่อน ที่เท้าสวมรองเท้าผ้าใบสีขาวดูอ่อนกว่าอายุเยอะเลย
“มีบริษัทแห่งหนึ่งเพิ่งสั่งซื้อดอกกุหลาบ20ช่อ โชคดีที่มีของจำนวนมากที่สั่งไว้ในวันนั้นไม่เช่นนั้นวันนี้ก็ไม่พอใช้หรอก” ต้วนอีเหยาพูดไปด้วยในขณะตัดแต่งกิ่งดอกไม้
“มีอะไรให้ฉันช่วยไหม วันนี้ฉันว่างมากเลยแหละ”
“ถ้างั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะ นายไปเอาดอกกุหลาบจากตรงนั้นมาไว้ตรงนี้ ระวังหนามมันด้วยนะ”
“ได้เลย ไม่มีปัญหา”
ผู้ชายและผู้หญิงทำงานร่วมกันมักจะไม่เหนื่อย ไป๋จิ่นอี้เป็นคนฉลาดแถมยังตลกอีกด้วย เขามักจะพูดเรื่องตลกเล่นกับสองสาวอยู่เสมอ
ไป่จิ่นอี้อาศัยจังหวะที่ต้วนอีเหยาไม่สนใจ แอบถามฮัวเสี่ยวกุ้ยเบาๆ “วันนี้ตอนเย็นเธอมีนัดหรือยัง?”
“มีนัดแล้ว”ฮั่วเสี่ยวกุ้ยไม่ได้โง่ถึงขนาดที่คิดว่าไป๋จิ่นอี้ชอบเธอเลยพูดออกไปว่า “พี่ไป๋ อยากนัดเจ้านายของเราไปออกเดทเหรอ”
“ฉลาดมาก” ไป๋จิ่นอี้แทบจะไม่เขินอายเลย
“สบายใจได้เลย ฉันไม่ไปเป็นก้างขวางคอหรอก ตอนเย็นฉันมีนัดไปกินข้าวกับแฟนเรียบร้อยแล้ว”
เมื่อได้ฟังเช่นนี้เขาก็ค่อยสบายใจหน่อย ตอนแรกเขายังคิดจะจ้างฮัวเสี่ยวกุ้ยไม่ให้ไปด้วยอยู่เลย
“งั้นก็ขอให้เที่ยวกับแฟนสนุกๆนะ”
ฮัวเสี่ยวกุ้ยหัวเราะคิกคักแล้วก็ไปทำงานต่อ
ไป๋จิ่นอี้ช่วยงานไปด้วยและยังวางแผนในใจว่าจะนัดหมายกับต้วนอีเหยาเมื่อเสร็จงานยังไงให้ดูเป็นธรรมชาติ แต่เขาไม่คาดคิดว่าการมาของคนกลุ่มหนึ่งจะทำลายแผนการของเขาไปโดยสิ้นเชิง
ประมาณห้าโมงเย็นดอกกุหลาบทั้งหมดในร้านก็ขายหมดแล้วและยอดเงินหมุนเวียนเพิ่มขึ้นหลายเท่า ในขณะที่ทุกคนกำลังเก็บงานทำความสะอาดก็มีเสียงดังมาจากประตู
“พี่ใหญ่!”
ฮัวเสี่ยวกุ้ยและไป๋จิ่นอี้ถึงกับผงะหันศีรษะไปมองที่พวกเขา ในตอนพลบค่ำมีชายร่างกำยำกว่าสิบคนที่ยืนอยู่ที่ประตู ร่างกายของแต่ละคนดูมีพลังกำลังอย่างเหลือเชื่อ
ต้วนอีเหยาไม่ได้ยินเสียงและยังคงจัดดอกไม้ในมือของเธอในเวลานี้มีคนตะโกนเรียกอีกครั้งว่า “พี่ใหญ่!”
ต้วนอีเหยาหันหน้าไปมองตามเสียงนั้น ก็แทบจะน้ำตาซึมทันที
เธอวางดอกไม้ในมือลงแล้วเดินไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันจะเปิดประตูก็ได้ยินเสียงดังอยู่ข้างนอก “พี่ใหญ่ พวกเรามาหาพี่แล้ว……พี่สบายดีไหม?”
ต้วนอีเหยายิ้มอย่างสดใสแต่เสียงของเธอคล้ายกับกำลังจะร้องไห้”พวกนายมาที่นี่ได้ยังไง?”
ไป๋จิ่นอี้และฮัวเสี่ยวกุ้ยต่างตกตะลึงและสงสัยว่าทำไมคนกลุ่มนี้เวลาเรียกต้วนอีเหยาว่า “พี่ใหญ่” ถึงต้องทำวันทยหัตถ์เคารพพร้อมกันด้วย
ต้วนอีเหยาน้ำตาไหลและทำท่าวันทยหัตถ์ตอบพวกเขาด้วย ในเวลานี้ฮัวเสี่ยวกุ้ยเริ่มเข้าใจว่าต้วนอีเหยาเคยเป็นทหารมาก่อน
“พี่ใหญ่ อาการบาดเจ็บของพี่เป็นยังไงบ้าง ความสามารถในการฟังของหูดีขึ้นหรือยัง?”
จูเชวี่ยถามไถ่อาการของเธอ ชายกำยำร่างสูงร้อยแปดสิบน้ำตาคลอเบ้า
ต้วนอีเหยาหัวเราะร้องไห้พร้อมกับเตะไปที่เขาหนึ่งครั้ง “ร้องไห้ทำไมฉันยังไม่ตาย”
จูเชวี่ยรีบเช็ดน้ำตาของตัวเอง แล้วยิ้มเบาๆ”พี่ใหญ่ พี่ยังสามารถเตะตีฉันได้ นั้นก็หมายความว่าพี่ไม่ได้มองฉันเป็นคนอื่น”
“แล้วทำไมพวกนายถึงมาพร้อมกันได้? ทำไมครั้งนี้ผู้นำดูใจดีจัง?”
“ช่วงนี้กองกำลังของพวกเราต้องเข้าร่วมฝึกแล้ว วันนี้ตอนบ่ายพวกเราเพิ่งมาถึง พรุ่งนี้ต้องเริ่มฝึกแล้ว ”
“ไม่เลวไม่เลว” ต้วนอีเหยามองดูแต่ละคนแล้วภาพฉากการต่อสู้ร่วมกันครั้งหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว ความรู้สึกในตอนนี้ราวกับว่าอยู่กันคนละโลก
ชิงหลงน้ำตาซึม “พี่ใหญ่ พวกเราสามารถช่วยอะไรพี่ได้บ้างอ่ะ?”
“ใช่ๆ พี่ใหญ่มีอะไรให้ช่วยรีบบอกพวกเราเลยนะ” เสียงของพวกเขาคุยดังเต็มร้านดอกไม้
ต้วนอีเหยาเอามือทำสัญลักษณ์หยุดทุกคนก็เงียบลงทันที เธอหัวเราะก่อนจะพูดว่า” ทำเสร็จหมดแล้ว เตรียมตัวจะปิดร้านแล้วล่ะ”
“พี่ใหญ่ เดี๋ยวพวกเราช่วยพีทำความสะอาดแล้วไปทานอาหารเย็นกันนะ พวกเรามีเรื่องจะพูดกับพี่มากมายเลย”
“ใช่ ทุกคนคิดถึงพี่มาก”
ต้วนอีเหยาพยักหน้า “ก็ได้” หลังจากนั้นเธอก็ตะโกนเรียกสองคนนั้น”เสี่ยวกุ้ยกับไปจิ่นอี้พวกคุณมานี้หน่อย”
คนสองคนที่แอบฟังอยู่เงียบๆและตกตะลึงใจเป็นเวลานานเดินมาอยู่่ตรงทางเข้าของร้าน ไป๋จิ่นอี้เคยเห็นโลกภายนอกมาเยอะแล้วเลยแสดงออกด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่ง แต่ฮัวเสี่ยวกุ้ยกลับเบิกตากว้างเธอไม่เคยเห็นหนุ่มร่างกำยำกล้ามแน่นแบบนี้มาก่อน
“ฉันอยากจะแนะนำให้ทุกคนรู้จัก นี่คือฮัวเสี่ยวกุ้ยเป็นพนักงานในร้านของฉัน”
ฮัวเสี่ยวกุ้ยโบกมือทักทายให้ทุกคนอย่างเขินอาย”สวัสดีค่ะ”
“นี่คือเพื่อนใหม่ของฉัน ไป๋จิ่นอี้เป็นอาจารย์มหาลัย วันนี้เขามาช่วยงานที่ร้าน”