วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่352 นอกจากเธอจะฟื้นขึ้นมา
“อยากกินซี่โครงหมูตุ๋นไม่ใช่หรอ วันนี้ว่างพอดี เดี๋ยวฉันทำให้”
ต้วนอีเหยายอมรับว่าเธอใจอ่อน เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ชายที่ดีต่อเธออย่างสุดใจ ความรู้สึกผิดจะเอาชนะเหตุผลได้เสมอ
แน่นอนว่าหลังจากที่ไป๋จินอี้ได้ยินสิ่งนี้เธอพูดก็รู้สึกประหลาดใจมาก “จริงหรอ?”
เขาต้องการเข้าไปในชีวิตของต้วนอีเหยามาโดยตลอด แต่เขาไม่มีโอกาส ครั้งนี้เธอริเริ่มเสนอสิ่งนี้ โดยที่เขาไม่คาดคิด
“ไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ตกันเถอะ ที่ฉันไม่มีอะไรเลย”
ไป๋จิ่นอี้จับหัวตัวเองอย่างเขินๆ เขาไม่ใช่คนพิถิพิถันมากนัก เมื่ออยู่คนเดียวก็ส่วนมากออกไปทานอาหารข้างนอก ในตู้เย็นตั้งแต่พ่อกับแม่จากไปก็โล่งมาตลอด
“อืม ไปกันเถอะ” ต้วนอีเหยาไม่คิดว่ามันแปลก ใครสักคนที่จะทำอาหารไม่เป็น อย่างเช่นเธอถ้าให้ไปสอนนักศึกษาเธอเองก็ทำไม่ได้
เมื่อเขาเดินไปที่รถ ไป๋จิ่นอี้ก็มีความยากลำบากในอีกครั้ง ที่จริงรถคันนี้ต้องเอาไปซ่อมที่ร้าน4S แต่ที่ร้านดอกไม้ไม่มีรถโดยสารเขาเลยจำต้องขับมา แต่ตอนนี้เพื่อความปลอดภัยของพวกเขา เรียกแท็กซี่ดีกว่า
มีรถแท็กซี่แล่นมาบนถนน ไป๋จิ่นอี้โบกมือ ก็มีรถมาจอดตรงหน้าพวกเขา
แต่รถคันนั้นไม่ใช่แท็กซี่ หลังจากหยุดได้สักพัก ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินลงมาพร้อมกับคีบบุหรี่ในปากและมีเหล็กเรียวยาวอยู่ในมือ
หลังจากนั้นวัยรุ่นอีกสองสามคนตามมา จากนั้นลูกพี่ก็เดินวนไปรอบๆไป๋จิ่นอี้และต้วนอีเหยา “แกใช่ไหม…….ที่เป็นครูไป๋อะไรคนนั้น?”
ไป๋จิ่นอี้ขมวดคิ้ว จับมือต้วนจิงเหยามาอยู่หลังเขา “ฉันนามสกุลไป๋”
“หยุดพูดเรื่องไร้สาระ ฉันไม่สนใจว่านามสกุลของแกคือไป๋หรือเฮย” ชายหนุ่มขัดจังหวะเขา “มึงทำให้เสี่ยวเฟิงต้องเสียน้ำตา กูไม่ปล่อยมึงไว้แน่!”
ชายหนุ่มตะโกนเสียงดังออกมา พร้อมกับแกว่งท่อนเหล็กในมือ “ มึงมีอะไรอยากพูดอีกไหม?”
หัวใจของไป๋จิ่นอี้บีบแน่น “พวกแกเป็นใคร?” เขาจำไม่ได้ว่ามีนักเรียนแบบนี้อยู่ในโรงเรียน
ชายหนุ่มหัวเราะเยาะ“ ทำไม? กลัวเหรอ? เสี่ยวเฟิงเป็นผู้หญิงของฉัน แกทำให้เธอร้องไห้ ก็น่าจะรู้แต่แรกแล้วว่าจะเจออะไร!”
ความอดทนของเขาหมดลง เขาถอยกลับไปหนึ่งก้าวและปล่อยให้คนข้างหลังขึ้นไปล้อมไป๋จิ่นอี้และต้วนอีเหยา
ไป๋จิ่นอี้ขมวดคิ้ว จับมือเธอและพูดว่า “เรื่องนี้เป็นความผิดของฉัน มันไม่เกี่ยวกับผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังฉัน พวกแกปล่อยเธอไปเถอะ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด คนที่กำลังจะลงมือ ทุกคนก็มองไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลัง ชายหนุ่มก็โบกมือ “กูก็ไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล มึงให้ผู้หญิงของมึงเดินออกไปเอง พวกกูจะไม่แตะต้องเธอ”
ไป๋จิ่นอี้หันกลับมาและพูดกับต้วนอีเหยา “อีเหยา เธอออกไปก่อน”
ต้วนอีเหยายิ้มเล็กน้อยและลูบข้อมือของเธอ ” ความจริงแล้ว เรื่องนี้ก็เป็นเพราะฉัน เธอไมได้ทำอะไร ฉันจะหนีไปคนเดียวได้ไง?”
หันคอไปรอบๆ ดวงตาเย็นชา “อยากทำอะไรก็รีบทำ อย่ามาเสียเวลา!”
“อีเหยา!” ไป๋จิ่นยี่เรียกชื่อเธอ
“อัยยะ ผู้หญิงคนนี้เจ้าอารมณ์จังวะ ถ้าเป็นแบบนี้ อย่าโทษว่าฉันกลั่นแกล้งผู้หญิงแล้วกัน!”
เขาออกคำสั่งสองคนนั้น “ จัดการ!”
เมื่อได้ยินคำสั่งของเขา ชายหนุ่มก็ไม่ลังเลอีกต่อไป คนที่อยู่ด้านหน้าถือท่อนเหล็กและเล็งไปที่ไป๋จิ่นอี้ พยายามจะฟาดไปที่เขา
ในขณะเดียวกัน ต้วนอีเหยาก็กระโดดออกมาจากด้านหลัง ไป๋จิ่นอี้จับท่อนเหล็กที่ตกลงมา ใช้ขาหลังเตะไปที่ชายหนุ่มจนเขาเซล้มลงกับพื้น
“โอ้ย!”
ชายคนนั้นร้องออกมา ทุกคนกลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเห็นคนที่นอนอยู่บนพื้น ทุกคนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“แก……แกแกแก นังตัวดี อย่าคิดว่าฉันไม่กล้าทำผู้หญิงนะ!” ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังรีบออกมา ฟาดท่อนเหล็กเล็งไปที่หัวของต้วนอีเหยา
ต้วนอีเหยาหัวเราะเยาะ ขยับก้าวหลีกเลี่ยงอย่างง่ายดาย เตะเบาๆผู้ชายคนนั้นก็ล้มลงกับพื้น
“ มีใครอีก?” ต้วนอีเหยาลุกขึ้นยืนมองไปรอบๆ ทุกคนอดไม่ได้ที่จะถอยหลัง
เธอหันกลับมาและเดินไปที่ด้านข้างของไป๋จิ่นอี้ ยื่นมือออกไปเพื่อผลักเขาเบาๆ “อะไรกัน? ฉันทำให้ตกใจหรอ?”
ไป๋จิ่นอี้ได้สติขึ้นมาเหมือนความฝันและส่ายหัว “ไม่คิดว่าเธอจะเท่ขนาดนี้”
“เมื่อก่อนฉันเคยฝึกในกองทัพอย่างหนัก ก็เลยแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดา”
“อีเหยา!” ไป๋จินยี่เบิกตากว้างและมองไปข้างหลังเธอต้ วนอีเหยาหันไปอย่างช้าๆ ก็เห็นพวกมันอยู่หลังเธอ
ไป๋จินยี่ไม่รู้ว่าพวกมันมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ชายหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บกัดฟันและเหวี่ยงท่อนเหล็กในมือออกไป
ไป๋จิ่นอี้หลับตาและกำลังจะรับแรงกระแทก แต่ร่างของเขากลับถูกผลักออกไป เมื่อเขาลืมตาขึ้นเขาก็พบว่าทั้งสองนอนอยู่บนพื้นแล้ว
ต้วนอีเหยาผลักเขาด้วยความโกรธ “ซื่อบื้อหรอ? เห็นท่อนเหล็กฟาดมายังมายืนนิ่งหน้าฉันอีก!”
เมื่อเห็นว่าต้วนอีเหยายังมีชีวิตอยู่ เขาก็ถอนหายใจยาวๆอย่างโล่งอก “เธอไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว!”
หัวใจของต้วนอีเหยาอ่อนลง คิ้วที่ขมวดของเธอค่อยๆคลายออก ที่แท้ที่เขายืนนิ่งหน้าเธอเพราะ……
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ประตูรีบวิ่งมา เมื่อเขาได้ยินการเคลื่อนไหว เมื่อเห็นว่าการลอบโจมตีไม่สำเร็จ ชายคนนั้นก็รีบลากเท้าที่ได้รับบาดเจ็บขึ้นไปบนรถ กลุ่มพี่น้องของเขากลัวมากจึงทิ้งอาวุธและวิ่งตามไป
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรวจสอบและพบไป๋จิ่นอี้และต้วนอีเหยา จึงรีบวิ่งเข้าไปดู “ครูไป๋ เป็นอะไรไหม?”
ไป๋จิ่นอี้โบกมือและกำลังจะพูดมีอาการเจ็บแปลบที่เอวของเขา “แกร๊ก…… ”
“ เป็นอะไร?” ต้วนอีเหยามองไปที่เขาอย่างเป็นห่วง เห็นเขามองตัวเองผิดปกติก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าเขายังนอนอยู่บนพื้น
เธอรีบลุกขึ้นและยื่นมือออกไปเพื่อดึงไป๋จิ่นอี้ แต่ไป๋จิ่นอี้กลับขมวดคิ้วและปฏิเสธเธอ “ไม่เป็นไร ฉันค่อยๆ……ลุกขึ้นเอง”
“เธอเป็นอะไร?” ต้วนอีเหยาตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติและนั่งลงมองไปรอบๆตัวเขา
ก็เห็นว่าเขากำลังจับเอวตัวเองอยู่ เธอจึงเม้มริมฝีปากและดึงมือของเขาออกไป ไป๋จินยี่ขมวดคิ้วเป็นรูปเลขแปดแต่ไม่พูดอะไร
“ เอวเคล็ดหรอ?”
ไป๋จิ่นอี้พยักหน้าอย่างยากลำบากใจ “ไม่เป็นไร ไม่ได้ปวดขนาดนั้น”
ต้วนอีเหยาลูบคิ้วของเธอ เธอประมาทเอง เธอตัวใหญ่ขนาดนี้ล้มลงไปทับตัวเขา ไม่แปลกที่เขาจะปวดเอว แถมที่ข้างๆยังมีก้อนหินขนาดใหญ่อีก
ด้วยความช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ต้วนอีเหยาจึงพาไป๋จิ่นอี้ขึ้นรถแท็กซี่ ในสถานการณ์ของเขาตอนนี้แค่ขยับยังลำบาก อย่าพูดถึงไปซุปเปอร์มาเก็ตเลย ทางที่ดีที่สุดคือไปโรงพยาบาลก่อน
ต้วนอีเหยายืนอยู่ที่ทางเข้าโรงพยาบาลและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ในช่วงเวลานี้เธอดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์กับโรงพยาบาล มาไม่หยุดเลย
“กลับบ้านแล้ว พักผ่อนให้เพียงพอและอย่าเพิ่งออกกำลังกาย”
หมอเซ็นบันทึกในรายการสองสามใบ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นเขาก็เห็นต้วนอีเหยา “ทำไมเป็นพวกคุณอีกแล้ว?”
ต้วนอีเหยาแตะจมูกด้วยความลำบากใจ แพทย์หญิงคนนี้ไม่ใช่นรีแพทย์หรอ? ทำไมถึงมาอยู่แผนกศัลยกรรมกระดูกได้?
แพทย์หญิงดูเหมือนจะเห็นความคิดของเธอ จึงอธิบายว่า “ฉันเรียนวิชาเอกศัลยกรรมกระดูกมา แน่นอนฉันเรียนสูตินรีเวชมาดีด้วย ครูของฉันออกไปบรรยายเมื่อสองสามวันก่อนและฉันก็เลยมาแทนสองสามวัน ”
หลังจากพูดจบ ก็หันไปมองพวกเขาอีกครั้ง “คุณควรใช้ควรยับยั้งชั่งใจก่อนนะช่วงนี้ กลัวว่าจะไปกระทบกับกระดูกของเขา ต้องจำไว้สุขภาพสำคัญกว่า”
ใบหน้าของต้วนอีเหยาแดงและรีบพูดว่า “เราไม่ได้…… ”
“ฉันรู้ว่าคู่หนุ่มสาวร้อนรุ่ม แต่จากมุมมองทางการแพทย์ การออกกำลังกายบนเตียงมากเกินไปไม่ดีต่อสุขภาพ”
ในเวลานี้แม้แต่ไป๋จิ่นยี่ก็เริ่มเขิน ก้มศีรษะลงและไม่กล้าพูดเพราะกลัวว่ายิ่งอธิบายยิ่งเข้าใจผิด
ต้วนอีเหยาหายใจไม่ออก ตอนนี้หมอเขาเปิดใจขนาดนี้แล้วหรอ?
เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ได้พูด แพทย์หญิงก็คิดว่าเธอยอมรับแล้ว “ฉันพูดถูกสินะ วันนี้กลับไปอย่าเพิ่งทำอะไรนะ ถ้าเอวเป็นอะไรมีผลต่อชีวิตตลอดไป”
ก่อนที่คำพูดจะจบ เธอกระพริบตาให้ต้วนอีเหยา เป็นผู้หญิงเหมือนกันทำไมจะไม่รู้ล่ะ? ลำบากชายหนุ่มคนนี้เลย
ต้วนอีเหยาอยากจะทุบกำแพงด้วยหัวของเธอ อะไรคือมีผลตลอดชีวิต เธอไม่เข้าใจเลย!
หลังจากออกมาจากโรงพยาบาล ต้วนอีเหยาและไป๋จิ่นอี้รู้สึกอายอย่างอธิบายไม่ได้ คำแนะนำของแพทย์หญิงตอนนี้ดูเหมือนจะวนเวียนในหูพวกเขา: เรื่องนั้นทำอาทิตย์ละสองสามครั้งพอ เยอะไปไม่ดีต่อร่างกาย น้อยไปพวกเธอก็อดใจไม่ได้
ทั้งสองไม่กล้ามองหน้ากัน แต่ไป๋จิ่นอี้ต้องการคนช่วยโอบเอว ต้วนอีเหยายื่นมือออกไปเพื่อช่วย แต่เมื่อเธอสัมผัสตัวเขา เขาก็หดตัวทันที
“เออ……เออคือ…..เธอกลับไปพักผ่อนก่อน ฉันจะซื้อของมาทำมื้อเย็นให้ เติมพลังให้ร่างกาย” ต้วนอีเหยาพูดฮ่าฮ่าเพื่อกลบเกลือนความเขิน
แต่การเติมเต็มประโยคนี้ของเธอ ทำให้คนอื่นจินตนาการไปไกล ไป๋จินอี้หน้าแดงเหมือนไฟและเสียงของเธอก็แผ่วเบาราวกับยุง “ ไม่เป็นไร เราออกไปกินข้างนอกกันเถอะ”
ต้วนอีเหยาขมวดคิ้ว “ดูสภาพของเธอตอนนี้ อย่าหาทำดีกว่า”
“ งั้น……ฝากด้วยนะ”
บทสนทนาระหว่างทั้งสองตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง โชคดีที่แท็กซี่มาถึงพอดี ต้วนอีเหยาไปส่งเขาที่ชั้นบน ถามผู้อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงและไปที่ตลาดผัก เพื่อซื้อผักและผลไม้
กลับไปที่บ้าของไป๋จิ่นอี้ เขากำลังนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ต้วนอีเหยาทักทายเขาและเดินกลับไปที่ห้องครัว
เธอเปิดตู้เย็นและพบว่ามันว่างเปล่าจริงๆ มีเพียงน่ำแร่อยู่สองขวด เธอถอนหายใจหยิบของออกมาจากถุงทีละอย่างทีละอย่างและจัดเรียงไว้ในตู้เย็น
เมื่อหันไปรอบๆ เครื่องใช้ในครัวก็ถูกวางอย่างเรียบร้อย เธอยืนคิดอยู่พักหนึ่งและเริ่มจัดการกับซี่โครงอย่างรวดเร็ว
“ดิงดอง…”
เพิ่งเปิดเตาขึ้นเสียงออดก็ดังพอดี ต้วนอีเหยารีบเช็ดมือของเธอบนผ้ากันเปื้อนแล้ววิ่งไปเปิดประตู
“สวัสดี……”
ทันทีที่ต้วนอีเหยาเปิดประตู ชายวัยกลางคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ที่ประตูเห็นได้ชัดว่าเขาผงะเมื่อเห็นต้วนอีเหยา เขาเหลือบมองไปที่บ้านเลขที่อีกครั้ง เขาพึมพำ “ไม่ได้มาผิดนิ!”
“สวัสดี ไม่ทราบว่ามาหาใครคะ?” ต้วนอีเหยาถือตะหลิว เห็นชายคนนั้นก้าวถอยหลังและรีบตอบ
“ฉันมาหาไป๋จิง”
ต้วนอีเหยาคิดในใจของเธอเป็นเวลานาน ก่อนที่จะจำได้ว่าไป๋จิ่นอี้จะเคยบอกว่า ไป๋จิงเป็นชื่อพ่อเขา
“เชิญเข้ามาข้างในก่อน ฉันจะไปตามให้”
พ่อต้วนยิ้มเบาๆและตอบว่า “ ขอบใจนะ”
อย่างไรก็ตาม เขายังคงตกใจอย่างเห็นได้ชัดในใจ เด็กผู้หญิงดูเหมือนลูกสาวของเขามาก แต่เขารู้ว่าไม่ใช่จื่ออิ๋งแน่นอน เด็กคนนี้มีความอ่อนโยนกว่า
ต้วนอีเหยาเดินเข้าไปในห้องนอนของไป๋จิ่นอี้ ไป๋จิ่นอี้ได้ยินเสียงเดินมา เงยหน้าขึ้นจากหนังสือ “มีอะไรหรอ?”
“มีชายวัยกลางคนอยู่ข้างนอก เขาบอกว่ามาหาพ่อของเธอ ออกไปดูสิ”
ไป๋จินยี่พยักหน้า พยายามพยุงตัวขึ้น ความเจ็บปวดที่เอวของเขารุนแรงขึ้น เขาก็นอนลงบนเตียง
ต้วนอีเหยาขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเธอเห็นสิ่งนี้ วางตะหลิวในมือลง “อย่าเพิ่งขยับ เดี๋ยวฉันช่วยเอง”
เธอเดินไปลากแขนทั้งสองข้างของไป๋จิ่นอี้และกำลังจะยกขึ้น แต่ทันทีที่รองเท้าแตะที่อยู่ใต้เท้าของเธอหลุด ตัวของไป๋จิ่นอี้ก็กระแทกลงบนเตียงอีกครั้ง ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้เขาน้ำตาคลอเต็มเบ้าตา
มือของต้วนอีเหยาจับอยู่บนศีรษะของไป๋จิ่นอี้ ต้วนอีเหยาขมวดคิ้วและกำลังจะลุกขึ้น แต่เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง
เธอยังไม่ทันได้ทำอะไร พ่อต้วนก็มายืนอยู่ข้างหลังแล้ว “พวกเธอ…..ทำต่อเลย ฉันแค่เดินผ่านมา”
พ่อต้วนรีบหันกลับไปช้าๆ แต่เดิมเขาแค่อยากไปห้องน้ำเท่านั้น เขาได้ยินเสียงใครบางคนร้องออกมา แต่ไม่คิดว่า……
ในห้องนั่งเล่น พ่อต้วนอยู่ไม่สุขและมองไปที่พื้นทำ ให้ไป๋จิ่นอี้และต้วนอีเหยาพูดไม่ออก พวกเขาอธิบายหลายครั้งมันเป็นแค่อุบัติเหตุ แต่พ่อต้วนบอกว่าเขาเชื่อ แต่ท่าทางเขามันสวนทาง
“เอ้อ ใช่สิ! ลุงต้วน คุณมาที่นี่หาพ่อของผม มีอะไรหรือเปล่า?” ไป๋จินยี่ขี้เกียจที่จะอธิบาย เขาจึงรีบถามอย่างอื่น
พ่อต้วนดูเหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้ หลังจากมองหากระเป๋าเอกสารอยู่นาน เขาก็หยิบซองสีแดงออกมา
“นี่เป็นบัตรเชิญงานแต่งงาน ยัยหนูจะแต่งงานในต้นเดือนหน้าและอยากจะเชิญอาจารย์ของเธอไปด้วย”
ไป๋จิ่นอี้ขมวดคิ้ว“ แต่งงาน? แต่พ่อของฉันออกไปสัมมนา เดือนหน้านอาจจะยังไม่กลับมา!”
“สัมมนาเหรอ?” พ่อต้วนขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นมองทั้งสองคนแล้วก็ยิ้ม “งั้นไม่เป็นไร พวกคุณสองคนมาร่วมงานก็พอแล้ว ”
“พวกเรา?” ต้วนอีเหยาอุทานชี้ไปที่ตัวเอง เขาแน่ใจหรือเปล่าว่าเขาพูดถูก? ทำไมถึงเป็นพวกเขา? เขาเชิญไป๋จิ่นอี้เธอเข้าใจได้ แต่มารวมเธอด้วยได้ยังไง?
พ่อต้วนยิ้มอย่างจริงใจ “พวกคเธอเป็นคู่กัน จะมาแค่คนเดียวได้ยังไงกันล่ะ”
ต้วนอีเหยา เปิดปากเพื่ออธิบาย แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่สดใสของไป๋จิ่นอี้ก็ไม่พูดอะไร
“ถ้าอย่างงั้นผมขอแสดงความยินดีแทนพ่อผมล่วงหน้าด้วยนะครับ” ไป๋จินอี้พูดและตอบรับคำเชิญงานแต่งงาน
เขาอารมณ์ดี และเขาก็โอกาสที่จะออกงานกับต้วนอีเหยามาตลอด นี่ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี
เมื่อพวกเขาตอบรับคำเชิญแล้ว พ่อต้วนก็ลุกขึ้นและบอกอำลา “ งั้นฉันไปก่อนนะ ยังต้องเอาไปให้อีกหลายบ้าน!”
ไป๋จิ่นอี้รีบลุกขึ้นจะไปส่งเขา แต่เอวของเขากลับไม่ยอมไปด้วย พ่อต้วนมองเขาด้วยความงุนงง “ ไม่ต้องไปส่งหรอก พวกเธอสองคนมีอะไรทำก็ทำเถอะ”
เขาผ่านวัยหนุ่มสาวมา เขารู้ว่าคนสองคนต้องการเวลาอยู่ร่วมกันสองคน รีบลุกขึ้นและเดินออกไป
ทั้งสองคนเหลือเพียงดวงตากลมโต ทำให้พวกเขานึกถึงสิ่งที่แพทย์หญิงพูดในโรงพยาบาล มีรอยแดงก่ำเกิดขึ้นบนใบหน้า
“กลิ่นอะไร?” ไป๋จินยี่ขมวดคิ้วและสูดดม “ดูเหมือนว่าจะมาจากห้องครัว!”
จู่ๆ ต้วนอีเหยาก็นึกขึ้นได้ว่าทอดปลาอยู่ในครัว “ ซวยแล้ว ฉันลืมไปว่าต้มผักอยู่ในหม้อ!”
เธอวิ่งเข้าไปในห้องครัวด้วยความเร่งรีบ ควันน้ำมันภายในทำให้แสบตาและเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ในหม้อ ต้วนอีเหยาเหลือบไปเห็นฝาหม้อทางด้านขวามือ รีบหยิบมันขึ้นมาปิดฝาหม้อ ไม่กล้าเข้าใกล้และรีบปิดไฟ
“เป็นยังไงบ้าง…… ?” ไป๋จินยี่ยืนอยู่ที่ประตู มีควันที่ตกค้างอยู่เล็กน้อยลอยเข้าจมูกของเขาและคำพูดที่เหลืออยู่ในลำคอพูดไม่ออก
ต้วนอีเหยาพาเขาออกไป มองออกไปนอกหน้าต่าง ตกกลางคืนและตอนนี้ไม่สามารถจองสถานที่สำหรับออกไปทานอาหารค่ำได้แล้ว “เธอกลับไปอ่านหนังสือก่อน เดี๋ยวเสร็จแล้วฉันจะไปเรียก”
ไป๋จินยี่นั่งบนโซฟาหยิบแก้วน้ำแล้วยื่นให้เธอ “ถ้างั้นกินบะหมี่กันเถอะ”
“ขอโทษ……”
“เรื่องนี้ไม่โทษเธอหรอก ไม่เห็นต้องขอโทษอะไรเลย”
ไป๋จิ่นอี้ยื่นมือออกไปแตะศีรษะของเธอ ขณะที่ต้วนอีเหยากำลังรับน้ำ เมื่อเห็นการแสดงออกของเธอก็ตกใจเล็กน้อย เธอก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“ยังมีซี่โครงถ้าปลากินไม่ได้ เรายังกินเนื้อได้” ต้วนอีเหยารินน้ำเข้าปากดื่ม หมดแล้ววางแก้วลงบนโต๊ะ แล้วเดินเข้าไปในครัว
ไม่มีสิ่งใดสามารถเอาชนะเธอได้ตั้งแต่เธอยังเด็ก เธอไม่เชื่อว่าคืนนี้เธอจะทำมื้อเย็นมื้อนี้ไม่ได้!
ไป๋จิ่นอี้มองไปที่เธอและส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ นิสัยของเธอก็เป็นสิ่งที่ดึงดูดเขาเช่นกัน เธอชอบความท้าทาย ไม่มีอะไรที่เธอทำไม่ได้
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ต้วนอีเหยานำผลงานของเธอออกมา จานซี่โครงหมูตุ๋นที่มีรสชาติแสนอร่อย เธอยื่นตะเกียบให้ไป๋จิ่นอี้และพูดกับเขาว่า “ชิมดูสิ”
ไป๋จินอี้ไม่ได้พูดอะไร เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วนำเข้าปาก พอเคี้ยวแล้วดวงตาของเขาก็ค่อยๆเบิกกว้างขึ้นในที่สุดก็เปล่งแสงที่สว่างออกมา
“รสชาติเป็นไง?”
ภายใต้การจ้องมองที่คาดหวังของต้วนอีเหยา ไป๋จิ่นอี้ยกนิ้วให้เธอ
ต้วนอีเหยายิ้มอย่างพอใจ “มีซุปอีกอย่าง ฉันจะไปตักมาให้”
เมื่อเธอออกมา มือทั้งสองข้างก็เต็มไปด้วยจาน มือซ้ายไข่คนกับมะเขือเทศและทางขวาเป็นซุปใส
“เวลามีจำกัด มื้อเย็นก็เลยจะประมาณนี้”
ต้วนอีเหยารีบวางจานในมือเธอลง และเป่ามือของเธอสองสามครั้ง อาหารในจานยังร้อนอยู่ เมื่อเธอวางมันลงมือทั้งสองข้างของเธอก็แดงและบวม
ไป๋จินยี่อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้น มองไปเธอเมื่อเห็นนิ้วของเธอเดือดปุด น้ำเสียงของเขาเริ่มหนักขึ้นเล็กน้อย “ ถ้าเอามารอบเดียวไม่ได้ ก็แบ่งมาสองรอบสิ เราไม่ได้รีบขนาดนั้นซะหน่อย”
ต้วนอีเหยาแลบลิ้นออกมาและยิ้ม “ก็อยากยกมารอบเดียวให้จบนี่หนา”
ไป๋จินยี่ถอนหายใจ แต่เขาช่วยอะไรเธอไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงต้องหายาทาเอง
“ไม่ต้องหรอก ฉันมาที่นี่เพื่อช่วยเธอ แต่ทำไมเหมือนยิ่งยุ่ง?”
ต้วนอีเหยายื่นมือออกไปตรงหน้าเขา เห็นไป๋จิ่นอี้ไม่ขยับ เธอจึงถามออกไป“ ยาอยู่ไหน? ฉันจะไปเอาเอง”
“ อยู่ในลิ้นชักห้องฉัน น่าจะมียาสำหรับลวก” ไป๋จิ่นอี้นึกถึงตอนที่ไปเรียนวิธีการทำอาหารให้ต้วนอีเหยา ตอนนั้นก็ได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย แต่ก็ยังทำไม่เป็นสักอย่าง
ประตูห้องนอนเปิดออก ต้วนอีเหยาเดินตรงเข้ามาที่ประตูและพูดว่า “เธอนั่งรอก่อน แผลของฉันเดี๋ยวฉันจัดการเอง!”
ไป๋จิ้นอี้พยักหน้า และนั่งลงบนโซฟาด้านหลัง มองไปที่คำเชิญงานแต่งงานและหยิบมันออกมาดูอย่างเบื่อหน่าย
“ เย่จิงเหยียน?”
เขามักรู้สึกว่าชื่อนั้นคุ้นหูอย่างอธิบายไม่ได้ ราวกับว่าเขาเคยเห็นมันที่ไหนสักแห่ง แต่หลังจากคิดถึงมันเขาก็จำไม่ได้
ใช่สิ เขาไม่เคยเจอลูกสาวของลุงต้วน จะไปรู้จักชื่อลูกเขยเขาได้ยังไง ส่ายหัวแล้วปิดบัตรเชิญ
“ทำไมไม่กิน?” ต้วนอีเหยาขมวดคิ้ว เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นและเห็นไป๋จิ่นอี้ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้
ไป๋จิ่นอี้มองเธอและพูดว่า “กินคนเดียวจะไปอร่อยได้ไง รอกินพร้อมเธอดีกว่า”
จับนิ้วของตัวเอง ต้วนอีเหยารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ไม่แสดงออก เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นบัตรเชิญที่อยู่ข้างๆเขา อดไม่ได้ที่จะถาม “คนเมื่อกี้เป็น…….?”
“เป็นลูกศิษย์ของพ่อฉัน เวลามีเทศกาลอะไรก็ชอบส่งของมาให้”
ต้วนอีเหยาเคารพพ่อของเขาที่ไม่ได้พบกันมากขึ้น เขาต้องเป็นครูที่ยอดเยี่ยม ไม่เช่นนั้นนักเรียนจะยังจำเขาได้อย่างไรในวัยนี้
หลังจากที่เธอพูดขึ้น ไป๋จิ่นยี่ก็จำชื่อนี้ไว้ในความคิดของเขาและจิตใจของเขาก็สว่างวาบขึ้นมา คนนั้นคือคนที่ขับรถชนเขาวันนี้ไม่ใช่หรอ? เขายังมีนามบัตรอยู่!
“หัวเราะอะไร?” ต้วนอีเหยาจ้องไปที่ไป๋จิ่นอี้อย่างสงสัย เธอไม่เล่าเรื่องตลกอะไรนิ?
ไป๋จิ่นอี้ส่ายหัว “ไม่มีอะไร ฉันแค่คิดว่าโลกนี้มันกลมจริงๆ”
ทันใดนั้นก็พูดประโยคดังกล่าว ต้วนอีเหยารู้สึกสับสนเล็กน้อย กลมไปคืออะไร? กำลังพูดถึงที่พวกเขามาเจอกันหรอ?
“ไม่มีอะไรหรอก กินข้าวกันเถอะ!”
……
ในคฤหาสน์ตระกูลเย่
เย่จิงเหยียนนั่งอยู่บนโซฟาและดูข่าวการเงินล่าสุด ไม่ว่าเย่ชวูเสวียจะพูดอะไร เขาก็ไม่สนใจ
“ พี่ พี่คิดดีแล้วจริงไหรอ? นี่คือความสุขทั้งชีวิตเลยนะ!” เย่ชวูเสวียอดทนไม่ได้และตะโกนใส่หูของเย่จิงเหยียน
เย่จิงเหยียนหันศีรษะไปอีกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการทิ้งระเบิดของเธอ แต่เย่ชวูเสวียก็ไม่ยอมแพ้ง่ายฟ เธอซ่อนตัวอยู่บนโซฟาและมองไปที่เขา
“ ถ้าพี่อีเหยายังมีชีวิตอยู่ พี่คงไม่ทำแบบนี้หรอก พี่ต้องแยกให้ออกว่านี่คือต้วนจื่ออิ๋ง ไม่ใช่พี่อีเหยา!”
ในที่สุดเย่จิงเหยียนก็มีปฏิกิริยา “แกอยากให้ฉันลืมเธอมาตลอดไม่ใช่หรอ แต่ทำไมมาพูดถึงอยู่ได้?”
“ฉันแค่กลัวว่าพี่จะพลุนพลัน พี่ทำแบบนี้ไม่มีความสุขหรอก จลต้วนจื่ออิ๋งเองก็เหมือนกัน ”
“พอเถอะ ดูแลตัวเองให้ดีก่อน ฉะนจะมีความสุขหรือไม่มีฉันตัดสินใจเอง” เย่จิงเหยียนปิดหนังสือพิมพ์และลุกขึ้น เดินเข้าไปในห้องนอนของเขา
“เฮ้อ……” เย่ชวูเสวียก็ลุกขึ้นเช่นกัน ถูกประตูห้องปิดใส่”ปั๊ง” ประตูห้องนอนก็ถูกล็อคจากด้านใน
เย่ชวูเสวียกระทืบเท้าของเธอด้วยความโกรธ “งั้นก็ไม่สนละ ถ้าเสียใจทีหลังมาฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้นะ!”
เธอหยุดฟังการเคลื่อนไหวสักพัก ไม่ได้ยินว่าเขาตอบตัวเอง “เฮ้อ” ถอนหายใจออกมาแล้วเดินจากไป
เย่จิงเหยียนนอนอยู่บนเตียง แต่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เสียใจทีหลัง? จะเป็นไปได้อย่างไง นอกจาก……
นอกจากอีเหยาจะฟื้นขึ้นมา!