วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่401 ศัตรูหัวใจได้พบเจอกัน
มู่ยู่วฉีโบกมือพัลวัน รีบอธิบายทันที”ไม่ใช่ครับๆ คุณป้า เรื่องนี้ไม่ต้องใส่ใจเลยครับ โดยรวมแล้วไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร!”
พูดจบ มู่ยู่วฉีกลัวมัวเวยถามต่อ รีบกดวางสายอย่างไม่ลังเลใจ มู่เวยเวยกุมโทรศัพท์อยู่ยิ่งสับสนมากขึ้น
ไม่ใช่เรื่องไม่ดี?ทุกข์ใจขนาดนั้น จะไม่ใช่เรื่องไม่ดีได้อย่างไร?
เงยศีรษะขึ้นมองด้วยความสงสัยไปที่ห้องประตูห้องของเย่ชูวเสวีย ส่ายศีรษะอย่างทำอะไรไม่ได้ เธอแก่แล้วใช่ไหม เรื่องของวัยรุ่นเธอก็ไตร่ตรองได้ไม่ชัดแล้ว
อีกด้านหนึ่ง เสี่ยวอวี้หลินก็มองหนานกงเจาที่ดื่มทีละแก้วๆอยู่ที่เคาท์เตอร์บาร์ด้วยความกังวลใจ ชำเลืองมองเห็นมู่ยู่วฉีเดินเข้ามา รีบจู่โจมเข้าไปถามว่า”ใครเป็นคนโทรมา”
“คุณป้า ถามนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวานตอนกลางคืน”
เสี่ยวอวี้หลินไม่ได้กังวลใจเรื่องที่มู่เวยเวยโทรหามู่ยู่วฉีเรื่องอะไร ชี้ไปที่หนานกงเจาที่ดื่มล้มอยู่ที่เคาท์เตอร์บาร์
“เขาควรที่จะทำอย่างไร?”
ตั้งแต่ที่เย่ชูวเสวียปฏิเสธเขา ไม่นานก็มาซื้อเหล้าดื่มจนเมาที่บาร์เหล้า ในเวลานี้ ตื่นมาหลายครั้ง แต่ตื่นมาก็หาแต่เหล้า ห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่ได้
มู่ยู่วฉียักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “ปล่อยเขาดื่มเถอะ รอจนเขาไม่รู้เรื่องอะไร ค่อยพาเขากลับก็พอแล้ว”
“เขาสภาพอย่างนี้ ในกรณีที่เขาตื่นมาฆ่าตัวตายจะทำอย่างไรกัน”
เสี่ยวอวี้หลินไม่วางใจ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจการถูกทำลายความรู้สึกจะน่ากลัวแค่ไหน แต่เห็นหนานกงเจาตายทั้งเป็นอย่างนี้ ในใจก็คิดอยู่เงียบๆ
“ชูวเสวียก็เป็นคนใจหิน ทางหนีทีไล่ก็ให้เขาเล็กน้อย”พูดถึงตรงนี้ เสี่ยวอวี้หลินก็คิดแล้วคิดอีก “อย่างไรก็ถูกต้องแล้ว กับคนที่ไม่ชอบก็ต้องรีบปฏิเสธเขา ไม่อย่างนั้นจะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น”
“อันนั้นก็ไม่แน่นอนนะ”
มู่ยู่วฉีเดินไปเอาแก้วเหล้าในมือของหนานกงเจาออก ให้คนที่ยืนอยู่ด้านข้างประคองเขาเข้าไปในห้องวีไอพี
“นายหมายความว่าอย่างไร?”เสี่ยวอวี้หลินไม่เข้าใจ รีบเดินตามมู่ยู่วฉีไปถามให้ชัดเจน
“นายทายสิว่าเมื่อกี้ใครโทรหาฉัน?”
“คุณป้า เมื่อกี้นายพูดแล้ว!”เสี่ยวอวี้หลินมองเขาด้วยสายตาดูถูก เหมือนกับมองคนโง่เขลา
มู่ยู่วฉีก็ไม่ได้ถือสา “ไม่แปลกที่คุณป้าจะโทรหาฉัน แต่เมื่อกี้เธอพูดสภาพของเย่ชูวเสวียที่กลับถึงบ้าน”
“สภาพอย่างไร?”เสี่ยวอวี้หลินถีบเขาเล็กน้อย “เกลียดคนประเภทอย่างนายที่สุดเลย พูดก็พูดครึ่งเดียว เย่ชูวเสวียกลับ้านไปแล้วเกิดอะไรขึ้น?”
“เธอเพิ่งจะกลับบ้านไปตอนนี้ อีกทั้งยังมีรอยแผล ที่สำคัญก็คือ……….”
มู่ยู่วฉีลากเสียงยาว จงใจยั่วให้เสี่ยวอวี้หลินเกิดความสนใจ
เสี่ยวอวี้หลินอดไม่ได้ผลักเขาหนึ่งที “อยากพูดก็พูดให้จบ ไม่อย่างนั้นก็ระวังหมัดของฉัน”
“โอเคๆ ฉันพูดก็จบ!”
มู่ยู่วฉีถูกตีจนกลัวแล้ว รีบยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้ “ที่สำคัญก็คือเธอกลับไปอย่างคนไร้จิตวิญญาณ!”
“ความหมายของนายคือคิดว่าเธอชอบหนานกงเจาเหรอ?”เสี่ยวอวี้หลินเข้าใจเรื่องราวแล้วนั้นรีบพูดเสริม
เห็นมู่ยู่วฉีผงกศีรษะให้ตัวเองอย่างแน่วแน่ ก็รู้สึกสงสัยอีก”อย่างนั้นฉันก็คิดไม่เข้าใจแล้ว ในเมื่อเธอชอบหนานกงเจา แล้วทำไมต้องปฏิเสธ? ”
มู่ยู่วฉีทอดถอนหายใจออกมา “นี่น่าจะไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริงของเธอนะ อาจจะไม่รู้ความรู้สึกที่แท้จริงในใจของตัวเองก็ได้”
ยังมีสาเหตุอีกมากมาย มีความเป็นไปได้ที่ตั้งแต่มู่เวยเวยกับเย่ฉ่าวเฉินห้ามไว้ เย่ชูวเสวียทำเพื่อที่จะไม่ขัดแย้งกับพวกเขา ทำได้เพียงไม่รังเกียจ จนกระทั่งชอบเล็กน้อยแล้วผลักหนานกงเจาออกจากเรื่องนี้
สุดท้ายมู่ยู่วฉีก็มองไปทางที่หนานกงเจาจากไป ทอดถอนหายใจออกมากับอนาคตต่อไปของพวกเขา ถึงแม้ว่พวกเขาจะรู้แล้ว เย่ชูวเสวียมีความรู้สึกให้หนานกงเจา
แต่ถึงอย่างไรฝั่งตรงข้ามพวกเขายังไม่รู้ ทั้งสองคนที่อยู่นอกเหตุการณ์มองทะลุปรุโปร่งมากกว่า เดิมทีก็ไม่เข้าใจชัดเจนเลย สรุปแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น และก็ไม่รู้ว่าทั้งสองคนสุดท้ายแล้วจะได้คบหากันไหม
………..
หลุยส์ถึงสถานที่ที่เย่จิงเหยียนให้พวกเขาอยู่ ก็โทรมาหาเขาอีกรอบ ไม่นานหลังจากนั้นก็รออยู่ที่หน้าทางเข้าโรงพยาบาล
พยาบาลที่เดินเข้าๆออกๆก็มองผู้ชายต่างชาติอย่างสังเกต ถึงแม้จะอายุมากแล้ว แต่กับเรื่องอื่นก็ทำให้อยากรู้อยากเห็นโดยธรรมชาติ ทำให้พวกเธออดไม่ได้ที่จะแอบซุบซิบกัน
ในเวลาที่เย่จิงเหยียนเดินออกมาจากด้านใน ก็มองเห็นคนมากมายมองหรือสงวนท่าที หรือมองตรงๆที่ชายชาวต่างชาติ
“คุณเย่ ในที่สุดคุณก็มาแล้ว!”หลุยส์ทอดถอนหายใจอย่างโล่งๆ ยกกระเป๋าของตัวเองเดินไป
เย่จิงเหยียนยิ้มๆเพื่อขอโทษเขา รับกระเป๋าของเขามา เดินเข้าไปในโรงพยาบาล”ขอโทษครับ ทำให้คุณยุ่งยากแล้ว”
เดิมทีหลุยส์เป็นคนใจกว้าง ได้ยินเขาพูดอย่างนี้ รีบโบกมือพัลวัน”ไม่ต้องเครียดๆ อาการของคุณต้วนผมขอดูได้ไหม?”
เย่จิงเหยียนชะงักฝีเท้า ตอบกลับว่า”ได้ครับ มากับผมเถอะ”
เขาเพิ่งจะกล่อมต้วนอีเหยานอน หลังจากที่เธอไม่ได้ยินเสียง ปิดม่านเข้าเธอก็สามารถหลับได้ถึงเย็น
อย่างนี้ก็ดี ก็ไม่รู้จักคิดอะไรมากมาย เพียงแค่ถึงเวลากินข้าวก็ปลุกเธอลุกขึ้นมาก็พอแล้ว เข้าไปก็ไม่ต้องปิดเปิดประตูเบาๆ เพราะว่าเดิมทีเธอไม่ได้ยินเสียง
หลุยส์เดินเข้าไป เห็นต้วนอีเหยาหลับสนิท ใบหน้าซีดขาว มองอยู่สักพัก อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น
“เป็นอย่างไรครับ?”เย่จิงเหยียนมองต้วนอีเหยาด้วยความเป็นห่วง ร่างกายของเธอเขามองอยู่ตลอดเวลา ทุกวันก็ป้อนอาหารเธอ แต่ทว่าก็ยังผอมลงอยู่เหมือนเดิม
หลุยส์ส่ายศีรษะ”ช่วงสองวันนี้ยังไม่สามารถผ่าตัด ช่วงไม่กี่วันนี้ก็บำรุงไปก่อนเถอะ”
หลังจากที่เย่จิงเหยียนได้ยินคำตอบ ก็ไม่ได้พูดอะไร ถึงอย่างไรเดิมทีเขาก็ต้องเป็นคนตัดสินใจ ตอนนี้เพียงแค่ดูให้ละเอียดเท่านั้นเอง
เย่จิงเหยียนส่งหลุยส์ออกจากห้องพักคนไข้ จัดการให้พวกเขาอยู่ที่ห้องทำงานที่ไม่ไกลจากห้องพักคนไข้ ให้พวกเขารับผิดชอบดูตรวจรักษาโดยเฉพาะ
และเรื่องราวทั้งหมด ต้วนอีเหยาไม่ได้รับรู้ด้วยเลยสักนิด ไม่ใช่ว่าเย่จิงเหยียนตั้งใจปิดบัง เพียงแค่หูของเธอไม่รับรู้อะไร เคลื่อนไหวยิ่งใหญ่เข้าไปอีก ก็ไม่สามารถระวังได้
……………………….
จากที่ปฏิเสธหนานกงเจามาหลายวันแล้ว เย่ชูวเสวียก็ยังไม่มีสติกลับมา ในหัวคิดถึงแค่เขา รอยยิ้มของเขา ความอบอุ่นของเขา ทั้งหมดมาแสดงอยู่ต่อหน้าเธออีกครั้ง ทำให้ไม่มีวิธีสลัดออกไปได้
“ชูวเสวีย ทำไมไม่กินข้าว?”ไม่กี่วันมานี้มู่เวยเวยก็มองดูเธออยู่ตลอด วันนี้ยังดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย เพิ่งจะกลับมาไม่กี่วันนั้น ก็เหมือนกับคนไร้จิตวิญญาณ พูดอะไรเธอก็ไม่สนใจ
เย่ชูวเสวียถูกมู่เวยเวยตัดบท เงยศีรษะขึ้นแล้วยิ้ม”หนูกินอิ่มแล้วค่ะ”
“เร็วขนาดนั้นเลย?”มู่เวยเวยประหลาดใจ รั้งเธอไม่ให้ลุกจากโต๊ะ”ลูกไม่ใช่ว่าสัญญาว่าจะเล่าเรื่องวันนั้นว่าสรุปเกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
ไปงานปาร์ตี้ของวัยรุ่นมา ทำให้ลูกสาวของเธอเปลี่ยนเป็นอย่างนี้แล้ว เธออยากจะไปสถานที่เกิดเหตุในเวลานั้นจริงๆ
“แม่ อย่างเพิ่งถามเลย!”เย่ชูวเสวียพยายามยิ้มออกมาจากใจ อยากให้มู่เวยเวยไม่ต้องกังวลใจ
แต่ว่า เธอไม่รู้ อย่างนี้เกรงว่าจะทำให้มู่เวยเวยสงสัยเพิ่มมากขึ้น
เธอมองสบตากันกับเย่ฉ่าวเฉิน ทำให้ฝั่งตรงข้ามเห็นความสงสัยนั้น
มู่เวยเวยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ลูกจะพูดหรือไม่พูด?”
“หนู…….”เย่ชูวเสวียไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดอย่างไร
ก้มศีรษะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ด้านข้างเก้าอี้
“มีอะไรที่ไม่สามารถพูดได้เหรอ?”มู่เวยเวยพูดเชิงบังคับตวาดขึ้นมา เข้าใกล้เย่ชูวเสวีย
เย่ชูวเสวียก้าวถอยหลังไม่กี่ก้าว กัดฟัดแล้วเงยศีรษะขึ้น “แม่อยากจะให้หนูพูดออกมาจริงๆใช่ไหม?”
มู่เวยเวยตอบโดยไม่คิด”แน่นอน”
“เป็นเพราะพวกคุณ!”
“ห้ะ?”มู่เวยเวยไม่อยากจะเชื่อ “ลูกทุกข์ใจเป็นเพราะพวกเขา ขนาดปาร์ตี้นั้นพวกเรายังไม่ได้ไปด้วยเลย!”
“ใช่ พวกคุณไม่ได้ไป แต่ทว่าทำให้คนหวาดกลัวกว่าไปอีก”
เย่ชูวเสวียเงยศีรษะขึ้นมาทันที มองจ้องสายตาของมู่เวยเวย ในดวงตามีความโกรธ “พวกคุณอีกด้านให้หนูทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ อีกด้านก็ไม่ให้หนูทำ หนูทำตามความปรารถนาของพวกคุณอย่างระมัดระวังมาตลอด ไม่อยากให้พวกคุณผิดหวัง แต่ว่า………”
“หนูก็เป็นคน หนูก็มีความรู้สึกของตัวเอง คำเดียวของพวกคุณก็ยับยั้งหนูแล้ว ขนาดเรื่องภายหลังจากนี้ความน่าจะเป็นไปได้ก็ไม่มีเลย!”
“หนูกำลังพูดถึงเรื่องอะไร?”มู่เวยเวยก็เคยเป็นวัยรุ่น แน่นอนว่าดูออก ว่าเด็กคนนี้มีความรักแล้ว
“แม่ไม่ได้ไม่ให้ลูกทำตามความต้องการของตัวเองนะ เพียงแค่ลูกเด็กเกินไป พวกเรากลัวว่าลูกจะไม่สามารถตัดสินใจชี้ขาดได้!”
เย่ชูวเสวียหลับตาลง หางตาชื้นๆ “หนูไม่ใช่เด็กแล้ว มีความสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้พวกคุณกังวลใจ”
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร?”
มู่เวยเวยไม่พูดอ้อมค้อม ถามเธอไปตรงๆ “ผู้ชายทีทำให้ลูกเสียใจได้ขนาดนี้เป็นใคร?”
เย่ชูวเสวียปิดปากอยู่นานถึงเอ่ยประโยคนั้นออกมา”หนานกงเจา”
“เป็นเขา?”ที่จริงมู่เวยเวยก็คาดเดาอยู่ในใจไปมากกว่าครึ่งแล้ว เพียงแค่ยังไม่ได้ยืนยัน ตอนนี้ออกมาจากปากของเย่ชูวเสวียแล้ว เธอก็ไม่ได้รู้สึกว่าแปลกใจ
“แม่ก็พูดแล้วว่าคนคนนั้นไม่ดี ลูกดูไม่กี่ชั่วโมง ก็ทำให้ลูกเป็นคนไร้จิตวิญญาณแล้ว!”
เย่ชูวเสวียส่ายศีรษะอย่างอ่อนแรง”เขาไม่ได้ทำอะไรให้หนูทุกข์ใจ และเป็นหนูที่ปฏิเสธเขาเอง “เธอรู้สึกละอายใจ…….
“ลูกชอบเขา!”คำนี้แน่นอน เค้าลางส่อให้เห็นว่าเย่ชูวเสวียชอบหนานกงเจาเข้าให้แล้ว เพียงแค่ไม่รู้ว่าเธอเข้าใจหรือไม่เข้าใจหัวใจตัวเอง
เย่ชูวเสวียมองมู่เวยเวยด้วยความประหลาดใจ รีบส่ายศีรษะ”หนูเพียงแค่รู้สึกละอายใจ….”
เห็นเธอแก้ตัวอย่างสุดความสามารถ มู่เวยเวยได้แต่ทอดถอนหายใจออกมา มองเย่ฉ่าวเฉินที่ยังไม่ลุกจากโต๊ะอาหาร
ถามเขาว่า”สุดท้ายแล้วควรจะทำอย่างไร?”
คำพูดที่คุยกันเมื่อกี้หยุดอยู่ในหูของเย่ฉ่าวเฉินทั้งหมด ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ยอมรับให้หนานกงเจาแต่งกับเย่ชูวเสวีย แต่เธอก็ได้ชอบเขาไปแล้ว แม้ว่าจะไม่ถูกใจ พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะบังคับให้พวกเขาเลิกรักกันนะ!
พอนึกถึงตรงนี้ เขาก็โบกไม้โบกมือ”เรื่องของวัยรุ่นให้พวกเขาแก้ไขกันเองเถอะ!”
มู่เวยเวยยังอยากที่จะพูด แต่ว่าเย่ชูวเสวียท่าทีเงียบนิ่งเฉย ก็เลยจำใจต้องหยุดลง
เย่ชูวเสวียถูกคำพูดของมู่เวยเวยซัดเข้ามาก็ตื่นตระหนกอีกครั้ง ก็เห็นได้ชัดเจนว่าเธอละอายใจ ชอบ? คำนี้ทำไมถึงไปอยู่ที่เขาได้ เขาไม่ได้เหมาะสมกับมาตรฐานที่เธอชอบเลยสักนิด
แต่ว่าคำนี้งอกเงยอยู่ในใจ ทำไมถึงสลัดออกไปไม่ได้ เธอคิดมากแล้วก็ยิ่งปวดศีรษะ ข้างกายไม่มีเพื่อนที่จะสามารถช่วยเธอในด้านนี้ได้
เย่ชูวเสวียนึกถึงเย่จิงเหยียนที่อยู่โรงพยาบาลขึ้นมาทันที เขาดีกับต้วนอีเหยาขนาดนั้น ต้องรู้ว่าอย่างไรคือความชอบอย่างแน่นอน
นึกถึงตรงนี้ เย่ชูวเสวียได้หยิบโทรศัพท์ออกมา โทรหาเย่จิงเหยียน
“ฮัลโหล?”เสียงเข้มทุ้มต่ำดังผ่านสายตอบกลับมา
เย่ชูวเสวียชะงักมึนงงไปเล็กน้อย นานก็ไม่มีเสียงตอบกลับ เย่จิงเหยียนขมวดคิ้วถามว่า”เธอโทรหาพี่ทำไมกัน?”
“พี่ชาย……”
“อืม?”
เย่ชูวเสวียกัดฟันแน่นถามเขาออกไป”พี่ชอบพี่อีเหยาไหม?”
“ทำไมอยู่ดีๆถามเรื่องนี้ขึ้นมาทันที?”
“พี่ไม่ต้องสนใจ เพียงตอบคำถามก็จบแล้ว!”เย่ชูวเสวียอาจจะแข็งแกร่งมากขึ้น พูดทางโทรศัพท์ เธอก็ไม่กลัวจะเขินอาย
“พี่กับอีเหยา ไม่ได้เรียกว่าชอบ”เย่จิงเหยียนตอบกลับอย่างราบเรียบ
แต่ทว่าเย่ชูวเสวียไม่เชื่อ “พี่ดีกับพี่อีเหยาขนาดนั้น นอกจากชอบแล้วยังเพราะอะไรอีก? ”
“คือความรัก!”
เย่ชูวเสวียพลิกตาขาว ทำปากตามเย่จิงเหยียนที่คุยเวอร์ในสายโทรศัพท์ พูดคำว่าชอบแล้ว
วินิจฉัยยาก แต่ทว่าคำว่ารักง่ายมาก
“อย่างนั้นก่อนหน้าที่พี่จะรักพี่อีเหยาล่ะ ต้องชอบแน่นอนเลย! บอกน้องมาว่าความรู้สึกที่ชอบเป็นอย่างไร?”
“ความรู้สึก?”ไม่ต้องเดาเย่ชูวเสวียก็รู้ว่าเย่จิงเหยียนกำลังขมวดคิ้ว
“ทำไมถามเรื่องนี้อย่างกะทันหัน”
“อันนั้น…….”
“ใช่หรือไม่ใช่ว่าชอบใครเข้าแล้ว?อืม…..ต้องการที่อยากจะพูดไหม?”
เย่ชูวเสวียเพิ่งจะคิดหาเหตุผลอ้างเข้าไป แต่ได้ยินเย่จริงเหยียนพูดเช่นนี้ ก็เลยต้องพูดปล่อยให้ไหลไปตามธรรมชาติ
“ใช่ น้องอยากรู้ว่าความรู้สึกแบบนี้ของน้องมันใช่หรือไม่ใช่”
เย่จิงเหยียนกลับย้อนคิดสักพัก”ประมาณว่าเวลาที่เธอทุกข์ใจ ตัวเองก็จะทุกข์ใจด้วย เวลาที่เธอมีความสุข พี่ก็มีความสุขด้วย ”
“อยากเจอเธอทุกวัน มักจะคิดว่าเธอกำลังทำอะไร ทุกข์ใจหรือเสียใจ หรือว่ามีความสุขยิ้มกว้าง”
“เป็นอย่างนี้………”เย่ชูวเสวียฟังไม่เข้าใจ แต่ทว่าในใจเต้นแรงมาก เพราะว่าสิ่งที่เย่จิงเหยียนพูดมา พอดีกับสถานการณ์ไม่กี่วันมานี้ของเธอ
“เธอยังไม่ได้พูดเลยว่าสรุปคนคนนั้นเป็นใคร!”
“ไม่สำคัญๆ! “ในใจของเย่ชูวเสวียมีลับลมคมใน พูดจบก็รีบวางสายอย่างรวดเร็ว
เธอตื่นตัวกับหัวใจที่เต้นตึกตักๆ ยากที่จะเชื่อเล็กน้อย เธอ……เธอชอบหนานกงเจาเข้าแล้วจริงๆ?
เป็นไปได้อย่างไร ลางบ่งบอกสักนิดก็ไม่มี หรือว่าชอบอย่างไม่รู้ตัว
เธอว้าวุ่นอยู่ในห้องของตัวเองเป็นเวลานาน ในเมื่อรู้ความคิดของตัวเอง เธอก็เป็นคนที่ทำอะไรจู่โจมคนหนึ่ง ก็มุ่งตรงโทรหาหนานกงเจา
เธอกุมโทรศัพท์อย่างกระวนกระวาย ไตร่ตรองคำที่จะพูดอีกสักครู่ ลังเลอยู่นานในที่สุดก็โทรไป
รออีกสักพัก ไม่ได้ยินเสียงคนพูด เสียงผู้หญิงตอบกลับมาอัติโนมัติอย่างเย็นชา ขอโทษค่ะ เลขหมายที่ท่านเรียกในตอนนี้ยังไม่มีครรับสาย รอโทรอีกครั้งภายหลังค่ะ
เย่ชูวเสวียผิดหวังถือโทรศัพท์ปล่อยลง ไม่โทรอีกรอบที่สอง ไม่ง่ายที่เธอจะรวบรวมความกล้าหาญ แต่ทว่าก็ไม่มีคนรับสาย ความมั่นใจถูกทำลายแล้ว
เธอไม่มีทางโทรอีกรอบที่สอง ถ้าหากเธอสำคัญต่อใจของหนานกงเจา อย่างนั้นหลังจากที่เขาเห็นก็จะโทรกลับมา ถ้าไม่สำคัญ……
เย่ชูวเสวียส่ายศีรษะไปมา หัวข้อที่ไม่สำคัญเธอก็ไม่ต้องการที่จะไปกวนใจเขาอีกต่อไป
เธอนั่งเงียบๆรออยู่ในห้องเป็นเวลานาน ก็ไม่มีสายที่เธอรออยู่ ใจก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นท้อแท้หมดหวัง
ตอนนี้โทรศัพท์ไม่ได้ห่างกายเลย จะเป็นไปได้อย่างไรที่ยังไม่เห็นถึงตอนนี้ ถ้าหากเป็นอย่างนั้น มีเพียงแค่เหตุผลเดียวคือหนานกงเจาไม่อยากสนใจเธอ
เย่ชูวเสวียเริ่มว้าวุ่นใจ หรือว่าครั้งก่อนที่เธอปฎิเสธเขา ทำให้เขาเสียหน้า ต้องการคิดที่จะจดจำไว้แก้แค้น?
อย่างนั้นเธอควรจะทำอย่างไรดี?
เธอต้องทำอย่างไรล่ะ?
รอ…..หรือว่า……
เย่ชูวเสวียทอดถอนหายใจออกมา ตอนนี้เธอก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรแล้ว…….