วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 1004 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
กล่องไม้นั้นดูเรียบง่ายไม่เหมือนกับกล่องสั่งทำราคาแพงและมีน้ำหนักเบาและไม่เหมือนกับไม้ที่มีค่าอย่างไม้พะยูงหรือไม้จันทน์หอมอินเดีย
แต่ในตอนนี้ เสียงที่มาจากภายในทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว และถึงกับรู้สึกเสียวซ่าหนังศีรษะ
หนานกงจิ่นมีสีหน้ามืดมนดั่งสายน้ำ
แม้ว่าเขาจะฉลาดและช่างคิดคำนวณ แต่เขาก็ถูกจำกัดด้วยต้นกำเนิดของเขา เขาเก่งแค่ในการควบคุมจิตใจของผู้คนในกรอบความคิดของเขา เขาไม่เก่งเรื่องไฮเทคสมัยใหม่มากนัก และมีเพียงความเข้าใจเพียงเล็กน้อย
หรือจะพูดได้ว่า ถึงแม้เขาจะรู้ทุกอย่าง แต่กลับมองข้ามสิ่งที่เขาไม่เชี่ยวชาญอย่างไม่รู้ตัว
บวกกับการที่เขามักจะหลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านกลางน้ำและโลกภายนอกไม่รู้ถึงการมีตัวตนของเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าสิ่งพวกนี้จะย้อนกลับมาเล่นงานเขา
ดังนั้นจึงตกใจมากที่ถูกคนสมคบคิดเรื่องแบบนี้ในเวลานี้
เสียงภายในนั้นยังคงดังอยู่
“ในเมื่อคุณหนานกงจิ่นเองไม่คิดจะให้ความร่วมมือดี ๆ สู้เรามาพูดกันตรง ๆ เลยไม่ดีกว่าเหรอครับ?”
หนานกงจิ่นกัดฟันแน่น
เขาหันไปและส่งสายตาให้หนานกงยวู่
หนานกงยวู่เข้าใจในทันที เขาเดินเข้าไปและหยิบกล่องนั้นขึ้นมา หลังจากเปิดดูก็ตรวจสอบอย่างละเอียด
หนานกงจิ่นไม่มีความชำนาญในนวัตกรรมสมัยใหม่ แต่หนานกงยวู่นั้นยังพอคุ้นเคยบ้าง
อย่างรวดเร็ว ที่สวิตช์ของกล่องก็พบบางสิ่งขนาดเท่ารูเข็มเล็กๆ
เขาหยิบของชิ้นนั้นออกมา วางไว้ในมือและมองดูอย่างละเอียด
ในระหว่างที่กำลังวิเคราะห์อยู่นั้น อีกฝ่ายก็หัวเราะออกมาในทันที
“ไม่ต้องดูแล้ว ผมเองก็ไม่กลัวที่จะบอกพวกคุณ นี่คือกล้องรูเข็มที่พัฒนาขึ้นใหม่จากเพื่อนของผมเอง ขนาดเล็กเพียงห้ามิลลิเมตร ตอนนี้ผมไม่เพียงแต่ได้ยินเสียงของพวกคุณเท่านั้น ยังพูดคุยกับพวกคุณได้ หรือแม้กระทั่งมองเห็นสีหน้าของพวกคุณด้วย”
เมื่อคำพูดนี้ถูกพูดออกมาทั้งสามคนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป
ถึงแม้ว่าหนานมู่หรงจะรู้ว่าตนเองถูกหลอกใช้แต่เขากลับไม่โมโห
หนานกงยวู่รู้สึกอับอายจนกลายเป็นความโกรธและพูดอย่างรุนแรง: “กู้ซือเฉียน แกกล้าเล่นงานเรา? แกไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้วรึไง!”
กู้ซือเฉียนหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “ดูเหมือนหากผมไม่เล่นงานพวกคุณ แล้วพวกคุณจะเมตตาพวกผมอย่างนั้นแหละ”
“แก!”
หนานกงยวู่ละล่ำละลัก
ไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นครั้งนี้ เขายังจะจีบปากจีบคอ
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หนานกงจิ่นก็ใจเย็นลง
สมแล้วที่เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่มีอายุถึงพันปี เขานิ่งสงบเกินกว่าคนทั่วไปจะเทียบได้
เขาจ้องเขม็งไปที่อุปกรณ์สีดำซึ่งแทบไม่มีนัยสำคัญแล้วพูดอย่างเย็นชา: “คุณจะเอายังไง?”
“เอาต้นเงินทองมาให้ผม แล้วผมจะมอบแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ของจริงให้กับคุณ”
หนานกงจิ่นหัวเราะค่อนขอด “ที่แท้คุณก็รู้ความลับของต้นเงินทองแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นผมก็กล้าที่จะบอกคุณว่าผมไม่สามารถให้ของสิ่งนี้กับคุณได้ ต่อให้ผมให้ คุณก็เลี้ยงมันไม่รอด ดังนั้นทำใจเสียเถอะ”
น้ำเสียงของกู้ซือเฉียนฟังดูไม่ทุกข์ร้อน
“อ้อ? ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นพวกคุณก็อย่าหวังว่าจะได้แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ไป ทุกคนเป็นมัจฉาตายตาข่ายขาดไปด้วยกันก็ไม่เป็นไร”
ไม่ง่ายเลยกว่าหนานกงจิ่นจะควบคุมความโกรธไว้ได้ เพราะคำพูดนี้ของเขามันได้จุดประกายขึ้นมาอีก
“กู้ซือเฉียน! แกไม่กลัวว่าผู้หญิงที่แกรักสุดหัวใจจะตายอย่างนั้นรึ?”
“กลัว” กู้ซือเฉียนไม่แม้แต่จะคิดและตอบ “ดังนั้นผมจึงรับปากจะหาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ให้คุณ ผมจึงยอมถูกคุณควบคุม แต่ทั้งหมดนี้อยู่บนพื้นฐานที่คุณอยากจะร่วมมือกับผมอย่างจริงใจ ผมเสียสละไปมากมายแบบนี้ก็เพื่อให้เฉียวเฉียวได้มีชีวิตต่อไป ตอนนี้ผมได้รู้แล้วว่าคุณไม่มีเจตนาจะร่วมมือกับผม และไม่ได้คิดจะช่วยเฉียวเฉียว ในเมื่อทางไหนก็ตายแล้วทำไมผมไม่เลือกทางตายที่มันชัดเจนกว่าล่ะ? อย่างไรก็ตามเวลาเราทั้งคู่ตายไปแล้ว ก็ยังมีคุณหนานกงจิ่นเป็นเพื่อน จะได้ไม่เหงา”
หนานกงจิ่นกำหมัดแน่นจนเกิดเสียงดังเอี๊ยด
ทำไมเขาจะไม่เข้าใจว่ากู้ซือเฉียนกำลังข่มขู่เขาอยู่
ไม่เพียงแต่จะเอาเรื่องแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์มาขู่เขายังรวมถึงชีวิตของเขาด้วย
ความหมายของกู้ซือเฉียนก็คือถ้าหากสุดท้ายแล้วเฉียวฉีจะต้องตาย เขาก็ไม่มีทางจะอยู่คนเดียวได้
และเมื่อเขาไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้ว เขาก็จะพรากชีวิตของหนานกงจิ่นไปด้วย
ทุกคนอย่าได้เอาแต่เล่น ลงนรกไปเป็นเพื่อนกัน
ดี ดีมาก!
กู้ซือเฉียนดีมาก!
เขาไม่ได้เจอคู่ปรับที่แข็งแกร่งแบบนี้มานานมากแล้ว
คิดถึงตรงนี้ หัวใจของหนานกงจิ่นก็รู้สึกยินดีอย่างผิดปกติ
บางทีการมีชีวิตอยู่ถึงพันปีมันคงจะโดดเดี่ยวเกินไปจริง ๆ เขาไม่รู้คืนรู้วัน เขาเฝ้ามองท้องฟ้าที่อ้างว้างและคิดในใจว่าบางทีความตายอาจจะเป็นหนทางหลุดพ้น
ตายไปแล้วก็ไม่ต้องคิดถึงอะไรอีก
และไม่ต้องยึดติดกับอะไรอีก ไม่ต้องเฝ้าคิดอยากให้เฉียนเฉียนของเขากลับมา
แต่สุดท้ายก็ยังทำใจไม่ได้เสียที
เขาไม่มีวันลืม ในช่วงเวลาสุดท้ายเฉียนเฉียนนอนอยู่ในอ้อมกอดของเขาและพูดประโยคนั้น
เธอพูดว่า ข้าต้องการให้เจ้ามีชีวิตต่อไป จดจำข้า คิดถึงข้า ข้าอยากให้เจ้าอยู่ในความรู้สึกผิดตลอดไป
เธอเกลียดเขา
เกลียดเขาที่ทำลายประเทศของเธอ เข่นฆ่าครอบครัวของเธอ ทำลายโลกของเธอ
เธอจักรพรรดินีที่งดงามที่สุดในช่วงเวลานั้น แต่กลับไม่สามารถปกป้องบ้านเมืองและประชาชนของตนเองได้ ไม่ใช่เพราะข้าศึกจากภายนอก แต่กลับต้องตายด้วยเงื้อมมือของราชครูของตนเอง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หนานกงจิ่นก็หลับตาลง
เขากำหมัดแน่น ครู่หนึ่ง จึงลืมตาขึ้น ระหว่างที่เขาลืมตาขึ้นอีกครั้งนั้น ดวงตาไม่มีร่องรอยของอารมณ์ใดๆ และมีแสงสว่างที่ชัดเจน
“ได้ ผมจะมอบต้นเงินทองให้คุณ แต่เราจะต้องตกลงกันก่อนว่าชิ้นส่วนที่เหลืออีกห้าชิ้น คุณจะต้องช่วยผมหามันให้พบ”
กู้ซือเฉียนหัวเราะเบา ๆ อย่างเย็นชา
“คุณเอาของมาก่อนแล้วค่อยคุยเถอะ”
เมื่อเขาพูดจบแล้ว ก็เกิดเสียงดังฉ่าจากกล้องรูเข็มเล็กๆ ราวกับว่าอีกฝ่ายตัดสายไปแล้ว
หนานกงยวู่ตบโต๊ะด้วยความโกรธ
“ไอ้กู้ซือเฉียน มีอย่างที่ไหนกัน! มันกล้าขู่นายท่าน ผมจะให้ลูกน้องไปจัดการมัน!”
พูดแล้วก็เดินออกไปด้วยนอกด้วยความโมโห
แต่กลับถูกหนานกงจิ่นร้องห้ามไว้
“หยุด”
ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์ ตอนนี้เขาใจเย็นลงแล้วและร่างกายของเขาก็เปล่งออร่าเย็นเยียบออกมา
หนานกงยวู่หยุดอยู่ตรงนั้นไม่กล้าจะก้าวเท้าไปต่อ แต่ในใจกลับไม่ยินยอมแต่ก็ทำได้เพียงมองเขาอย่างเหลืออด
“นายท่าน…”
“เรื่องนี้คุณอย่ามายุ่ง”
หนานกงจิ่นพูดออกมาอย่างเฉยเมย จากนั้นก็หันหน้าไปและตะโกนขึ้น “เหล่าโม่”
ชายแก่ที่พาหนานมู่หรงเข้ามาเมื่อครู่รีบผลักประตูเข้ามาทันที
เขาเดินไปที่หน้าหนานกงจิ่นและก้มตัวเล็กน้อย “นายท่าน”
หนานกงจิ่งออกคำสั่ง: “ไปที่ทะเลสาบน้ำแข็งด้านหลังและเด็ดต้นเงินทองมาหนึ่งก้าน จัดเก็บให้ดีแล้วเอามา”
เหล่าโม่ประหลาดใจเล็กน้อย
เขาเงยหน้าและมองไปที่เขาอย่างไม่น่าเชื่อ
ต้นเงินทอง แต่นั่นมัน…
แต่สีหน้าของหนานกงจิ่นทำให้เขาไม่กล้าที่จะถามอะไรต่อได้แต่รับคำด้วยความเคารพและออกไป
หนานมู่หรงมีความสงสัยมากมายอยู่ในใจ
แต่เขาเองก็ไม่กล้าถามเช่นกัน