วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 1015 พูดตามความจริง
“ข้อสงสัยนี้ ก็เพิ่งคิดได้ตอนที่ผมกับจี้หลินยวนคุยกัน”
น้ำเสียงของลู่จิ่งเซินเรียบเฉย ขณะที่ถือแก้วอยู่นั้น นิ้วมือก็เคลื่อนอยู่บริเวณผิวสัมผัสของแก้วเบาๆ พลางพูดขึ้นอย่างราบเรียบว่า:“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกกู้ซือเฉียนจะเคยคิดถึงเรื่องนี้ไหม แต่ว่าเมื่อสักครู่นี้พอผมคิดขึ้นได้ ก็แค่รู้สึกว่าสันหลังเย็นยะเยือก ขนพองสยองเกล้า”
แม้แต่เขาก็รู้สึกเช่นนี้ แล้วจิ่งหนิงจะไม่รู้สึกได้อย่างไรกัน?
ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป เธอขรึมอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ลุกขึ้นยืน
“ฉันจะรีบโทรหาพวกเฉียวฉี”
“ไม่ต้องรีบ”
ลู่จิ่งเซินกลับขวางเธอไว้
“เรื่องๆนี้ คุยในโทรศัพท์ไม่ค่อยสะดวก พวกคุณนัดเจอกันพรุ่งนี้ตอนกลางวันไม่ใช่เหรอ?มีเรื่องอะไร พรุ่งนี้ตอนกลางวันเจอกันแล้วค่อยคุยกัน”
จิ่งหนิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็คิดว่าควรเป็นเช่นนั้น
เพราะต่อให้รีบร้อนยังไง ก็คงไม่ต้องรีบร้อนกระทั่งคืนนี้
ดังนั้น เธอจึงล้มเลิกความคิดที่จะโทรหาเฉียวฉี เมื่อดื่มนมที่ลู่จิ่งเซินนำมาให้เรียบร้อยแล้ว ก็ล้างหน้าแปรงฟัน จากนั้นก็เข้านอน
วันรุ่งขึ้น
เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ก็พบว่าเก้าโมงกว่าแล้ว
เนื่องจากครรภ์ของเธอนับวันยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ และทำให้ชอบนอนมากขึ้นตามไปด้วย หากเป็นเมื่อก่อนเจ็ดโมงครึ่งเธอก็ตื่นนอนแล้ว แต่ตอนนี้เธอกลับนอนเลยเวลา
แต่ว่าทุกคนต่างเห็นอกเห็นใจ เพราะว่าเธอเป็นคนท้อง ดังนั้นจึงไม่ได้รอเธอท่านอาหารเช้า เพราะเกรงว่าเธอจะรู้สึกอึดอัดใจ และทำให้ในใจของเธอรู้สึกกดดันเสียเปล่าๆ
ทำเพียงให้ห้องครัวอุ่นอาหารไว้ เมื่อเธอตื่นนอนจะได้มากินได้ทันที
เมื่อจิ่งหนิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ขณะที่ลงมาจากด้านบนก็เห็นท่านย่าจิ้นและท่านย่าเชิ๋นกำลังพูดคุยกันพลางดื่มชาไปด้วยที่ห้องรับแขก
ท่านย่าทั้งสอง มีเรื่องที่จะต้องคุยกันไม่รู้จักจบจักสิ้น
เธออดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา พลางเดินเข้าไปทักทายพวกท่านก่อน
เมื่อทราบว่าเด็กทั้งสามคนกำลังไปเล่นอยู่ที่สวนหลังบ้าน เธอจึงเดินไปยังสวนดอกไม้หลังบ้าน
เห็นเพียงสวนดอกไม้ที่มีสีสันสดใส เด็กน้อยทั้งสามคนกำลังเล่นเล่นเกมกันอยู่
และไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เมื่อวานเด็กชายทั้งสองที่ดูเหมือนกับจะเป็นปรปักษ์ต่อกัน แต่เพียงค่ำคืนสั้นๆ วันนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะคืนดีกันแล้ว
ลู่จิ่งเซินเดินมาจากที่ๆไม่ไกลนัก
“ตื่นแล้วเหรอ?”
เขามองไปที่เสื้อผ้าบางของจิ่งหนิงพลางขมวดคิ้ว“ทำไมคุณใส่เสื้อผ้าน้อยจังครับ?”
จิ่งหนิงได้สติกลับมา พลางยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า:“ไม่หนาว”
ขณะที่เธอพูด ก็หันกลับเข้าไปในบ้าน
ลู่จิ่งเซินก็เดินตามไป“ไม่หนาวก็ต้องใส่เสื้อผ้าเยอะๆหน่อย ใกล้จะเข้าหน้าหนาวแล้ว อย่าเอาร่างกายของตนเองมาล้อเล่นสิครับ”
ขณะที่พูด ก็อดไม่ได้ที่จะกำชับคนรับใช้ที่อยู่ข้างๆว่า ไปเอาเสื้อคลุมหนาๆมาสักตัวหนึ่ง
จิ่งหนิงเห็นเช่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม
“ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าตอนนี้คุณขี้บ่นกว่าคุณย่าเสียอีก”
ลู่จิ่งเซินจ้องมองไปที่เธอ
“คุณรังเกียจผมเหรอ?”
จิ่งหนิงยิ้มพลางพูดขึ้นว่า:“อืม รังเกียจ แต่ก็ชอบ”
ขณะที่เธอพูด ก็ยื่นมือออกไปโอบไหล่ของลู่จิ่งเซิน และพูดขึ้นอย่างใกล้ชิดว่า:“ใครใช้ให้คุณเป็นสามีของฉันล่ะ?”
เดิมทีชายหนุ่มที่มีสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็ร่าเริงขึ้นมาทันที
“แบบนี้ค่อยเข้าท่าหน่อย”
ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องอาหารอย่างสนิทสนม เมื่อถึงครึ่งทางก็ได้พบกับ หัวเหยาและจี้หลินยวน พวกเขาต่างส่ายหน้า
“คนที่รู้ก็จะรู้ว่าแต่งงานกันมาสี่ห้าปีแล้ว ส่วนคนที่ไม่รู้ก็คงคิดว่าเป็นคู่รักที่เพิ่งแต่งงานกัน”
จิ่งหนิงเหลือบตามองหล่อนครู่หนึ่ง“พูดถึงฉันให้มันน้อยๆหน่อย คุณเองก็เหมือนกันนะ?”
หัวเหยายิ้มพลางพูดขึ้นว่า:“พอได้แล้ว ฉันไม่แกล้งคุณเล่นแล้ว ฉันให้คนเตรียมอาหารเช้าไว้ให้คุณแล้ว รีบไปกินเถอะ กินเสร็จพวกเราจะได้ออกเดินทาง”
จิ่งหนิงพยักหน้า
อาหารเช้าท่านย่าจิ้นตั้งใจเตรียมอาหารสำหรับคนท้องไว้ให้กับเธอ
จิ่งหนิงรีบกินอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็นั่งรถไปกับพวกของลู่จิ่งเซิน
ขณะที่กินข้าว เธอได้ติดต่อกับเฉียวฉีไว้เรียบร้อยแล้ว
รู้ว่าพวกเขารออยู่ที่โรงแรมห้าดาวที่ไม่ไกลจากที่นี่นัก พวกจิ่งหนิงก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร เนื่องจากพวกเขาได้บอกที่บ้านแล้วว่า ตอนกลางวันจะไม่กลับไปกินข้าวที่บ้าน
ไม่นานรถก็จอดอยู่ที่หน้าประตูโรงแรม
ลู่จิ่งเซินประคองเธอลงจากรถ และคนกลุ่มหนึ่งก็เดินมุ่งตรงไปยังเฉียวฉี ตอนนี้พวกเขาต่างเดินไปที่ห้องอาหารชั้นสอง
ในห้องอาหาร เฉียวฉีและกู้ซือเฉียนกำลังนั่งอยู่ที่ห้องVIP รอคอยพวกเขาอย่างเงียบๆ
ห้องVIP ด้านหนึ่งเป็นหน้าต่าง ด้านล่างของหน้าต่างตรงกับประตูใหญ่ของโรงแรมพอดี
ดังนั้น ตอนที่พวกของจิ่งหนิงลงจากรถ ที่จริงแล้วทั้งสองต่างมองเห็นแล้ว
เฉียวฉีดีใจอยากจะออกไปต้อนรับพวกเขา ส่วนกู้ซือเฉียนจนปัญญา ทำได้เพียงออกไปกับเขาด้วย หลังจากที่ต้อนรับคนกลุ่มนี้แล้ว ทุกคนต่างก็เข้าไปในห้องด้วยความดีอกดีใจ
มีพนักงานเข้าไปเสิร์ฟชาและของว่าง เฉียวฉีและเขาไม่ได้เจอกันนาน แน่นอนว่าจะต้องพูดคุยกันยกใหญ่
ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงได้เริ่มพูดคุยหัวข้อหลัก
“ข้อมูลของเฉินซื่อโป๋คนนี้ ผมได้จัดระเบียบข้อมูลเรียบร้อยแล้ว เมื่อสักครู่นี้ได้ส่งข้อมูลเข้าอีเมลของพวกคุณแล้ว พวกคุณลองดูสิ”
ขณะที่หัวเหยากำลังพูด
คนเหล่านั้นต่างหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดอีเมลดู
หลังจากที่ดูเรียบร้อยแล้ว กู้ซือเฉียนก็ยักคิ้ว
“ทำธุรกิจเกี่ยวกับการเงิน?”
“ใช่”หัวเหยาพยักหน้า“แต่ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้เขาชื่นชอบการสะสมวัตถุโบราณเป็นพิเศษแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ชิ้นนี้ก็คงจะสะสมในตอนนั้น ตอนที่ข่าวเกี่ยวกับแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์แพร่ออกมา เขาได้สะสมไว้แล้ว แต่ว่าเขาคงไม่รู้ว่า แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์มีทั้งหมดยี่สิบชิ้น คงคิดมาตลอดว่ามีเพียงชิ้นเดียว ดังนั้นเมื่อได้ยินข่าวว่ามีการประมูลหยกชิ้นนั้นที่เมืองหลิน ก็คิดมาโดยตลอดว่าหยกชิ้นนั้นเป็นของปลอม ก็เลยไม่ได้ให้ความสำคัญ วันนั้นผมก็ได้ยินเขากับซื่อโป๋พูดคุยกันโดยบังเอิญ ถึงได้รู้ว่าในมือเขามีหยกชิ้นนั้นอยู่”
กู้ซือเฉียนพยักหน้า
จิ่งหนิงยิ้มพลางพูดขึ้นว่า:“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะบอกเขาว่าของที่อยู่ในมือของเขาเป็นของจริงงั้นเหรอ?”
เมื่อประโยคนี้พูดออกไป คนสองสามคนพวกนั้นก็มีสีหน้าที่แปลกๆ
คนที่อยู่ในที่นี่ต่างเป็นคนที่ทำธุรกิจอย่างเฉลียวฉลาด
แม้แต่หัวเหยาที่ไม่ค่อยรู้เรื่องธุรกิจมากนัก แต่เนื่องจากพ่อและพี่ชายล้วนเป็นนักธุรกิจ จึงทำให้ได้รับอิทธิพลในด้านนี้ไม่น้อย
แน่นอนว่าพวกเขาเข้าใจโดยอัตโนมัติ ที่จริงแล้ววิธีที่ดีที่สุดก็คือไม่บอกเขาว่าแผ่นหยกชิ้นนี้เป็นของจริง
จากนั้นทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ซื้อหยกชิ้นนั้นมา เมื่อได้หยกมาอยู่ในมือแล้ว ต่อไปแม้ว่าเขาจะได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มา ก็คงทำอะไรพวกเขาไม่ได้
แต่ว่าบางครั้งคนก็เป็นเช่นนี้
หากเป็นเพราะเพื่อผลประโยชน์จริงๆ บางทีคนพวกนี้คงไม่สามารถมารวมตัวอยู่ด้วยกันได้
เมื่อคิดเช่นนี้ กู้ซือเฉียนก็นิ่งเงียบครู่หนึ่ง
“ผมจะลองไปคุยกับเขาดูก่อน หากเขายอมมอบหยกให้ดีๆก็คงจะดีที่สุด แต่หากเขาไม่เต็มใจ ผมก็คงต้องคิดวิธีอื่น”
จิ่งหนิงพยักหน้า
“แบบนี้ดีที่สุด เพราะถึงยังไงซื่อโป๋ก็เป็นคนของตระกูลจิ้น ก็ไม่ควรที่จะปิดบังเขา เรื่องนี้ฉันว่าจี้หลินยวนเป็นคนกลางไปพูดโน้มน้าว ผลที่ออกมาน่าจะดีหน่อย”
ขณะที่เธอพูด สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่จี้หลินยวน
เห็นเพียงจี้หลินยวนยกแก้วขึ้น กำลังเตรียมดื่มชา
เมื่อได้ยินคำพูดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นพลางเหลือบมองพวกเขาครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดก็พยักหน้า
“ได้ ผมทราบแล้วครับ”
จิ่งหนิงนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าทุกคนไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ดังนั้นจึงพูดข้อสังเกตเมื่อวานนี้ของตนกับลู่จิ่งเซินออกมา