วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 1016 พบกับซื่อโป๋
เมื่อพูดข้อสงสัยนี้ออกมา ทุกคนต่างตะลึงงัน
แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้คิดถึงปัญหานี้มาก่อน
กู้ซือเฉียนขมวดคิ้ว
“ที่จริง เมื่อคุณพูดเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ผมก็รู้สึกสงสัยในแรงจูงใจของหนานกงจิ่นเหมือนกัน แต่ว่าหลังจากที่สังเกตอยู่นาน ผมก็ไม่เห็นว่าเขาจะมีความคิดอะไรที่แฝงอยู่”
เฉียวฉีขมวดคิ้วแน่น
“เมื่อพูดเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เรื่องๆนี้มีบางอย่างผิดปกติ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ที่ดูแปลกๆมาโดยตลอด”
จิ่งหนิงถามขึ้น:“เรื่องอะไร?”
“ผมกับกู้ซือเฉียนเคยเห็นหนานกงจิ่นกับตาตัวเอง ดูแล้วเขาน่าจะอายุสามสิบกว่า หากอิงตามเหตุผล บุคคลเช่นนี้ หากเขามีความสามารถมากมาย เป็นคนที่มีเงินทองและอำนาจก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่หลายปีมานี้จะไม่มีข่าวลือเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าเขากลับสามารถควบคุมตระกูลหนานได้ทั้งตระกูลอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แม้แต่ตอนที่อยู่ต่อหน้าหนานกงยวู่ เขาก็ดูต่ำต้อยราวกับคนใช้ ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้มันเหลือเชื่อจริงๆ”
เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา ทันใดนั้นทุกคนต่างตกอยู่ในภาวะครุ่นคิด
ใช่แล้ว หนานกงยวู่เป็นใครกัน?
ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด แต่ก็สามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งของหัวหน้าตระกูลได้ ดูแล้วเขาคงจะไม่ใช่คนที่ไม่มีความสามารถแน่ๆ
คนๆหนึ่งที่ไม่ใช่คนไร้ความสามารถ อายุเกือบหกสิบปีแล้ว แต่กลับยอมให้ชายหนุ่มวัยสามสิบกว่าปีควบคุม แม้กระทั่งกลายเป็นหุ่นเชิดและโล่กำบังของเขา เพราะอะไรกัน?
ทุกคนต่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ในที่สุด จี้หลินยวนก็เป็นคนเอ่ยปาก
“หรือไม่ก็คนๆนี้มีอะไรพิเศษกว่าคนอื่น ที่สามารถทำให้หนานกงยวู่ยอมรับอย่างสุดจิตสุดใจ หรือไม่ก็เป็นเพราะว่าพวกเขามีเครื่องต่อลองอยู่ในมือ”
เมื่อความคิดนี้ถูกพูดออกไป ก็ถูกลู่จิ่งเซินปฏิเสธ
“ไม่น่าจะเป็นไปได้ แม้ว่าหนานกงยวู่จะดูเหมือนคนที่ไม่มีความสามารถ แต่จริงๆแล้วเขาเป็นคนที่มีความสามารถ ผู้นำตระกูลหนานเป็นตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่และล่อตาล่อใจ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมทิ้งอำนาจและตำแหน่งนี้เพื่ออะไรบางอย่าง นอกเสียจากมีเพียงความเป็นไปได้อย่างเดียวก็คือ”
คนสองสามคนมองไปที่เขา “ความน่าจะเป็นคืออะไร?”
“หากเขาไม่เชื่อฟังหนานกงจิ่น ก็จะต้องตาย”
ผู้ฟังต่างตะลึงงัน
กู้ซือเฉียนขมวดคิ้ว พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า:“หรือว่าเป็นเพราะต้นเงินทองอยู่ในมือของเขา?คนในตระกูลหนาน กินยาพวกนั้นก็เลยไม่ตายไม่ใช่เหรอ?ดังนั้นหนานกงยวู่ถึงได้เชื่อฟังคำพูดของเขามากมายขนาดนั้น?”
ลู่จิ่งเซินส่ายศีรษะ
“ไม่แน่ใจ ตามหลักการแล้ว ตระกูลหนานพัฒนามาหลายปีต้นเงินทองถือว่าเป็นชีวิตและเส้นเลือดของพวกเขา ไม่น่าจะถูกใครควบคุมได้ง่ายๆถึงจะถูก”
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เขาก็นวดคลึงที่คิ้ว
“เรื่องๆนี้ จำเป็นต้องตรวจสอบให้ชัด ตีงูต้องตีให้แม่น หากเราไม่หาข้อมูลประวัติความเป็นมาของหนานกงจิ่นให้ชัดเจน พวกเราก็จะตกอยู่ในสภาวะถูกกระทำ”
กู้ซือเฉียนพยักหน้า เห็นด้วยกับวิธีการนี้
“เรื่องนี้ผมจะไปจัดการเอง เมื่อตรวจสอบเจอสาเหตุแล้ว จะบอกพวกคุณ”
คนสองสามคนต่างพยักหน้า
พวกเขายังคงนั่งอยู่ที่นั้นพูดคุยกันครู่หนึ่ง เมื่อรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ก็ต่างคนต่างแยกย้าย
แน่นอนว่าลู่จิ่งเซินกลับบ้านตระกูลจิ้นไปพร้อมกับหัวเหยากับจี้หลินยวน
เนื่องจากงานเลี้ยงจะจัดขึ้นในตอนกลางคืน ดังนั้นหากพวกเฉียวฉีไปตอนนี้ก็คงจะไม่สะดวก ดังนั้นจึงนัดแนะกันอย่างเรียบร้อยว่าคืนนี้ค่อยเจอกันเวลาสองทุ่ม
งานเลี้ยงดำเนินไปตามเวลาที่กำหนดไว้
เนื่องจากเป็นงานเลี้ยงที่เป็นทางการ จิ่งหนิงและลู่จิ่งเซินจึงเปลี่ยนมาใส่ชุดที่ค่อนข้างหรูหรา เด็กน้อยทั้งสองก็เปลี่ยนมาใส่ชุดที่สวยงาม
แน่นอนว่าอานอานเธอใส่ชุดกระโปรงตัวน้อยที่เธอชอบที่สุด จิ้งเจ๋อน้อยใส่ชุดสูทสีดำ รับกับใบหน้าจิ้มลิ้มสีขาว น่ารักเป็นอย่างมาก
ตระกูลจิ้นถือว่าเป็นตระกูลที่ไม่เป็นสองรองใคร ดังนั้นงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ จึงครึกครื้นเป็นอย่างมาก
ท่านย่าจิ้นใส่เสื้อคอจีนสีแดงเข้ม นั่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเป็นคนแก่ที่ดูมีชีวิตชีวา และดูดีอกดีใจเป็นอย่างมาก
หล่อนทยอยทักทายกับคนที่มาร่วมงานทีละคนๆ
ในฐานะที่จี้หลินยวนและจิ้นชิงซานเป็นหลานชายของหล่อน แน่นอนว่าจะต้องอยู่ต้อนรับแขกข้างกายหล่อน
แต่สำหรับหัวเหยานั้น เนื่องจากเรื่องภายในบ้านหล่อนไม่จำเป็นต้องกังวล ดังนั้นหล่อนจึงว่างไม่มีอะไรทำ ก็เลยได้พูดคุยเล่นกับจิ่ง หนิงสักครู่หนึ่ง
ประมาณสองทุ่มครึ่งกว่าๆ แขกที่ควรมาก็มากันครบแล้ว
ในที่สุดท่านย่าจิ้นก็กลับไปพักผ่อนครู่หนึ่ง เพราะถึงยังไงอายุก็มากแล้ว นั่งอยู่แบบนี้นานๆก็คงจะไม่ไหว
ดังนั้น จิ้นชิงซานจึงให้จี้หลินยวนอยู่ต่อเพื่อดูแลแขก ส่วนตนเองนั้นประคองท่านย่าเข้าไปในห้องพักผ่อน
จี้หลินยวนตามหาหัวเหยาท่ามกลางผู้คน ในที่สุดก็หาที่ๆหล่อนอยู่จนเจอ แล้วเดินเข้าไปหา
ในเวลานี้เฉียวฉีและกู้ซือเฉียนก็มาด้วย
แม้ว่าพวกเขากับตระกูลจิ้นจะไม่ได้ไปมาหาสู่กัน แต่ว่าต่างก็เป็นคนในวงการเดียวกัน ในเมื่อมาอวยพรวันเกิด แน่นอนว่าท่านย่าคงไม่ไล่ออกไปข้างนอกอย่างแน่นอน
อีกทั้ง ตอนที่กลุ่มชาวจีนเกิดปัญหา แม้ว่าท่านย่าจะไม่ได้จัดการเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว แต่เมื่อได้ข่าว และดูเหมือนว่าหลานชายของตนจะเข้าไปแทรกแซง ในเมื่อเป็นเพื่อนของหลานชาย แน่นอนว่าจะต้องดูแลเป็นอย่างดี
ดังนั้น ก่อนที่ท่านย่าจะจากไป ก็ได้ทักทายกับกู้ซือเฉียนและเฉียวฉีเป็นพิเศษ
แน่นอนว่าทั้งสองคนก็ต่างนอบน้อม เมื่อส่งท่านย่าแล้ว ถึงได้มาพวกจี้หลินยวน และเดินไปยังบริเวณมุมข้างๆที่ค่อนข้างเงียบ
“เมื่อสักครู่นี้ผมได้ทักทายกับเฉินซื่อโป๋แล้ว และให้เขาไปรอพวกเราอยู่ที่ห้องพักผ่อนชั้นสอง เดี๋ยวผมจะพาพวกคุณไปในตอนนี้”
ขณะที่จี้หลินยวนพูด
กู้ซือเฉียนและเฉียวฉีก็ต่างพยักหน้า
“รบกวนคุณแล้ว”
หัวเหยายิ้มพลางพูดขึ้นว่า:“ไม่รบกวนหรอกครับ แต่ว่าผมยังไม่ได้บอกเขาว่าพวกเราต้องการพบเขาด้วยสาเหตุอะไร เดี๋ยวสักพักพวกคุณก็คุยกับเขาเองเลยนะครับ”
เฉียวฉีพยักหน้า
คนสองสามคนต่างพากันเดินขึ้นไปชั้นสอง แน่นอนว่าลู่จิ่งเซินและจิ่งหนิงก็เดินตามไปด้วย
เมื่อผลักประตูห้องพักผ่อนออกมาก็พบว่ามีผู้ชายอายุห้าสิบกว่าคนหนึ่งนั่งอยู่ที่นั้น เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา ชายคนนั้นตะลึงงันครู่หนึ่ง น่าจะคิดไม่ถึงว่าจู่ๆก็มีคนเข้ามามากมายขนาดนี้ แต่ว่าเขาก็คือคนในวงการธุรกิจที่เคยพบเจอคนมามากมาย ไม่นานเขาก็สงบลง ลุกขึ้นยิ้มพลางพูดขึ้นว่า
:“พวกคุณมากันแล้ว รีบนั่งลงเถอะ”
ขณะที่พูด สายตาก็มองไปยังกู้ซือเฉียนและลู่จิ่งเซินครู่หนึ่ง
เดิมทีกู้ซือเฉียนก็เป็นคนที่ค่อนข้างทำตัวค้อมต่ำไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ แม้ว่าจะมีทรัพย์สมบัติมากมายอยู่ในมือ แต่ก็น้อยมากที่จะปรากฎตัวต่อหน้าสาธารณะในวงการธุรกิจ
แต่ลู่จิ่งเซินนั้นไม่เหมือนกัน
เขาเป็นประธานกรรมการบริหารลู่ซื่อและรู้เรื่องธุรกิจทุกอย่างค่อนข้างลึกซึ้ง มีใครบ้างที่ไม่รู้จักเขา?
ดังนั้น เมื่อเฉินซื่อโป๋เห็นเขา สายตาก็เป็นประกายครู่หนึ่ง
“ท่านนี้คือประธานลู่ใช่ไหม?ยินดีที่ได้พบคุณ ยินดีที่ได้พบคุณ”
ขณะที่เขาพูด ก็เดินเข้ามาข้างหน้า พลางจับมือกับลู่จิ่งเซิน
ลู่จิ่งเซินยิ้มอย่างราบเรียบ จี้หลินยวนก็แนะนำให้เขารู้จักกับกู้ซือเฉียนเฉียวฉีและจิ่งหนิงเฉินซื่อโป๋ทักทายทีละคนๆ ท่าทางสนิทสนมและอบอุ่นใจไม่น้อย
หลังจากที่แนะนำเสร็จ ทุกคนก็ต่างนั่งลง
เฉินซื่อโป๋ดื่มชาไปด้วย พลางพูดยิ้มขึ้นว่า:“เมื่อสักครู่นี้ซือเฉียนบอกว่ามีเรื่องธุรกิจอยากจะคุยกับผม ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรเหรอครับ?”
จี้หลินยวนพูดขึ้นอย่างราบเรียบว่า:“มีธุระจริงๆครับ เรื่องๆนี้เกรงว่าอาจจะต้องทำให้ เฉินซื่อโป๋ต้องสูญเสียของรักเพื่อช่วยเหลือพวกเรา ส่วนรายละเอียดนั้นให้กู้ซือเฉียนเป็นคนพูดก็แล้วกันครับ”