วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 1019 เขาเป็นคนเอาไป
แต่เขาไม่เคยเห็นชื่อโจวฉือเจินในใบรายชื่อแขกมาก่อนเลย
เมื่อคิดถึงจุดนี้ สีหน้าของจี้หลินยวนก็ขรึมลง
“ผมไม่เคยเห็นชื่อๆนี้”
เมื่อคำพูดนี้พูดออกไป จู่ๆคุณนายเฉินก็รู้สึกประหลาดใจ
“จะเป็นไปได้ยังไง……”
ในเวลานี้เฉินซื่อโป๋ราวกับคิดอะไรขึ้นได้ ทันใดนั้นก็พูดขึ้นว่า:“ก่อนหน้าที่พวกคุณไม่ได้พูดถึง ผมก็ไม่ทันได้สังเกต แต่เมื่อสักครู่นี้ผมคิดขึ้นได้ วันนี้ผมก็ไม่เห็นฉือเจินเหมือนกัน”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ความจริงก็ถูกเปิดเผย
กู้ซือเฉียนพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า:“ถ้างั้นก็ต้องรบกวนให้คุณนายเฉินช่วยติดต่อหลานชายคนนี้แล้ว”
คุณนายเฉินรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
“ได้ ฉันจะโทรหาเขาเดี๋ยวนี้แหละ”
ขณะที่หล่อนพูด ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหา โจวลี่เจิน
แต่ว่าเมื่อกดโทรศัพท์โทรออก กลับได้ยินเพียงสัญญาณปิดเครื่องของฝ่ายตรงข้าม
ในเวลานี้ ทั้งสองก็ต่างทำอะไรไม่ถูก
“นี่ ทำไมถึงได้ปิดเครื่องล่ะ ?พวกคุณอย่าเพิ่งรีบร้อน ลองโทรดูใหม่ ”
คุณนายเฉินพูดพลาง กดโทรออกอีกหลายครั้ง
จากนั้นไม่ว่าจะโทรออกอย่างไร ฝ่ายตรงข้ามก็ปิดเครื่อง
ในเวลานี้แม้แต่ คุณนายเฉินก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกแล้ว
จิ่งหนิงทำท่าทางเพื่อบอกหล่อนว่าไม่ต้องโทรแล้ว เขยิบก้าวขึ้นไปข้างหน้า และขวางมือของหล่อนไว้
“ไม่ต้องโทรแล้ว”
เธอหันไปมองจี้หลินยวน“คนก็หนีไปแล้ว ก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์เพิ่งจะถูกขโมยไป เขาก็หายตัวไป บนโลกใบนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่บังเอิญขนาดนี้ จี้หลินยวนคุณมีเครือข่ายอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก และก็ค่อนข้างคุ้นเคยกับสถานที่ คุณสองส่งคนไปตามหาเถอะ”
จี้หลินยวนพยักหน้า เมื่อเฉินซื่อโป๋เห็นเช่นนั้น ก็รีบพูดขึ้นอย่างรีบร้อนว่า:“เดี๋ยวผมจะบอกสถานที่ที่เขาชอบไปให้นะครับ แล้วคุณส่งคนไปตามหาที่นั้น”
ดังนั้น ทั้งสองก็เดินไปด้วยกันเพื่อไปโทรศัพท์
ส่วนด้านนี้จิ่งหนิงเห็นสีหน้าของคุณนายเฉินซีดเผือด ท่าทางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในใจก็อดไม่ได้
แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่สามารถลงความเห็นได้ว่าของโจวลี่เจินขโมยไปหรือไม่
แต่ดูจากหลักฐานและสถานการณ์ในตอนนี้ ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง
เพราะถึงยังไง กุญแจของที่นี่ก็มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่มี และตอนนี้เขาก็ไม่สามารถติดต่อได้
สามีภรรยาตระกูลเฉินไม่มีลูก และพวกเขาก็ปฏิบัติต่อโจวลี่เจินเสมือนลูกแท้ๆมาโดยตลอด แต่หากตอนนี้โจวลี่เจินกลับหักหลังเขา พวกเขาจะรู้สึกเสียใจแค่ไหน
จิ่งหนิงถอนหายใจครู่หนึ่ง เขยิบเข้ามาพลางพูดปลอบใจว่า:“คุณนายเฉินคุณอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลยค่ะ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หาคนให้เจอก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
คุณนายเฉินพยักหน้า
ไม่นาน จี้หลินยวนก็ได้ส่งคนแยกตามหา
คุณนายเฉินพาทุกคนเข้ามานั่งยังห้องรับแขก จะสั่งให้คนรับใช้ยกน้ำชามาเสิร์ฟ
เมื่อเฉินซื่อโป๋เห็นว่าสีหน้าของหล่อนไม่ค่อยสู้ดีนัก จึงพูดขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า:“ที่นี่มีผมอยู่ คุณไม่ต้องยุ่งหรอก กลับห้องไปพักผ่อนเถอะ ถ้าได้ข่าวอะไรเดี๋ยวผมจะขึ้นไปบอกคุณเอง”
คุณนายเฉินส่ายศีรษะ
“ตอนนี้เป็นแบบนี้แล้ว ฉันจะหลับลงได้ยังไง?”
หล่อนมองเฉินซื่อโป๋อย่างรอคอย และพลางถามขึ้นว่า:“คุณว่า ของนั้นเจินเป็นคนเอาไปจริงๆเหรอ?”
จู่ๆหว่างคิ้วของเฉินซื่อโป๋ก็ แสดงให้เห็นถึงความลังเลใจ
ในที่สุดก็ส่ายศีรษะ
“ผมเชื่อว่าไม่ใช่เขา แต่ว่ายังไงก็ต้องตามหาเขาให้เจอก่อน”
ในตอนนี้คุณนายเฉินจึงยอมพยักหน้า
คนที่จี้หลินยวนส่งไปตามหา ทำงานได้อย่างรวดเร็วมาก ไม่นาน ก็ตามหาคนจนเจอ
เพียงแต่ว่าตอนที่พาคนกลับมา โจวลี่เจินดูจนตรอกมากเป็นพิเศษ ไม่ได้ดูสง่างามเหมือนเมื่อก่อน
ลักษณะท่าทางของเขาดูไม่มีชีวิตชีวา ไร้ซึ่งพลังงาน เสื้อเชิ้ตบนตัวเขาหลุดลุ่ย ผมก็กระเซอะกระเซิง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเลือดและคราบฝุ่น ดูราวกับไปสู้รบกับใครมา
เมื่อคุณนายเฉินเห็นสภาพของเขาเช่นนี้ ก็ตกใจในทันที
“ลี่เจิน เป็นยังไงบ้าง?ใครทำร้ายคุณเหรอ?”
หล่อนพูดพลางเข้าไปกอดเขาด้วยความรัก
โจวลี่เจินพูดขึ้นด้วยความแค้นใจว่า:“ไม่มีใครทำร้ายผมหรอกครับ ผมเป็นคนทำตัวเอง”
“ทำด้วยตนเอง แล้วทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้ล่ะ?”
สรุปแล้วคุณนายเฉินก็ยังคงรักและเอ็นดูเขาอยู่
โจวลี่เจินเงยหน้าขึ้น เหลือบมองกลุ่มคนที่อยู่ ณ ที่นั้นครู่หนึ่ง
“ผม……”เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า:“ผมเห็นพวกเขามาจับตัวผม ผมคิดจะหลบหนี ก็เลยล้มลง”
ในเวลานี้จี้หลินยวนเขยิบขึ้นมาอธิบายว่า:“ลูกน้องของผมลงมือไม่รู้จักกาลเทศะ ทำให้คุณชายโจวต้องตกใจ ต้องขอให้คุณนายเฉินให้อภัยด้วยนะครับ”
ในเวลานี้คุณนายเฉินก็เลยพอที่จะเข้าใจ ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง
หล่อนจึงสามารถวางใจลงได้ จากนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นขรึมขึ้น
“ลี่เจิน คุณบอกฉันมาตรงๆนะว่า หยกที่อยู่ในตู้เซฟนั้น คุณเป็นคนขโมยใช่ไหม?”
โจวลี่เจินงงงวยครู่หนึ่ง
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าคุณน้ากับคุณลุงของตนจะตามหาตนอย่างเอิกเกริก เพียงเพราะเพื่อสิ่งนี้
เขาฝืนยิ้ม และไม่ได้ปฏิเสธ
“ผมเป็นคนเอาไปเองครับ ”
วินาทีต่อมา ก็รีบพูดขึ้นอย่างขอร้องว่า:“คุณน้า ผมไม่มีวิธีแล้วจริงๆครับ ผมไม่ได้อยากขโมยของ ผมก็แค่ยืมเพียงไปวางมัดจำครู่เดียว รอผมเก็บเงินได้ครบแล้ว ผมก็จะไปไถ่ถอนกลับคืน”
สีหน้าของคุณนายเฉินเปลี่ยนไป
“วางมัดจำ?คุณไปวางมัดจำกับใคร?”
“ก็แค่เพื่อนในวงการธุรกิจ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ โจวลี่เจินก็ร้อนตัวขึ้นมาทันที
เมื่อถึงเวลานี้ ทำไมเฉินซื่อโป๋จะไม่รู้ล่ะว่าเกิดอะไรขึ้น
สีหน้าของเขาขรึมขึ้น พลางร้องขึ้นเสียงแหลมว่า:“เล่าเรื่องทุกอย่างตามความจริงตั้งแต่ต้นจนจบมาให้ผมฟังเดี๋ยวนี้!”
โจวลี่เจินเริ่มสั่นไหว รู้ทันทีว่าหากวันนี้ทำเพียงโกหกเพื่อเอาตัวรอด ก็คงจะทำไม่ได้
คนสองสามคนที่ยืนอยู่ ณ ที่นี่ แม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้จักทุกคน แต่เขาก็พอจะรู้จักอยู่สองคน ซึ่งเป็นบุคคลที่โดดเด่น
บุคคลเช่นนี้ วันนี้กลับมาปรากฏอยู่ที่บ้านของคุณน้า ก็คงจะต้องมีเรื่องสำคัญเป็นแน่
หรือว่าจะเป็นเพราะเรื่องหยกชิ้นนั้น?
แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ แม้ว่าหยกชิ้นนั้นจะมีคุณภาพดี แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรพิเศษเลย
หากต้องการที่จะหาหยกชั้นดีจริงๆ นั้นก็ไม่ถือว่าเป็นหยกชั้นยอดนะ
เมื่อคิดเช่นนี้ เขาถึงได้วางใจลง
จากนั้น ก็ได้ยบอกสาเหตุที่ตนขโมยหยกชิ้นนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ที่แท้ ก่อนหน้านี้โจวลี่เจินเคยทำงานอยู่ที่บริษัทของเฉินซื่อโป๋
แต่สองปีที่ผ่านมานี้ เขาก็เริ่มมีความทะเยอทะยาน ไม่อยากที่จะทำงานที่บริษัทของคุณลุงและคุณน้า อยากที่จะออกไปสร้างธุรกิจของตนเอง
พ่อแม่ของเขาเป็นเพียงคนธรรมดา แต่เป็นเพราะว่าเขามีคุณลุงและคุณป้าที่ดี ดังนั้นหลายปีมานี้ทำให้ได้เปิดโลกกว้างเป็นจำนวนมาก
คุณนายเฉินพวกเขาไม่มีลูก จึงปฏิบัติต่อเขาเหมือนลูกแท้ๆ เห็นเขาอยากจะสร้างธุรกิจของตนเอง ในใจก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดี
หากเป็นเด็กที่เชื่อฟังและพึ่งพาอาศัยที่บ้านก็เป็นเรื่องดี แต่หากอยากที่จะออกไปสู่โลกภายนอก ก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเขามีความสามารถ
ดังนั้น ทั้งสองจึงมอบเงินทุนให้กับเขา เพื่อให้เขาออกไปออกไปทำธุรกิจตั้งตัว
สองปีมานี้โจวลี่เจินได้เปิดบริษัทภาพยนตร์สองแห่ง ธุรกิจก็ทำได้เจริญรุ่งเรือง ทุกวันยุ่งจนแทบจะไม่เห็นเงาคน