วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 1048 เธออยู่ที่นี่
เมื่อคิดตรงนี้เธอก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง
เมื่อเห็นคนรับใช้ยกชาเข้ามา ก็รู้สึกว่าข้างในห้างไม่มีพิษก็ต้องมีอะไรสักอย่าง
คนรับใช้มีท่าทีที่ดีมาก ๆ เมื่อเห็นเธอนั่งไม่ขยับก็กระซิบเบา ๆ: “คุณจิ่ง ชาค่ะ”
สุดท้ายจิ่งหนิงไม่อาจจะพาลโกรธไปลงที่สาวใช้ ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไร
ได้แต่พูดอย่างเย็นชา “วางไว้ตรงนั้นแหละ”
ความจริงแล้วกลับไม่แม้แต่จะมองด้วยซ้ำ
สาวใช้เบ้ปากและไม่กล้าพูดอะไร หลังจากวางแก้วชาแล้วจึงได้ออกไป
ภายในห้องเหลือเพียงจิ่งหนิงเพียงคนเดียว
เธอนั่งอยู่ตรงนนั้นและไม่รีบร้อนจะขยับและมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างพิจารณา
ห้องตกแต่งอย่างหรูหราแต่การตกแต่งค่อนข้างเรียบง่าย
เธอนับได้ว่าภายในห้องติดตั้งกล้องวงจรปิดอย่างน้อยสี่ตัวซึ่งเธอสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้
นี่หนานกงจิ่นคิดจะทำอะไร?
เธอไม่อาจจะคิดอย่างไร้เดียงสาว่าหนานกงจิ่นลงแรงไม่มากขนาดนี้ จับตัวเธอมาที่นี่แล้วยังใช้โซ่ตรวนขังเธอไว้จะทำไปเพื่อความสนุก
แต่ถึงแม้เธอจะเป็นเพื่อนของกู้ซือเฉียนกับเฉียวฉี แต่เธอก็ไม่เคยอะไรเกี่ยวข้องกับหนานกงจิ่นมาก่อน และไม่มีผลประโยชน์อะไรที่ขัดแย้งกัน
ลู่ซื่อกรุ๊ปกับตระกูลหนานมีความแตกต่างชัดเจน ไม่มีธุรกิจอะไรที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน
ดังนั้นในน้ำเต้าของเขามียาอะไรกันแน่?
ในระหว่างที่ความคิดมากมายของจิ่งหนิงยังคงค้างคาอยู่นั้น ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องมาจากข้างนอก
“หนิงหนิง”
จิ่งหนิงสั่นอย่างรุนแรงพูดโดยไม่รู้ตัว “แม่ หนูอยู่นี่ค่ะ”
“หนิงหนิง!”
โม่ไฉ่เวยวิ่งเข้ามาพร้อมกับร้องไห้
และไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธออายุมากแล้ว บวกกับและเพราะเธอไม่รู้ศิลปะการต่อสู้ หนานกงจิ่นจึงไม่ควบคุมเธออย่างเข้มงวด
อย่างน้อย ดูจากตอนนี้ เธอเป็นอิสระและไม่เหมือนกับจิ่งหนิงที่ถูกมัดมือมัดเท้าไว้
เมื่อโม่ไฉ่เวยเห็นจิ่งหนิงก็รู้สึกเหมือนกับว่าได้กระดูกสันหลังแล้ว เธอรีบวิ่งเข้าไปจับใบหน้าแล้วมองขึ้นและลง “หนิงหนิง ลูกไม่เป็นไรนะ? หนิงหนิง?”
จิ่งหนิงส่ายหน้า “หนูไม่เป็นไรค่ะ”
เธอกวาดสายตามองดูตัวของโม่ไฉ่เวยอย่างรวดเร็วและพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติและดูไม่เหมือนจะได้รับบาดเจ็บอะไร จึงได้เบาใจลงบ้าง
“แม่คะ เป็นยังไงบ้าง? พวกมันทำร้ายแม่รึเปล่า? แม่มีตรงไหนไม่สบายไหม?”
“ไม่มี แม่สบายดี”
โม่ไฉ่เวยพูดเบา ๆ แต่ตัวเธอกลับสั่นเล็กน้อย
จิ่งหนิงรู้ว่าเป็นเพราะจู่ ๆ ก็เกิดเรื่องไม่คาดฝัน ทำให้ภายใต้ความทรงจำที่ไม่ดีในจิตใต้สำนึกของเธอ ดังนั้นเธอจึงกลัว
เธอจึงพูดปลอบเบา ๆ: “แม่คะ แม่ไม่ต้องกลัวนะ มีหนูอยู่ด้วยนะ เราจะไม่เป็นไรค่ะ”
โม่ไฉ่เวยพยักหน้าและถามด้วยดวงตาที่แดงก่ำ: “หนิงหนิง พวกเขาเป็นใคร? ทำไมจะต้องจับเรามาที่นี่ด้วย?”
จิ่งหนิงเม้มปาก
เธอไม่มั่นใจว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้โม่ไฉ่เวยฟังดีหรือไม่
แต่ถ้าไม่เล่าเธอมีแต่จะยิ่งเป็นกังวล
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จิ่งหนิงกัดฟันและพูดเสียงขรึม: “พวกมันก็คือคนที่หนูเล่าให้แม่ฟังก่อนหน้านี้ ข่มขู่กู้ซือเฉียนกับเฉียวฉีให้ไปหาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์”
เรื่องนี้จิ่งหนิงเคยบอกเธอเมื่อครั้งที่ยังอยู่ในเมืองT
ดังนั้นโม่ไฉ่เวยกับเซวซู่ต่างรู้เรื่องนี้
โม่ไฉ่เวยได้ยินแล้วเบิกตาโพลงทันที
“ลูกจะบอกว่าพวกเขาคือคนจากตระกูลหนาน?”
“อือ”
จิ่งหนิงพยักหน้า
“แต่…คนตระกูลหนาน ทำไมถึงจับตัวเราล่ะ?”
“หนูก็ไม่รู้ค่ะ”
จิ่งหนิงคิดแล้วพูดอีก: “แต่แม่ไม่ต้องเป็นห่วง พวกมันไม่ได้คิดจะเอาชีวิตเรา ไม่ว่าจะพูดยังไง ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ลู่จิ่งเซินกับคุณอาเชวคงได้ข่าวแล้วว่ามีเรื่องเกิดกับพวกเรา พวกเขาจะต้องหาวิธีมาช่วยเราแน่นอน ดังนั้นเราจะต้องทำใจให้สบาย คอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ และรอพวกเขาก็พอค่ะ”
โม่ไฉ่เวยหน้าซีดและพยักหน้า
ถึงแม้จิ่งหนิงจะปลอบใจเธอแบบนั้น แต่ในใจก็เข้าใจดี
หนานกงจิ่นกับคนที่เธอเคยพบเจอในอดีตนั้นไม่เหมือนกัน
พวกเขารู้จักคนคนนี้น้อยมาก หากไม่ใช่เพราะเรื่องของกู้ซือเฉียนและเฉียวฉี ก็พูดได้ว่า พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่าบนโลกนี้ยังมีคนแบบนี้อยู่ด้วย
หัวหน้าตระกูลหนานที่สูงส่งมีฐานะอยู่เหนือคนนับหมื่น แท้จริงแล้วเป็นเพียงเรื่องตลกทั้งเพ
และสำหรับศัตรูที่พวกเขาไม่เข้าใจ มันยากมากที่จะจัดการกับเขา
แม้ว่าจะฉลาดพอๆ กับลู่จิ่งเซิน แต่พวกเขาอาจจะไม่สามารถหาพวกเธอเจอได้ในเวลาอันสั้น
แต่ทั้งหมดนี้ เธอไม่อาจจะพูดกับโม่ไฉ่เวยได้ เพื่อไม่ให้เธอต้องตื่นกลัวอยู่แล้ว ต้องตื่นตระหนกมากขึ้นกว่าเดิมไปอีกเพราะเรื่องนี้
ก่อนหน้านี้โม่ไฉ่เวยนั้นกลัวมาก แต่เมื่อได้เจอกับจิ่งหนิงแล้วเธอก็มีความกลัวน้อยลงกว่าก่อนหน้านี้
จิ่งหนิงพูดไม่ผิด ลู่จิ่งเซินกับเซวซู่ไม่มีทางไม่เหลียวแลพวกเธอ ดังนั้นตนเองจะต้องมั่นคงและรอพวกเขามาก็พอ
ใช่ มั่นคง จะต้องมั่นคง
เมื่อคิดเช่นนี้ เธอมองลงมาเล็กน้อยและเห็นโซ่เหล็กล็อคอยู่ที่ข้อมือและข้อเท้าของจิ่งหนิง
เธอจ้องเขม็ง
“หนิงหนิง นี่มันคืออะไร?”
เธอหยิบโซ่เหล่านั้น ดวงตาแดงก่ำ
“พวกมันทำไมทำกับลูกแบบนี้ได้? ลูกเป็นหญิงท้องนะ นะ นี่…”
จิ่งหนิกลัวว่าเธอจะตื่นตระหนกจึงรีบกล่อมเธอ: “แม่คะ หนูไม่เป็นไร พวกมันทำแบบนี้เพื่อป้องกันไม่ให้หนูหนีไปได้เท่านั้น จะว่าไปแล้ว หนูก็ไม่ได้ถูกจำกัดการเคลื่อนไหวเท่าไหร่”
เธอพูดและเม้มปากเล็กน้อย แล้วลดเสียงลงทันใด กระซิบเป็นเสียงที่ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น: “ในห้องนี้มีกล้องวจรปิด หนึ่งตัวข้างหลังแม่ที่สี่นาฬิกา อีกตัวที่สิบสองนาฬิกา และอีกตัวตรงกระถางดอกไม้ที่เท้าขวาด้วย และอีกตัวเหนือประตู แม่สังเกตดูนะคะ ถ้ามีโอกาส ก็หาทางปิดพวกมัน”
โม่ไฉ่เวยอึ้งไปเล็กน้อย และคิดจะเงยหน้าขึ้นดูโดยไม่ทันตั้งตัวและกลับถูกจิ่งหนิงความคุมไว้
“อย่ามองค่ะ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ รอสักพักแล้วค่อย ๆ แอบสังเกตดูตอนไม่รู้ตัว”
โม่ไฉ่เวยจึงได้สติและรีบพยักหน้า
ทั้งสองคนจึงได้อยู่ในห้องนั้น
ถึงแม้หนานกงจิ่นจะไม่ได้มัดมือมัดเท้าโม่ไฉ่เย แต่ด้านนอกห้องก็มีคนเฝ้าอยู่ตลอด บอกว่าเป็นคนรับใช้ที่รอรับคำสั่งจากพวกเขา แต่จิ่งหนิงเข้าใจดีว่าความจริงแล้วก็คือคนที่มาเฝ้าพวกเธอ
แต่ตอนนี้เธอท้องอยู่ โม่ไฉ่เวยเองก็แก่แล้ว บวกกับไม่มีวิชาอะไรเลย เธอเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอและไม่มีแรงกำลัง
เธอจึงไม่คาดหวังว่าพวกเธอสองคนจะสามารถหนีออกไปจากที่นี่ได้
ดังนั้นจึงได้ตัดสินใจใช้ความสงบนิ่ง เธอจะรอดูว่าหนานกงจิ่นคิดจะทำอะไรกันแน่
ในตอนนี้ที่อีกด้าน ลู่จิ่งเซินแทบจะบ้าอยู่แล้ว
ทำไมเขาถึงคิดไม่ออก ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ จะกลับประเทศอยู่แล้ว ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ได้