วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 1050 ตรวจสอบทันที
ใคร ๆ ก็รู้ว่าจิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินไม่มีความแค้นอะไรกันก่อนหน้านี้
พูดได้ว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือธุรกิจก็ไม่เกี่ยวข้องกัน
หนานกงจิ่นเองก็ไม่มีเหตุผลจะต้องระรานพวกเขา
เหตุผลเดียวที่ฟังขึ้น ก็คือช่วงนี้ พวกเขาช่วยเหลือกู้ซือเฉียนกับเฉียวฉีในการค้นหาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์
ดังนั้น เรื่องนี้ กู้ซือเฉียนไม่มีทางจะบอกปัดได้
หลังจากทั้งสองคนคุยกันแล้ว ลู่จิ่งเซินก็วางสาย
เซวซู่ที่อยู่ข้างเขาเมื่อครู่ ได้ยินเนื้อหาที่คุยกันด้วยตัวเอง
ดังนั้น เมื่อเห็นเขาวางสายแล้วจึงถาม: “งั้นตอนนี้พวกเราควรทำอะไร? หรือว่าให้นั่งรออยู่ตรงนี้? แล้วจะต้องรอถึงเมื่อไหร่?”
ลู่จิ่งเซินลังเลครู่หนึ่งแล้วพูดว่า: “ถ้าหากสะดวกละก็ คุณพอจะตรวจสอบได้ไหมว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในเมือง?”
เซวซู่ขมวดคิ้ว
เขาพยักหน้า
“ถ้าคุณอยากรู้ ผมจะหาให้ทันที”
“อย่างนั้นรบกวนคุณช่วยตรวจดูที ผมรู้สึกว่าที่หนานกงจิ่นมาครั้งนี้ คงจะไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ อย่างนั้น เขาอยู่เฉยๆที่นี่มานานมากแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีที่อยู่เฉพาะเจาะจง ก่อนหน้านี้ผมให้คนออกไปตามสืบตามโรงแรมใหญ่ ๆ แต่ก็ไม่พบเบาะแสเขาแม้เงา พูดได้ว่าเขาต้องอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของเขาเท่านั้น”
เซวซู่พยักหน้า “ได้ งั้นผมจะไปสืบดูทันที ดูว่าธุรกิจไหนมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลหนานบ้าง”
“ครับ มีข่าวแล้วแจ้งให้ผมทราบ”
“ผมเข้าใจแล้ว”
เซวซู่จากไปอย่างรวดเร็ว
ลู่จิ่งเซินใช้ความคิดและเรียกคนเข้ามาจำนวนหนึ่ง แล้วออกไป มุ่งหน้าไปวังเทพี
ก่อนหน้านั้น พวกเขารู้แล้วว่าตอนนี้วังเทพีเป็นธุรกิจของตระกูลหนาน
ครั้งก่อน เขายังเจอกับหนานกงจิ่นที่นี่ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเขามาทำไม แต่ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเกี่ยวข้องกับการจับตัวไปครั้งนี้
อันที่จริงลู่จิ่งเซินรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าเป็นไปได้ยากที่หนานกงจิ่นจะเอาจิ่งหนิงมาซ่อนไว้ที่วังเทพี
ที่สุดแล้ว ที่นี่ก็เป็นสถานที่ของตระกูลหนาน นี่ไม่ใช่ความลับอะไร
เขากับเซวซู่ทำได้เพียงสืบสิ่งที่พอจะสืบได้ คนอย่างหนานกงจิ่น ถ้าหากเขามีความคิดไม่อยากจะให้พวกเขาเจออะไร คงจะไม่มีทางเลือกที่อยู่อย่างที่นี่
ตอนนี้เขาไป ที่จริงไม่ใช่เพื่อไปหาหนานกงจิ่น แต่อยากจะไปดูว่ามีความเป็นไปได้ที่จะได้เจอหนานมู่หรงหรือไม่
ถ้าหากว่าเจอ ไม่แน่ว่าอาจจะได้เบาะแสอะไรจากปากของหนานมู่หรงบ้าง
ถึงแม้จะรู้ว่ามีความเป็นไปได้ไม่มาก ที่สุดแล้ว หนานมู่หรงก็เป็นเพียงลูกหลานตระกูลหนานที่อยู่วงนอก ในใจของหนานกงจิ่นไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเพียงหมากที่ไม่มีความหมายอะไรเลย
หนานกงจิ่นคิดจะทำอะไร ไม่มีทางจะบอกความจริงกับเขา
แต่ตอนนี้ เวลานี้ก็ได้แต่หวังลม ๆ แล้ง ๆ แม้แต่วิธีนี้ก็ต้องลองดู
เมื่อคิดแบบนี้ ลู่จิ่งเซินจึงรีบขับรถไปที่วังเทพี
วังเทพีในช่วงเย็นนั้น เมื่อเทียบกับช่วงกลางวันแล้วเงียบสงบกว่ามาก
บรรดาผู้มาสักการะได้ออกไปแล้วและมีเจ้าหน้าที่เพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ทั่วทั้งวัง เมื่อเห็นเขา พวกเขาคิดว่าเขาเป็นผู้ศรัทธาที่มาสักการะและพวกเขาทั้งหมดก็คารวะ
ลู่จิ่งเซินเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่
ตอนนี้ โดยปราศจากความเร่งรีบและพลุกพล่านที่ดูปลอมอย่างในตอนกลางวัน มันเผยให้เห็นร่องรอยความเคร่งขรึมของวัดเล็กน้อยอย่างแท้จริง
เขาเข้าไปในห้องโถงใหญ่และเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในห้องโถงใหญ่ ร่างกายสีทอง สูงสามถึงสี่เมตร ยังคงยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบ ๆ เหมือนพระเจ้าจากทั่วทุกมุมโลก มองลงมาด้วยความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจ
ลู่จิ่งเซินยืนอยู่ครู่หนึ่ง และมองไปที่ด้านข้างห้องโถง
กลับเห็นคนคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
ชายผู้นั้นยื่นมือไพล่หลัง หันหลังให้เขา ยืนอยู่หน้ารูปเหมือน เงยหน้าและใจลอย
รูปเหมือนนั้น เป็นรูปที่จิ้งเจ๋อน้อยร้องตะโกนบอกว่าเป็นภาพของพี่สาวคนสวยภาพนั้น
ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเดินไป
“คุณหนาน ไม่ได้เจอกันนานนะครับ”
หนานมู่หรงหันกลับมา
ดูเหมือนเขาจะประหลาดใจมากที่ได้เจอลู่จิ่งเซินที่นี่จึงรีบถาม: “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
พูดแล้วสายตาของเขาก็มองไปด้านหลังและพูดอย่างสนใจ: “โอ้ ครั้งนี้คุณนายลู่ไม่มากับคุณด้วยเหรอครับ?”
สีหน้าของลู่จิ่งเซินเคร่งขรึมลง
เขาจ้องหนานมู่หรงเขม็ง อยากจะดูให้ออกว่าเขากำลังล้อเล่นรึเปล่า หรือว่าไม่รู้จริง ๆ จิ่งหนิงถูกหนานกงจิ่นจับตัวไปแล้ว
อย่างไรเสีย หนานมู่หรงมีสีหน้าค่อนข้างสงบ มองอะไรไม่ออกเลย
ผ่านไปครู่หนึ่ง ลู่จิ่งเซินจึงเปิดปาก
“ผมก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอคุณหนานที่นี่ สถานที่ห่างไกลเช่นนี้ ไม่ทราบว่าคุณหนานมาทำไมเหรอครับ?”
ใบหน้าของหนานมู่หรงดูมีความหดหู่เล็กน
“จะทำอะไรได้ เที่ยวสิครับ! ช่วงนี้ผมว่าง ๆ อยากจะออกมาเที่ยวเล่น ได้ยินว่าทิวทัศน์ที่นี่ไม่เลวก็เลยมา วังแห่งนี้ว่ากันว่ามีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายปี การขอพรนั้นได้ผลที่สุด ประธานลู่เองก็มาขอพรเหรอครับ?”
ลู่จิ่งเซินยกมุมปากอย่างเย็นชา
“ผมไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้”
หนานมู่หรงเลิกคิ้ว
“อ้อ? คุณไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แล้วคุณมาถึงที่นี่ทำไมละครับ?”
เขาพูดและไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ดวงตาของเขากลอกไปมาอย่างสงสัย
“กลางดึก คุณไม่ได้มาขอลูกหรอกเหรอ!”
สีหน้าของลู่จิ่งเซินเคร่งขรึม
ดูเหมือนหนานมู่หรงเองก็รู้ว่าดูเหมือนตัวเองจะพูดเล่นแรงไป
ท้ายที่สุด หากคิดดูให้ดี เขากับลู่จิ่งเซินเป็นเพื่อนกันเพียงผิวเผิน และพวกเขาไม่ค่อยสนิทกัน
ดังนั้นจึงได้หัวเราะแก้เก้อ “อย่าถือสาเลยนะครับ ผมล้อเล่น ใช่แล้ว คุณมาที่นี่ทำไม? ผมเข้าใจผิดมาตลอดว่าคุณออกจากเมืองหลิน ก็กลับประเทศเลย ครั้งนี้มาเที่ยวหรือคุยธุรกิจครับ?”
ลู่จิ่งเซินยิ้มอย่างเย็นชา “มาเยี่ยมญาติ”
มาหาแม่ยาย ถือว่าเยี่ยมญาติได้ไหม?
“อ้อ?” หนานมู่หรงพยักหน้า และไม่ได้ถามอะไรต่ออีก
ที่สุดแล้วญาติของลู่จิ่งเซินก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา
ทั้งสองไม่ได้สนิทกันและอยู่กันคนละกลุ่ม ดังนั้นจึงรู้สึกเก้ ๆ กัง ๆ เมื่อต้องยืนอยู่ตรงนี้แล้วพูดคุยเรื่องพวกนี้
หนานมู่หรงไม่อยากจะพูดมากจึงได้จึงชี้ไปด้านนอก
“ถ้าหากไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อน เชิญประธานลู่ตามสบายนะครับ?”
ลู่จิ่งเซินไม่พูดอะไร
หนานมู่หรงเห็นดังนั้นจึงเดินออกไปข้างนอก
อย่างไรเสีย เดินไปไม่ถึงสองก้าว เสียงอันเย็นเยียบของลู่จิ่งเซินก็ดังมาจากด้านหลัง
“หนานมู่หรง”
“หือ?” หนานมู่หรงหันหน้ามา
ยามรัตติกาลู่จิ่งเซินยืนอยู่ใต้แสงสลัวด้วยร่างกายที่สูงและดวงตาลึกคู่หนึ่งมืดราวกับอัญมณีสีดำสองดวงในท้องฟ้ายามราตรีมองเขาอย่างลึกซึ้ง
“หนานกงจิ่งก็อยู่ที่นี่ คุณไม่รู้เหรอ?”
หนานมู่หรงตกตะลึง
จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป
“ผมไม่รู้”