วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 1051 ชีวิตอมตะ
เขาพูดอย่างไม่ต้องคิด
อาจจะเป็นเพราะรู้สึกว่าคำพูดที่ตัวเองพูดไปยังไม่สามารถล้างมลทินให้ตัวเองได้หมด ชะงักไปสักครู่ ก็พูดต่อขึ้นมาว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมได้ทำเรื่องไม่ดีกับพวกเขา โดนไล่ออกมา ดังนั้นเรื่องหลังจากนี้ผมไม่รู้เลยจริงๆ ถึงได้มาที่นี่ตอนนี้ไง ถึงจะพูดว่ามาเที่ยว แต่จริงๆแล้วจิตใจผมหม่นหมอง ออกมาปลดปล่อยจิตใจ”
เมื่อเขาพูดแบบนี้ จริงๆแล้วลู่จิ่งเซินก็เชื่อเขาไปแล้วแหละ
เหตุผลมีเพียงอย่างเดียวก็คือหนานมู่หรงไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องโกหกเขา
เขาพยักหน้า “โอเค ผมเข้าใจแล้ว”
หนานมู่หรงมองไปที่เขา มีคำพูดที่อยากจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป
ผ่านไปตั้งนานถึงจะรวบรวมความกล้าถาม “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม?”
ลู่จิ่งเซินก็ไม่ปิดบังเขา ยังไงซะเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง
“หนิงหนิงถูกเขาจับตัวไป”
“อะไรนะ?”
หนานมู่หรงถึงกับตกใจอีกรอบ
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้จักหนานกงจิ่นอย่างดีนัก แต่เขาก็เป็นคนตระกูลหนาน จากการที่ได้สัมผัสคลุกคลีกับหนานกงจิ่นหลายต่อหลายครั้ง ในสายตาของเขา หนานกงจิ่นคนนี้ ถ้าจะบอกว่าเขาเป็นคนชั่วก็ไม่ใช่ เพราะเขายังไม่เคยเห็นกับตาว่าหนานกงจิ่นเคยฆ่าใครเลยสักครั้งเดียว
แต่ถ้าจะบอกว่าเขาเป็นคนดี ก็ไม่ใช่อีกอย่างแน่นอน เพราะเรื่องที่เขาทำออกมา ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม มันไม่เคยเป็นเรื่องที่คนดีๆเขาทำกันสักครั้ง
ใช้คำว่าคนร้ายที่มีศีลธรรมก็คงจะเป็นคำที่อธิบายตัวตนเขาได้ดีที่สุด
ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยได้ยินมาเลยนะว่าเขาจะลงมือทำร้ายคนบริสุทธิ์
เหตุผลที่ตามหาเฉียวฉีและกู้ซือเฉียนก็เพราะพ่อของเฉียวฉีเคยทรยศเขามาก่อน
และเฉียวฉีก็ต้องการเงินเพื่อรักษาชีวิต ดังนั้นนี่จึงถือเป็นการได้ประโยชน์ทุกฝ่าย
ส่วนหนานกงยวู่ ถ้าจะพูดว่าเป็นการถูกคุกคาม พูดว่าหนานกงยวู่สมัครใจที่จะให้หนานกงจิ่นจัดการซะจะถูกกว่า
ระหว่างพวกเขาน่ะ มันไม่เกินจริงเลยที่จะบอกว่าเขาสมคบคิดกัน ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยว่าจะมีใครทำร้ายใคร
แล้วก็เพราะเหตุนี้ ในตอนที่เผชิญหน้ากับเรื่องนี้ พวกเขาถึงตกตะลึงมากยิ่งขึ้นกับเรื่องที่จิ่งหนิงและโม่ไฉ่เวยได้ทำไป
หนานมู่หรงเงียบไปครู่หนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็จริง แต่ถ้าถูกเขาจับตัวไปจริงๆ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าต้องเป็นเพราะเรื่องของแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ เขาน่ะ ถึงแม้ว่าผมจะเคยเจอไม่กี่ครั้ง ยิ่งพูดไม่ได้เลยว่ารู้จักดี แต่ที่รู้คือในสายตาของเขา ชื่อเสียงเงินทองเป็นล้วนเป็นแค่เมฆลอย สิ่งที่เขาแคร์ ดูเหมือนจะมีแค่แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์เท่านั้น”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้า “ผมก็คิดแบบนี้เหมือนกัน แต่ว่าพวกเรารู้จักคนคนนี้น้อยเกินไป อีกทั้งเขายังเก่งมากในเรื่องปิดบังตัวตน แม้จะตรวจสอบแล้วก็ไม่พบอะไร ถ้าคุณหนานสะดวกล่ะก็ รู้อะไรก็ช่วยบอกเราด้วยนะครับในเรื่องพื้นเพของเขา”
ลู่จิ่งเซินไม่เคยเชื่อเลย ว่าหนานกงจิ่นจะเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง
ต้องรู้ว่า ตระกูลหนานเป็นอยู่แบบไหน แล้วหนานกงยวู่เป็นยังไง?
หนานกงจิ่นมีอำนาจทั้งสองอยู่ในมือ เขาไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
เมื่อหนานมู่หรงได้ยินเขาเอ่ยถาม ดวงตาของเขาก็กระตุกอย่างแรงชั่วครู่
ทันใดนั้นเขาก็คิดถึง ในตอนที่ได้เจอกับหนานกงจิ่นครั้งแรก ภาพที่เห็นในตอนนั้น
เรื่องที่น่ากลัวและไม่น่าเชื่ออย่างนั้น กลับเกิดขึ้นจริงอยู่ตรงหน้าของเขา
ถ้าไม่มั่นใจว่านั่นเป็นเรื่องจริง เขาถึงขนาดยังสงสัยว่านั่นเป็นความฝันที่ไร้สาระ
คนเราจะหยิบสิ่งของผ่านทางอากาศได้ยังไงกัน?แถมอยู่มาแล้วเป็นพันปี ?เป็นสัตว์ประหลาดหรอ ?
ใบหน้าของหนานกงจิ่นซีดเซียวลงเล็กน้อย
ที่จริงแล้วลู่จิ่งเซินก็แค่ถามไปงั้นๆ ลองดูเท่านั้น
เขาไม่ได้คาดหวังที่จะได้คำตอบอะไรจากปากของหนานมู่หรงอยู่แล้ว ยังไงซะ ตัวตนของหนานมู่หรง ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรมากนักในบ้านตระกูลหนาน
ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับเลือกทำหน้าที่แทนหนานกงจิ่น ลู่จิ่งเซินก็ไม่คิดว่าหนานกงจิ่นจะบอกเรื่องทั้งหมดของตนเองให้เขาให้รับรู้ แต่ในตอนนี้ เมื่อเห็นสีหน้าที่ซีดเซียวลงของเขา ลู่จิ่งเซินก็ไม่คิดแบบนั้นแล้ว
หรือว่า เขาจะรู้เบื้องลึกเบื้องหลังอะไรอยู่จริงๆ
เมื่อตระหนักได้ถึงสิ่งนี้ ดวงตาของลู่จิ่งเซินก็มืดลง
เขาทำตัวปกติส่งสัญญาณให้กับลูกน้อง อีกฝ่ายรับทราบและเข้าล้อมหนานมู่หรงอย่างเงียบๆ เผื่อว่าในตอนที่เขาจะหนีจะได้จับเขาได้ทุกเมื่อ
อย่างไรก็ตาม หนานมู่หรงดูเหมือนจะไม่มีความคิดที่อยากหลบหนี
เขายืนอยู่ตรงนั้น เสื้อผ้าของเขาพัดปลิวในแสงราตรี ราวกับว่าวที่กำลังจะโบยบิน พร้อมด้วยความสับสนและหมดหนทางอย่างอธิบายไม่ถูก “เรื่องนี้ ผมบอกคุณได้ แต่ว่าคุณต้องรับปากว่า ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ก็ห้ามให้คนอื่นรู้ว่าผมบอกเรื่องนี้กับคุณ”
ลู่จิ่งเซินตกใจ
พยักหน้าแบบไม่คิด
“ได้ ผมรับปาก”
หนานมู่หรงเงียบไปครู่หนึ่ง พูดด้วยเสียงคุ้มว่า “ตรงนี้ไม่สะดวก พวกเราไปหาที่เงียบๆคุยกันเถอะ”
พูดจบ ก็ก้าวเท้าเดินไปทางข้างหลัง
ลู่จิ่งเซินเดินตามไป
ไม่นานนัก ทั้งสองก็เข้าไปอยู่ในห้องส่วนตัวที่เงียบสงบ
ลู่จิ่งเซินให้คนเฝ้าไว้ด้านนอก ป้องกันคนเข้าใกล้หรือรบกวน หลังจากนั้นก็นั่งลงบนเบาะนั่งตรงข้ามกับหนานมู่หรง
“คุณหนาน ที่นี่เงียบมาก ข้างนอกมีแต่คนของผม รับรองว่าไม่มีใครได้ยินแน่ ตอนนี้ก็พูดได้แล้วใช่ไหมครับ?”
หนานมู่หรงพยักหน้า
ในห้องมีน้ำชาที่ใช้ต้อนรับแขกวางอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าถูกวางไว้มานานแค่ไหนแล้ว เย็นชืดหมดแล้ว
หนานมู่หรงก็ไม่ถืออะไร รินขึ้นมาแก้วหนึ่ง ยกขึ้นดื่ม
ลู่จิ่งเซินรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า ตั้งแต่ที่เขาพูดถึงข้อเสนอนั้น สีหน้าของเขาก็ไม่ค่อยสู้ดี
ในตอนนี้ขนาดมือที่ยกชาขึ้นดื่ม ก็ยังสั่นอยู่เล็กน้อย
เขาขมวดคิ้วนิ่งๆไม่ค่อยเข้าใจว่า การเปลี่ยนแปลงของหนานมู่หรงนี้เกิดขึ้นจากเหตุใด
แต่ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังจัดการกับจิตใจของตนเองอยู่ ไม่ดีที่เขาจะไปรบกวน ทำได้แค่อดทนรอ
ผ่านไปแล้วประมาณสองนาที ฝ่ายหนานมู่หรงถึงจะดื่มชาเย็นชืดแก้วนั้นหมด บังคับให้ตัวเองสงบลง
เขาเงยหน้าขึ้นมา มองไปที่ลู่จิ่งเซินอย่างสงบนิ่ง แล้วถามว่า“คุณลู่ คุณชื่อไหมว่าโลกนี้จะมีเรื่องอย่างความเป็นอมตะ?”
ลู่จิ่งเซินเลิกคิ้วขึ้น
เขาไม่คิดเลยว่า หนานมู่หรงจะถามคำถามนี้กับเขา
ก่อนที่จะมีแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ออกมา หลายคนก็ถกเถียงกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะเชื่อหรือไม่นั้น
ในจิตใจของทุกๆคน ล้วนมีความคิดเห็นของตัวเองที่ไม่เหมือนใคร
ลู่จิ่งเซินในเมื่อก่อน ก็ไม่เคยเชื่อเหมือนกัน
จนกระทั่งเขาได้มาประสบกับเรื่องเรื่องหนึ่ง……
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ดวงตาของเขาก็ค่อยๆเข้มขึ้น พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ผมเชื่อ”
หนานมู่หรงตะลึงเล็กน้อย มองไปที่เขาอย่างไม่เชื่อสายตา
เขาแทบไม่คิดเลยว่า ลู่จิ่งเซินจะให้คำตอบนี้กับเขา
ครู่หนึ่ง เขาก็หัวเราะกับตัวเอง
ส่ายหัว แล้วพูดว่า “ผมคิดมาตลอดว่าคุณลู่จะไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา ที่แท้คุณก็เชื่อเรื่องชีวิตอมตะเหมือนกันหรอเนี่ย?”
ลู่จิ่งเซินสีหน้าแน่นิ่ง พูดเบาๆว่า “ไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดาไม่เกี่ยวกับเรื่องชีวิตอมตะนี่ครับ”