วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 1052 ความพยายามสูญเปล่า
ในแววตาที่น่าตกใจของหนานมู่หรง เขาพูดอย่างเคร่งขรึม “ในโลกนี้ตอนนี้ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่เราไม่ความสามารถเข้าถึงได้ ในเรื่องเวลาและควอนตัม เราไม่สามารถบอกได้ว่าเรื่องอัศจรรย์เหล่านั้นเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ แต่ก็เพราะว่าเราไม่มีความสามารถในการค้นหาคำตอบ ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะไม่มีอยู่จริง”
“ดังนั้นผมจึงเชื่อว่ามีเรื่องแบบนี้อยู่จริงๆ เพียงแต่ว่าใช้ภาษาของพวกเราก็คือ อมตะ ถ้าใช้ภาษาของพวกเขามาเรียกอาจจะเป็นอีกความหมายนึงก็ได้ อย่างเช่น สิ่งมีชีวิตแบบไหนบ้างที่มีอายุขัยเฉลี่ยยาวนานกว่ามนุษย์หลายสิบเท่า?ถ้าอีกฝ่ายมีช่วงชีวิตรูปแบบนี้ ในสายตาของคนธรรมดาอย่างเรา เขาก็มีชีวิตอมตะสิ ?”
หนานมู่หรงตกใจจนตาเบิกกว้าง
“ที่คุณเรียกว่าพวกเขา……คือใคร?”
ลู่จิ่งเซินหรี่ตาลง จ้องมองเขาสักครู่ แล้วก็หัวเราะออกมา
“แค่พูดยกตัวอย่างเฉยๆครับ คุณหนานคิดจริงจังหรอเนี่ย ?”
หนานมู่หรงเงียบไป สักพัก สีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ
เขายิ้มแหยะๆ ไม่ทันไร เหงื่อที่เย็นเยือกก็ไหลลงมาจากหน้าผาก
“พอดีผมตื่นเต้นไปหน่อย”
เขาปาดเหงื่อบนหน้าผากอย่างแยบยบ หลังจากนั้นก็รินชาแล้วก็ดื่มไปอีกแก้ว
ลู่จิ่งเซินเห็นอย่างนั้น ก็เตือนด้วยเสียงผ่วเบา “ดื่มชาเย็นๆเยอะจะไม่ดีต่อร่างกายนะครับ คุณหนานควรจะต้องระวังด้วย”
หนานมู่หรงสูดริมฝีปากที่ชุ่มชื้นขึ้นจากน้ำชาเย็น แล้วถอนหายใจ
“ความจริงแล้วเรื่องนี้ติดอยู่ในใจผมมานานแล้ว และทำให้ผมทรมานมาก ช่วงนี้ ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ ผมก็มักจะอดไม่ได้ที่จะฝันร้ายเสมอๆ ฝันถึงเรื่องพิลึกกึกกือ มีแต่เรื่องน่าอัศจรรย์ใจ ดังนั้นผมจึงคิดว่าถ้าได้พูดเรื่องนี้ออกมาสักหน่อย อาจจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นบ้างก็ได้”
รอยยิ้มบางๆก็ปรากฏขึ้นบนมุมปากของลู่จิ่งเซิน แต่รอยยิ้มนั้นไม่ได้ยาวไปถึงขอบตา
“คุณหนานเชิญพูดเลยครับ ผมยินดีรับฟัง”
“เรื่องนี้ ต้องพูดย้อนไปตั้งแต่เดือนที่แล้ว……”
จากนั้น หนานมู่หรงก็เล่าว่าเขาได้รับคำสั่งจากหนานกงยวู่ได้อย่างไรว่าให้ไปเอาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์จากกู้ซือเฉียน แล้วก็เล่าวิธีการทำแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ไปที่เกาะเล็กนั่นจนได้เจอกับหนานกงจิ่น
แล้วก็เล่าว่าได้เห็นความแปลกประหลาดของหนานกงจิ่นกับตาตัวเอง รวมถึงเรื่องกล่าวอ้างต่างๆนานาที่มีด้วย
ตั้งแต่ต้นจนจบ ลู่จิ่งเซินได้แต่ฟังอย่างเงียบๆ ไม่พูดแทรกและไม่ได้ขัดจังหวะเขาเลย
สีหน้าของเขาแน่นิ่งมาก ราวกับว่าเรื่องที่ได้ฟังอยู่ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์อะไร แต่กลับเป็นเรื่องธรรมดาอย่างกับการกินข้าวดื่มน้ำงั้นแหละ
หนานมู่หรงพูดจบ ก็สังเกตได้ถึงสีหน้าของเขาเช่นกัน ถามอย่างเป็นสงสัย “คุณลู่ คุณไม่รู้สึกตกใจเลยหรอ หรือว่าคุณไม่เชื่อเรื่องที่ผมพูดมาเลยสักกะนิด ?”
ลู่จิ่งเซินเงียบไปครู่นึง แล้วยิ้มบางๆ
“ไม่ใช่ครับ ผมเชื่อเรื่องทั้งหมดที่คุณพูดครับ แค่ไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกอะไร”
เขาเงียบไป ดูเหมือนว่ากำลังคิดคำอธิบายอะไรที่จะพูดให้หนานมู่หรงเข้าใจและยอมรับได้ขึ้นสักหน่อย
ผ่านไปสักครู่ ก็พูดต่อว่า “ความจริงแล้วเมื่อก่อน ผมก็สงสัยมาตลอดว่า คนอย่างหนานกงจิ่น ดูๆแล้วก็อายุไม่มาก เขาต้องทำยังไงถึงจะปีนขึ้นไปอยู่ยังตำแหน่งที่มีอย่างตอนนี้ได้ ให้ตาเฒ่าจอมทรยศอย่างหนานกงยวู่เคารพและเชื่อฟังเขาได้”
“แน่นอนว่า ผมไม่ได้บอกว่าจะทำไม่ได้ ผมเพียงแค่สงสัยเท่านั้น คนๆนึงจะต้องใช้ชีวิตให้ปกติธรรมดาขนาดไหน ถึงจะไม่ให้โลกภายนอกรับรู้สถานะการมีอยู่ของตนเองได้ คนที่ทำได้แบบนี้ คุณหนานเข้าใจที่ผมจะสื่อไหมครับ?”
หนานมู่หรงพยักหน้ารับ “ผมเข้าใจ”
“เรื่องนี้ ผมคิดมานานแล้ว ก็ไม่เคยได้คำตอบ แต่ตอนนี้คุณหนานได้ตอบคำถามให้ผมแล้ว ผมจึงเชื่ออย่างแน่นอน”
หนานมู่หรงได้ยินเขาพูดอย่างนั้น ถึงโล่งใจไปได้เปราะหนึ่ง
เขาคิดเรื่องอะไรได้ ยิ้มหัวเราะกับตัวเอง
“พูดแล้วก็น่าตลกมาก เมื่อก่อนผมคิดมาตลอดว่า ตระกูลหนานทั้งตระกูล อยู่ในมือของหนานกงยวู่ ผมอยากจะเป็นหัวหน้าครอบครัวมาตลอด หวังว่าจะได้รับผิดชอบเจตจำนงของตระกูล ทำให้ตระกูลพัฒนาไปในการที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ดูแล้ว ทั้งหมดก็เป็นแค่เรื่องตลก ”
เขาพูดพลางก็รินชาเย็นดื่มไปอีกแล้ว เหมือนเพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในใจ
ลู่จิ่งเซินไม่สงสัยเลยสักนิด ตอนนี้เขาดื่มชาเย็นนั่นราวกับเหล้าเลยทีเดียว
ดื่มเสร็จ หนานมู่หรงยังพูดต่อ “ตราบเท่าที่หนานกงจิ่นเขาอยากทำ ก็สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ของโลกได้ด้วยนิ้วมือเพียงไม่กี่นิ้ว แล้วผมได้อะไรบ้างล่ะ ? ความพยายามของคนอื่นๆในตระกูลได้อะไรบ้าง ?เขาเป็นสัตว์ประหลาดที่อยู่มาแล้วกว่าพันปีนะ มีเรื่องอะไรที่เขาไม่เคยผ่านมาบ้าง ?ของอะไรที่เขาไม่เคยมี ?เขาไม่สนใจเรื่องชื่อเสียงเงินทองเลยสักนิด ผมถึงขนาดสงสัยว่า เขาไม่สนใจความเป็นตายร้ายดีของคนในตระกูลหรอก”
“พวกเราในสายตาของเขาก็แค่หมากตัวนึงที่จะใช้งานหรือจะเขี่ยทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ สิ่งที่เขาอยากได้มีเพียงแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ เพียงแค่ได้สิ่งนี้มา จะต้องให้เขาทุ่มเทเอาอะไรมาแลก เขาก็ยินดีจะจ่ายโดยไม่ลังเล”
ลู่จิ่งเซินมองไปที่เขา อยู่ๆก็ถามขึ้นมา “ถ้าอย่างงั้นคุณเคยคิดบ้างไหมว่า เพราะอะไรเขาถึงจะต้องเอาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์มาให้ได้?”
หนานมู่หรงชะงักไป
ดวงตาเข้มๆของลู่จิ่งเซิน ในคืนที่แสงสลัว มันก็เหมือนกับกระแสน้ำวนลึกสองแห่งที่จะดึงดูดผู้คนเข้าไป
เพียงแค่ฟังเขาถามเบาๆ“คนที่มีชีวิตมาแล้วกว่าพันปี เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีชีวิตอมตะแล้วเนี่ย ทำไมยังต้องลำบากเสาะหาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ในตำนานที่ว่ากันว่าสามารถทำให้คนเป็นอมตะได้อีกล่ะ?เขาอยากได้อะไรกัน?หรือว่าเบื้องลึกของแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์นี้จะมีความลับอย่างอื่นอยู่อีก?คุณเคยคิดถึงเรื่องแบบนี้บ้างไหม? ”
หนานมู่หรงตะลึงอย่างจัง
ต้องพูดเลยว่า ก่อนที่ลู่จิ่งเซินจะถามคำถามนี้ขึ้นมา เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยจริงๆ
ในความคิดของเขา การมีตัวตนอยู่ของหนานกงจิ่น ก็เป็นเรื่องที่ทำให้เขาตกตะลึงพอแล้ว แค่นี้ก็โลกทัศน์ของเขาก็พังสิ้นแล้ว เอาเวลาที่ไหนมาคิดถึงเรื่องพวกนี้ล่ะ ?
นอกจากนี้ เหตุผลที่เขาถูกไล่ออกมาครั้งนี้ ก็เป็นเพราะว่าหนานกงจิ่นสั่งให้เขาไปคอยดูกู้ซือเฉียน แต่เขาปฏิเสธที่จะทำ
หนานกงจิ่นโกรธมาก เขาจึงถูกเนรเทศออกมาจากตระกูล
เมื่อถูกไล่ออกมา เขาก็ได้รู้แล้วว่าหยาดเหงือแรงกายและความพยายามกว่าครึ่งชีวิตที่เขาทำมามันสูญเปล่าหมดแล้ว ไม่ต้องพูดก็รู้ว่ามันทำร้ายเขาแค่ไหน
แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกได้เล็กๆว่า หนานกงจิ่นคนนี้ ถึงแม้ว่าจะดูเป็นคนนิ่งสงบสง่างาม ดูเป็นคนดีคนนึง
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถึงแม้ว่าหนานกงจิ่นจะไม่ได้พูดอะไร แต่เขาก็รู้สึกลึกๆอยู่เสมอว่าหนานกงจิ่นกำลังแอบวางแผนงานสำคัญอยู่
เป็นเรื่องที่จะเกิดผลร้ายแรง เป็นเรื่องใหญ่ที่จะไม่มีใครหน้าไหนสามารถรับมือได้
หนานมู่หรงก็อยู่มานานหลายปี เขาเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตัวเองตลอดมา
ดังนั้น เขาจะไม่ฟังคำของหนานกงจิ่นแน่ ให้ไปคอยจับตาดูกู้ซือเฉียน ไม่ใช่เพราะเขากับกู้ซือเฉียนมีมิตรภาพที่ดีต่อกันสักเท่าไหร่หรอก และก็ไม่ใช่เพราะความเห็นอกเห็นใจของเขา
ทั้งหมดมันเป็นเพราะเขาได้กลิ่นไม่ดีของความอันตราย ไม่อยากที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกก็เท่านั้นแหละ
ดังนั้น หลังจากที่ออกมาจากตระกูล เขาก็ไม่เคยไปคิดเรื่องพวกนี้อีกเลย