วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 1054 ไม่ปรากฏตัว
แต่ว่ารอบข้างกลับเงียบสงัด
หนานกงจิ่นไม่ได้ออกมา
โม่ไฉ่เวยรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเธออาจจะทำร้ายร่างกายคน ดังนั้นนี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่แค่รีบร้อนไปหน่อยก็เท่านั้น
เธอจ้องมองไปรอบๆ เห็นว่าไม่มีใครปรากฏตัวขึ้น จึงได้พูดเบาๆว่า “หนิงหนิง หรือว่าพวกมันจะไม่อยู่ที่นี่ ?เรารีบไปกันตอนนี้เถอะ”
จิ่งหนิงขมวดคิ้ว
ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆที่ไม่รู้ว่าดังมาจากไหน
“คุณจิ่ง คุณคิดว่าชีวิตของคนธรรมดาคนนึง จะใช้ขู่ผมได้หรอ?ไม่งั้นคุณก็ลองดู บีบคอเธอให้ตาย ดูซิว่าผมจะปล่อยพวกคุณไปไหม ”
จิ่งหนิงชะงักไปเลย หันไปดูนอกหน้าต่าง
เพิ่งจะรู้ว่าต้นไม้ใหญ่ตรงข้ามหน้าต่างนั้น มีลำโพงเล็กๆอยู่
เธอกลอกตามองบนเพราะหมดคำพูด
รู้มาตลอดว่า หนานกงจิ่นติดกล้องวงจรปิดในห้อง เพื่อที่จะดูความเคลื่อนไหวของเธอ แต่ไม่คิดเลยว่าแม้แต่ลำโพงก็ติดตั้งด้วย
ในเมื่อเขาได้ยิน จิ่งหนิงก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้ง่ายๆไปแบบนั้น
ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ปล่อยคนในมือไป แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เธอเป็นคนของคุณ คุณไม่กลัวหรอว่าถ้าเธอตายแล้ว คนอื่นๆในความดูแลของคุณจะหวั่นใจขึ้นมา ?ไม่งั้นเอาอย่างนี้ดีไหม ?ฉันจะไม่ขอให้คุณปล่อยฉันไป ขอแค่คุณออกมาเจอกันหน่อย บอกเป้าหมายที่จับฉันมาที่นี่ตามตรง แล้วฉันจะปล่อยเธอไป”
จิ่งหนิงก็รู้ว่า แค่สาวใช้คนเดียวคงจะใช้ขอร้องให้หนานกงจิ่นให้ปล่อยเธอไป คงไม่สำเร็จ
ดังนั้นเธอจึงยื่นเงื่อนไขอีกอย่างที่ค่อนข้างจะง่ายดายยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ถึงจะเป็นเงื่อนไขนี้ หนานกงจิ่นก็ยังไม่ตอบรับ
เสียงของหนานกงจิ่นดังออกมาจากลำโพง เหมือนเป็นการหัวเราะเยาะเย้ย
“ผมพูดไปแล้วนะ เมื่อถึงเวลาที่คุณควรรู้ คุณก็จะรู้เอง ก่อนหน้านั้น คุณก็อยู่ที่นี่ไปแบบดีๆเถอะ ไม่ต้องคิดจะหนี ยิ่งไม่ต้องคิดเรื่องอะไรแผลงๆ มันไม่มีผลอะไรกับผม”
เมื่อเขาพูดจบ ก็สั่งคนรับใช้คนนั้น
“พาคุณจิ่งไปเข้าห้องน้ำ”
คนรับใช้ตอบรับอย่างกล้าๆกลัวๆ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองจิ่งหนิงอย่างหวาดกลัวและวิงวอน
สุดท้ายแล้วจิ่งหนิงก็ไม่ใช่หนานกงจิ่นที่จะไม่สนใจชีวิตคนได้
เมื่อกี้เธอก็แค่ลองดูเท่านั้น ไม่ได้จะคิดจะทำอะไรกับสาวใช้คนนี้ด้วยซ้ำไป
ดังนั้นเมื่อเห็นว่าหนานกงจิ่นไม่หลงกลนี้ ก็ทำได้เพียงแค่ต้องวางมืออย่างละอายใจ เดินตามคนรับใช้ไปยังห้องน้ำ เมื่อทำธุระเสร็จเธอก็กลับไปที่ห้อง อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า “คุณหนาน ยังไงซะคุณก็รู้ว่าฉันหนีไปไหนไม่ได้ ก็ไม่ต้องใช้โซ่นี่ล่ามฉันแล้วไหม ?ยังไงฉันก็ท้องอยู่นะ ไม่เพียงแค่ต้องใส่ใจสุขภาพกาย ทั้งยังต้องใส่ใจสุขภาพจิตด้วยนะ คุณล่ามฉันไว้แบบนี้ ถ้าฉันป่วยขึ้นมา เวลานั้นลู่จิ่งเซินหาเราเจอพอดี คุณจะบอกกับเขาว่ายังไง”
คำพูดนี้ของเธอ พูดแบบทีเล่นทีจริง
ไม่ได้คิดเลยว่าหนานกงจิ่นจะตกลง
แต่ว่าอีกฝ่ายกลับครุ่นคิดอยู่สักครู่ เหมือนจะพูดกับตัวเองว่า “ตอนแรกที่ล่ามคุณไว้ เพราะกลัวว่าคุณจะคิดทำร้ายตัวเองเพราะความใจร้อน แต่ตอนนี้ดูแล้ว เหมือนคุณจะมองโลกในแง่ดีอยู่บ้าง ปลดก็ได้ ”
เขาพูดพลางสั่งคนรับใช้คนนั้น“ไม่ต้องล่ามเธอไว้แล้ว”
คนรับใช้ผงะ และรีบตอบรับอย่างยินดีว่า “ได้ค่ะ”
จิ่งหนิงยักคิ้วขึ้น ใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มที่ยากจะเห็นปรากฏขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณนะ”
แล้วก็ไม่มีเสียงจากอีกฝ่ายอีกเลย
คนรับใช้จัดอาหารเช้าเสร็จก็ออกไปแล้ว
จิ่งหนิงเดินมาที่โต๊ะอาหาร นั่งลง เห็นโม่ไฉ่เวยยืนอยู่ก็ลุกขึ้นอีกครั้งแล้วเดินไปพาเธอมานั่ง
“แม่คะ ไม่ต้องกังวลนะคะ ถึงคราวกินก็ต้องกินต้องดื่ม”
โม่ไฉ่เวยเปิดใจได้อย่างเธอซะที่ไหนกัน
เธอยังพูดอย่างกังวลใจ “หนิงหนิง พวกเราอยู่ที่นี่แบบนี้ต่อไป เมื่อไหร่ถึงจะออกไปได้ล่ะ ?”
เธอเห็นจิ่งหนิงหยิบขนมปังก้อนนึงเข้าปาก ก็ตกใจจนหน้าเปลี่ยนสีไปหมด รีบเอาขนมปังนั่นออกมา
“หนิงหนิง คายออกมาเดี๋ยวนี้นะ อีกฝ่ายอำมหิตขนาดคนของตัวเองยังไม่เสียดาย จะกินอาหารที่เขาเตรียมให้ได้ยังไง?ลูกไม่กลัวเขาจะใส่ยาพิษให้เรากินหรือไง? ”
จิ่งหนิงชะงัก มองท่าทีกระวนกระวายใจของโม่ไฉ่เวยแล้วก็หัวเราะ
“แม่คะ ไม่ต้องกังวลไปหรอก ถ้าเขาจะฆ่าพวกเรา พวกเราตายกันตั้งนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้แผนวางยาแล้วพวกเราก็คงไม่ได้มานั่งสบายอยู่ในนี้หรอกค่ะ เพราะฉะนั้นวางใจเถอะค่ะ ของพวกนี้กินได้”
พูดพลางก็ยื่นมือไปตักโจ๊กให้เธอถ้วยนึง
“ทนมาแล้วหนึ่งวันหนึ่งคืน แม่ก็คงหิวแล้ว กินเยอะๆหน่อยจะได้มีแรง ถ้าไม่มีแรง จะเอาพลังที่ไหนไปต่อสู้ล่ะใช่ไหมคะ?”
ในใจของโม่ไฉ่เวยก็ยังมีความเคลือบแคลงใจอยู่เหมือนเดิม
แต่ได้เห็นจิ่งหนิงกินอยู่อเร็ดอร่อย เธอเองก็ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เที่ยงเมื่อวานแล้วเหมือนกัน ท้องร้องจ๊อกจ๊อกตั้งนานแล้ว
คิดไปมาในใจก็รู้สึกว่าสิ่งที่จิ่งหนิงพูดก็ถูกอยู่เหมือนกัน
ตอนนี้เราเป็นเหยื่อ เขาเป็นผู้ล่า ถ้าอีกฝ่ายจะฆ่าพวกเธอจริงๆ ก็คงไม่ต้องใช้ถึงแผนวางยา
ดังนั้นเธอจึงวางใจแล้วก็เริ่มกินข้าวคำโต
ทั้งสองคนกินข้าวเช้าเสร็จ ก็นับว่าได้ฟื้นตัวขึ้นมาเล็กน้อย
จิ่งหนิงถูกบังคับให้นอนอยู่บนเตียงมาเต็มวัน ร่างกายแข็งทื่อไปหมดแล้ว ไม่ง่ายเลยที่จะได้ขยับเขยื่อนบ้างคราวนี้ จึงค่อยๆเดินไปในห้องอย่างช้าๆ
ตอนนี้นี่เอง เธอถึงได้รู้ว่า ที่นี่เป็นคฤหาสน์เดี่ยวหลังนึง ดูเหมือนว่าจะอยู่ติดทะเล เพราะมองจากหน้าต่างห้องรับแขกออกไป ก็จะมองเห็นหาดทรายสีทองและท้องทะเลสีฟ้า มีนกนางนวลบินผ่านและหยุดพักผ่อนอบู่บนนั้น
เธอหรี่ตาลง
ชายทะเล ?
เธอจำไม่เห็นได้ว่าเมืองที่โม่ไฉ่เวยอยู่จะมีทะเลที่ไหน
แต่อาจจะเป็นเพราะว่าเธอไม่รู้จักที่นั่นมากพอ เธอจึงไม่กล้าที่จะฟันธง จึงได้แต่ละสายตาออกมาอย่างช้าๆ หันกลับไปหาโม่ไฉ่เวย แล้วส่งสัญญาณให้กับเธอ
โม่ไฉ่เวยรู้ ก็เดินมาหา ประคองเธอเดินไปนั่งที่เก้าอี้ด้วยกัน
เก้าอี้นั้น เป็นโซฟาที่ค่อนข้างยาวสามารถนั่งลงสองคนพร้อมกันได้
หลังจากนั่งลง จิ่งหนิงก็นอนลงไป พูดอย่างเสียงดังว่า “ง่วงแล้ว นอนพักสักนิดดีกว่า”
โม่ไฉ่เว่ยก็พยักหน้า “ลูกนอนเถอะ แม่จะอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อน”
พูดจบก็นอนลงไปด้วยเช่นกัน
ทั้งสองคนก็นอนลงไปที่นั่นเงียบๆ มองดูจากกล้องวงจรปิดแล้ว ราวกับว่าไม่มีการพูดคุยอะไร
แต่ความเป็นจริงแล้ว จิ่งหนิงกำลังถามโม่ไฉ่เวยด้วยน้ำเสียงเบาๆว่า “แม่คะ เมื่อกี้ฉันเห็นว่าข้างนอกมีทะเล แม่จำได้ไหมว่าแถวบ้านเราที่ไหนมีทะเล?”
โม่ไฉ่เวยขมวดคิ้วเล็กน้อยแบบไม่ให้จับได้ กระซิบตอบ “ไม่มีนะ ที่นั่นมีแต่ทะเลทรายนอกจากแม่น้ำเทพธิดาแล้วก็ไม่มีทะเล ”
ใจของจิ่งหนิงตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มอย่างจัง
ไม่มีทะเลหรอ ?
งั้นก็หมายความว่า พวกเธอไม่ได้อยู่ที่เมืองนั้นแล้วใช่ไหมเนี่ย?
ดูเหมือนโม่ไฉ่เวยก็จะรับรู้อะไรได้แล้วเหมือนกัน สีหน้าก็ค่อยๆเปลี่ยนไป
แต่ว่า เธอก็คุ้นเคยกับที่นี่ยังไงชอบกล ครู่นึง ก็คิดออกขึ้นมาแล้ว