วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 1055 ตามไม่ทันอีกแล้ว
“ฉันคิดออกแล้ว พื่นที่ที่ห่างจากเมืองK ประมาณหกร้อยกิโล ผ่านทะเลทรายทางตะวันออกไป มีอยู่อ่าวอยู่ที่นึง นั่นเป็นเมืองที่ใกล้เมืองK ที่สุด ตรงนั้นมีทะเล”
จิ่งหนิงได้ยินแบบนั้น สติก็กลับมาทันที
แต่เมื่อคิดว่าในห้องยังมีกล้องวงจรปิดจ้องมองอยู่ เธอจึงไม่ได้แสดงออกอะไร
ทำได้เพียงเบาเสียงถาม “แม่คะ แม่แน่ใจนะ ?”
โม่ไฉ่เวยพยักหน้า “แม่แน่ใจ ที่นี่ไม่มีสนามบิน ทำได้เพียงขับรถมาทางบกเท่านั้น แต่ก็เพราะว่าห่างแค่หกร้อยกิโล ถ้ามาถูกเส้นทางล่ะก็ แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงแล้ว”
จิ่งหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง
ถ้าเธอทายไม่ผิด ที่ที่พวกเธออยู่ก็น่าจะเป็นที่นั่นแล้วล่ะ
ยังไงซะ ตามความสามารถในการรับมือของลู่จิ่งเซินและเชวซู่ ถ้ารู้ว่าพวกเธอหายตัวไปแล้วล่ะก็ คงจะปิดทางออกต่างๆของสนามบินทันที พยายามไม่ให้ใครออกนอกเมือง
บินสนามบินง่ายอยู่หรอก แต่ก็เพราะว่าเมืองนี้มีทะเลทรายรอบด้าน เปรียบเสมือนกับเป็นเมืองโดดเดี่ยวในทะเลทราย ทุกด้านล้วนเป็นทางออก จะปิดทุกทางออกในเวลาเดียวกันคงจะทำไม่ทัน
ดังนั้น แน่นอนว่าหนานกงจิ่นมีเวลาและโอกาสในการออกมาจากทางออกพวกนั้น
เขาออกมาได้แล้ว จะขึ้นเครื่องบินก็ไม่ได้ จึงต้องหาที่พักชั่วคราว แน่นอนว่านั่นก็คือเมืองที่โม่ไฉ่เวยพูดไว้ไม่ผิดแน่
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ก็มีความหวังเล็กๆก่อเกิดขึ้นมาในใจของเธอ
เพราะว่าเธอรู้ว่า เรื่องนี้ขนาดเธอยังตรวจสอบได้ ลู่จิ่งเซินกับเชวซู่ก็ต้องทำได้อย่างแน่นอน
ความเป็นจริงแล้ว ในตอนนี้ ลู่จิ่งเซินและเชวซู่ได้ค้นทั้งเมืองKแล้ว แต่ก็ไม่พบร่องรอยของจิ่งหนิงและโม่ไฉ่เวยเลย
ดังนั้น ทั้งสองคนมีเหตุให้สงสัยว่า ที่จริงจิ่งหนิงและโม่ไฉ่เวยไม่ได้อยู่ในเมืองKแล้ว
แต่ว่าพวกเขาปิดสนามบินได้อย่างทันท่วงที อีกฝ่ายขึ้นเครื่องบินหนีไปไม่ได้แน่ ดังนั้นจึงทำได้แค่เดินทางทางบก
และบนแผนที่ สถานที่ที่เดินทางทางบกถึงได้เร็วที่สุด ก็คือเมืองHที่ห่างจากเมืองKประมาณหกร้อยกิโล
เมื่อคิดแบบนี้ ลู่จิ่งเซินก็ออกคำสั่งทันที เหลือคนไว้จำนวนนึงเสาะหาใน เมืองKต่อไป ส่วนคนอื่นๆให้ไปเมืองHด้วยกันกับเขา
ในตอนนี้ กู้ซือเฉียนและเฉียวฉีก็มาด้วยเช่นกัน
เมื่อฟังการวิเคราะห์ของลู่จิ่งเซินแล้ว กู้ซือเฉียนก็รู้สึกว่าหนานกงจิ่นน่าจะซ่อนตัวอยู่ที่นั่น
ดังนั้น คนกลุ่มนึงจึงรีบไปยังเมืองHด้วยกัน
ส่วน คฤหาสน์สุดหรู เมืองHในเวลานั้น
หนานกงจิ่นรู้ข่าวว่าพวกเขาจะมาแล้ว
เวลานี้ ลูกน้องคนนึงที่ยืนอยู่หน้าเขา ได้รายงานการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายให้เขาฟังด้วยความเคารพ
เมื่อรายงานเสร็จ ลูกน้องก็พูดด้วยท่าทีกังวล “หัวหน้าครับ ถ้าพวกเขามาที่นี่แล้ว จะช้าจะเร็วก็ต้องหาที่นี่เจอ พวกเราจะทำยังไงกันดี?”
หนานกงจิ่นพูดตอบนิ่งๆ “จะกลัวอะไร ?กว่าพวกมันจะมาอย่างน้อยต้องใช้เวลาสามถึงสี่ชั่วโมง แกไปเก็บของ เอาพวกนั้นมา พวกเราจะขึ้นเรือกันทันที”
ลูกน้องฟังแล้วก็ตอบรับเสียงขรึม เดินออกไป
ทันใดนั้น จิ่งหนิงก็ได้รู้ว่า พวกเขาต้องออกไปจากที่นี่
มีผู้ชายสองคนเข้ามา มัดมือของเธอขึ้นอีกครั้ง แต่อาจจะเป็นเพราะต้องเคลื่อนไหว ครั้งนี้ไม่ได้มัดเท้าของเธอ
โม่ไฉ่เวยที่อยู่ข้างๆรีบร้อนมาก พยายามที่จะห้ามพวกเขาพลางตะโกน “พวกแกทำอะไรน่ะ?พวกแกไม่ได้พูดเองหรอว่าจะเชิญหนิงหนิงมาเป็นแขก?มีใครทำกับแขกแบบนี้บ้างเนี่ย?”
จิ่งหนิงพูดนิ่งๆ “แม่คะ ไม่ต้องพูดแล้ว”
เธอคิดหาคำตอบในใจ เมื่อวานหนานกงจิ่นยังดีๆอยู่เลยนี่ ตอนนี้อยู่ๆก็จะย้ายที่ นี่หมายความว่าอะไร?
หมายความได้อย่างเดียวว่า ลู่จิ่งเซินตรวจรู้แล้วว่าพวกเธอไม่ได้อยู่ที่เมือง K แต่ว่าอยู่ที่นี่ กำลังมาหาแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็ส่งสายตาให้โม่ไฉ่เวย โม่ไฉ่เวยรู้แผนการของเธอตั้งแต่แรกแล้ว ก็หยักหน้าตอบ
ในจังหวะที่ทุกคนไม่ได้ให้ความสนใจ ก็ได้โยนหน้าเช็ดหน้าไว้ในมุมอับที่กล้องวงจรปิดส่องไม่ถึง
โม่ไฉ่เวยและจิ่งหนิงถูกนำตัวไปขึ้นเรือพร้อมกัน
นี่เป็นเรือลำใหญ่มาก ถ้าจะพูดว่าเรือ บอกว่าเป็นเรือกสำราญสุดหรูหราจะดีกว่า
หาเรือสำราญที่ดีขนาดนี้ได้ในเวลาอันสั้น จิ่งหนิงคิดในใจ นี่น่าจะเป็นสิ่งที่หนานกงจิ่นเตรียมการมาอยู่ก่อนแล้วแน่ๆ
แต่ว่าเพราะอะไรกัน ?
จริงๆแล้วถ้าเขาอยากจะพาตนหนีไปจริงๆ เขาก็พาพวกเราขึ้นเรือออกจากที่นี่ได้ตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้ว ถึงลู่จิ่งเซินจะไหวตัวได้เร็วยังไง ก็คิดไม่ได้ในทันทีหรอกว่าเราพวกออกจากเมืองมาแล้ว ถ้าเวลาที่เขาล่าช้าไปหนึ่งวันในเมือง กับความเร็วของเรือสำราญตอนนี้ ก็ออกไปได้ไกลมากแล้วในวันนี้ ลู่จิ่งเซินจะตามมายังไงก็ตามไม่ทันแล้ว
ถึงเวลา คนก็อยู่ในมือของหนานกงจิ่นอยู่ดี เขาคิดจะทำอะไรกัน คิดจะต่อรองอะไร ก็เป็นเขาที่ได้เปรียบหมดไม่ใช่หรอ?
แต่เขาจะทำแบบนี้ทำไม ?ต้องรอให้ถึงวันนี้ ลู่จิ่งเซินตามมาแล้ว ถึงจะพาเธอหนี
การทำแบบนี้ ไม่ได้อยากพาเธอหนีจริงๆหรอก แต่เหมือนกับเป็นการ……ตั้งใจล่อให้ลู่จิ่งเซินมาที่นี่
ในใจของจิ่งหนิงยังมีสิ่งที่หาคำตอบไม่ได้อีกมากมาย ข้างๆกัน จิตใจของโม่ไฉ่เวยก็กระวนกระวาย
เพราะว่าทั้งสองคนถูกมัดไปทิ้งไว้บนดาดฟ้า ล้อมรอบไปด้วยบอดิการ์ดสุดดำ คนที่ล้อมพวกเธออยู่ ข้างหลังเอวล้วนมีอะไร แค่มองก็รู้แล้วว่าทุกคนมีอาวุธอยู่กับตัว
แค่พวกเธอขยับเพียงเล็กน้อย อีกฝ่ายก็สามารถชักอาวุธออกมาฆ่าพวกเธอได้ตลอดเวลา
โม่ไฉ่เวยหวาดกลัวเป็นอย่างมาก กวาดสายตาออกไปรอบๆก็เป็นน้ำทะเลกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด ถามจิ่งหนิงด้วยเสียงเบาๆว่า “หนิงหนิง ทีนี้พวกเราจะทำยังไงดี?”
“อย่าเพิ่งตระหนกไปค่ะ นิ่งเข้าไว้ เรารอดูก่อนว่าหนานกงจิ่นคิดจะทำอะไรกันแน่ค่อยว่ากันอีกที”
จิ่งหนิงตอบด้วยความสงบ
โม่ไฉ่เวยเม้มปากแล้วพยักหน้า ยังไงซะก็ต้องระงับความตื่นตระหนกแล้วความวิตกกังวลในใจไว้ก่อน
จิ่งหนิงเห็นแบบนั้น ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงฝีเท้าที่มั่นคงมาจากด้านหลัง
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเป็นใครที่มา
จิ่งหนิงไม่ได้หันไป ใบหน้ายังมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาอีกด้วย ถึงแม้ว่ารอยยิ้มนั้นจะดูปลอม แต่ก็ยังมีท่าทีที่มั่นและโล่งใจอยู่
“ตายแล้ว พูดก็พูดนะคุณหนาน คุณตามหาฉันจนสุดทาง บังคับกักขังฉันไว้ที่นี่ แต่กลับไม่ทำอะไร ไม่พูดอะไร รอให้ลู่จิ่งเซินตามมาแล้ว ก็พาฉันหนีอีก ฉันคิดไม่ออกจริงๆว่าคุณทำแบบนี้ทำไม”
เธอหยุดไปสักพัก สายตาที่สวยราวกับดอกท้อคู่นั้นยิ้มอ่อน มองไปยังหนานกงจิ่นที่เดินมาจากด้านหลัง
“คุณคงไม่ได้แอบรักฉัน อยากจะพาฉันหนีไปหรอกใช่ไหม?”
เมื่อโม่ไฉ่เวยได้ยินแบบนี้ คิ้วของเธอก็เลิกขึ้น
หนานกงจิ่นกลับหรี่ตาลงเบาๆ ไม่ได้ยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
จิ่งหนิงมองไปยังใบหน้าที่แน่นิ่งของเขา“ตึกตัก”อยู่ในใจ แอบแช่งเบาๆ
คงจะไม่ใช่ว่าเรื่องไร้สาระที่เธอพูดจะแทงใจดำหรอนะ?
ถุ้ยถุ้ยถุ้ย หนานกงจิ่นเป็นคนยังไง ถึงชอบเธอได้?เขาคนนั้น ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะไม่รู้จักดีนัก กลับมองออกได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่ใช่คนคลั่งรักอะไรอย่างแน่นอน
สามารถควบคุมตระกูลหนานได้ตั้งแต่อายุยังน้อยแบบนี้ แถมยังคุมหนานกงยวู่ได้อย่างลูกไก่ในกำมือ