วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 1056 ตัวละครที่เรียบง่าย
เขาจะเป็นแค่ตัวละครที่เรียบง่ายหรอ?
แค่เพราะว่าชอบผู้หญิงคนเดียว ถึงแม้เธอจะมีสามีแล้ว ก็ยังจะพาหนี ?
นี่มันเรื่องตลกชัดๆ!
จิ่งหนิงแอบด่าคนเดียวในใจ สักพักก็กลับมาทำสีหน้าปกติ มองไปที่หนานกงจิ่น
“คุณหนาน ไม่งั้นคุณก็บอกฉันมาตรงๆเถอะ คุณจับฉันมาที่นี่จริงๆแล้วเพื่ออะไร? จะฆ่าหรือจะทรมานก็พูดเถอะ กังขังคนไว้แบบนี้เพื่ออะไร?”
หนานกงจิ่นครู่นคิดเล็กน้อย
เขาพูดเบาๆว่า “ผมได้ยินมาว่า คุณกับลู่จิ่งเซินแต่งงานกันมาห้าปีแล้ว?”
จิ่งหนิงตกใจ
ไม่เข้าใจว่าเขาถามคำถามนี้ทำไม
แต่ว่าเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าตอบทันที
“ใช่ ทำไมหรอ?คุณสนใจเรื่องความรักของพวกเรามากงั้นหรอ ?”
หนานกงจิ่นส่ายหัว
เขายิ้มตอบ “ผมก็แค่สงสัย พวกคุณแต่งงานกันมาตั้งห้าปีแล้ว ทำไมคุณยังถูกเขาปิดบังไว้ในมุมมืดอยู่อีกล่ะ?ข้อมูลอะไรก็ตรวจสอบไม่ได้ คนทั้งโลกบอกว่าคุณฉลาดมาก แต่ในสายตาของผม คุณเป็นผู้หญิงที่โง่ที่สุดในโลกต่างหากล่ะ”
จิ่งหนิงหน้าเปลี่ยนสี
เธอไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่างอะไร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เธอจะชอบได้ยินคนด่าเธอ
ดังนั้นเธอจึงตอบกลับไปอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิดว่า
“โอ้ ฉันก็ไม่คิดเลยว่า เดิมทีคิดว่าคนที่ควบคุมดูแลตระกูลหนานได้จะเก่งแค่ไหนกัน ที่แท้ก็แค่เต่าที่หดหัวอยู่แต่ในกระดอง”
คำพูดประชดประชันถากถางของเธอ ไม่ได้ทำให้หนานกงจิ่นโกรธได้เลยสักนิด
เขาหันกลับไป มองไปยังทะเลแสนกว้างใหญ่ เหมือนกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ผ่านไปสักพักก็พูดขึ้น “ผมมีความลับอย่างนึงเกี่ยวกับลู่จิ่งเซิน ไม่รู้ว่าคุณจิ่งอยากจะรู้รึป่าว”
จิ่งหนิงหัวเราะอย่างเย็นชา “อย่าเอาเรื่องไม่จริงมาพูดกับฉันเลย อยากจะทำให้ความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาของเราแตกหักน่ะ คุณยังอ่อนหัดไป”
หนานกงจิ่นส่ายหัว
“จะแตกหักหรือไม่น่ะ คุณฟังจบก็รู้แล้ว”
เขาหันหน้ากลับมาทันใด มองจ้องไปที่หล่อน แล้วถามว่า“คุณยังจำ เรื่องเมื่อสิบปี่ก่อน หลังจากที่คุณถูกตามฆ่า แล้วสูญเสียความทรงจำไปสามเดือนได้ไหม?”
เมื่อพูดเรื่องนี้จิ่งหนิงก็ตกใจอย่างจัง
อยู่ๆก็เย็นวาบไปทั้งสันหลัง หัวของเธอชาไปหมด
สีหน้าของเธอก็จริงจังขึ้นมาทันที จ้องไปที่หนานกงจิ่นอย่างเยือกเย็น
“คุณรู้ได้ยังไง ?”
หนานกงจิ่นเดินมาที่เบื้องหน้าของเธอ คุกเข่าลง มองไปที่ตาของเธออย่างสงบนิ่ง ถามคำต่อคำว่า “ถ้าผมจะบอกว่า เมื่อสิบปีที่แล้ว คนที่ไล่ฆ่าคุณให้ตกน้ำตาย ก็คือลู่จิ่งเซิน คุณจะเชื่อไหม ?”
ใบหน้าของจิ่งหนิงก็ขาวซีดลงทันใด เลือดฝาดสักนิดก็ไม่มี
หนานกงจิ่นมองไปที่เธออย่างหนักแน่น ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่การสื่อสารผ่านสายตากลับได้อะไรมากมาย
จิ่งหนิงส่ายหัว พูดอย่างพึมพำ “เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางที่จะเป็นเขา! คุณหลอกฉันไม่ได้หรอก !”
หนานกงจิ่นหัวเราะเสียงเบา ไม่ได้แปลกใจอะไรกับปฏิกิริยาของเธอเลยสักนิด
“จะเชื่อหรือว่ามันเรื่องของคุณ แต่ว่าความลับนี้ นอกจากผมแล้วตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้ ถ้าคุณอยากรู้ละก็ ให้บอกผม พวกเรามาทำการแลกเปลี่ยนกัน คุณไม่จำเป็นต้องตอบตกลงตอนนี้ ผมให้เวลาคุณคิดทบทวนหนึ่งวัน เมื่อคุณคิดดีแล้วค่อยมาหาผม”
เขาพูดจบก็เดินออกไป
จิ่งหนิงนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าซีดเซียว ร่างกายแข็งทื่อและเย็นชา
เวลานั้นเอง มีบอดิการ์ดชุดดำสองสามคนเดินมา น่าจะได้รับคำสั่งจากหนานกงจิ่นแล้ว นำพวกเธอจากดาดฟ้าเข้าไปข้างใน
“เข้าไป !”
ทั้งสองถูกผลักเข้าไปในตัวเรืออย่างแรง จิ่งหนิงโซเซอยู่สักพัก โชคดีที่โม่ไฉ่เวยประคองไว้ได้ ไม่มีใครหกล้ม
เมื่อกี้บนดาดฟ้า โม่ไฉ่เวยได้ฟังบทสนทนาของเธอและหนานกงจิ่น ก็สับสนไปหมด
ในตอนนี้ บนตัวเรือก็มีแค่พวกเธอสองคน เธอจึงอดไม่ได้ จึงถามด้วยความสงสัยว่า “หนิงหนิง เมื่อกี้ที่คนคนนั้น……เขาพูดว่าเรื่องเมื่อสิบปีก่อน สรุปเมื่อสิบปีก่อนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?ตามฆ่าอะไรกัน ?ความจำเสื่อมอะไรกัน ?เกิดอะไรขึ้นกับลูกกันแน่ ?”
จนถึงตอนนี้ ในหัวของจิ่งหนิงก็อื้ออึงไปหมด ไม่กล้าเชื่อคำพูดของหนานกงจิ่นเลยสักนิด
เธอแต่งงานกับลู่จิ่งเซินมาห้าปี อีกฝ่ายเป็นยังไง เธอรู้ดีที่สุด
ลู่จิ่งเซินไม่โกหกเธอแน่!
ใช่แล้ว ลู๋จิ่งเซินไม่โกหกเธออย่างแน่นอน !
เมื่อคิดได้แบบนี้ เธอก็มีสติขึ้นมาแล้ว เหงยหน้ามองโม่ไฉ่เวย พูด “ไม่มีอะไรค่ะ ก็แค่……”
เธอหยุดไป คิดในใจ หนานกงจิ่งพูดมาซะขนาดนี้แล้ว
ถ้าเราปิดบังต่อไป ก็จะยิ่งทำให้โม่ไฉ่เวยเป็นกังวล ยังไงเรื่องนี้ก็เป็นอดีตไปแล้ว บอกเธอไปให้หมดเลยดีกว่า
ดังนั้น เธอจึงดึงให้โม่ไฉ่เวยที่อยู่เตียงข้างๆนั่งลง พูดว่า “แม่คะ ฉันจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟังก็ได้ แต่แม่ต้องรับปากก่อนว่าถ้าฟังจบแล้ว จะไม่โทษตัวเอง และห้ามเสียใจเพราะฉันนะคะ เพราะว่าเรื่องพวกนี้สำหรับฉันแล้วมันเป็นอดีตไปแล้ว ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว โอเคไหมคะ ?”
โม่ไฉ่เวยมองไปที่เธอนิ่งๆ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรกับเธอเมื่อก่อนกันแน่ แต่แค่ได้ยินเธอพูดแบบนี้แล้ว ก็รู้เลยว่าไม่ใช่เรื่องดีอะไร
แต่ว่าเธอก็พยักหน้ารับ พูดอย่างหนักแน่น “โอเค แม่ตกลง”
จากนั้น จิ่งหนิงก็เอาเรื่องที่เกิดเมื่อสิบปีก่อน เล่าออกมาทุกรายละเอียด
เธอเล่าให้โมไฉ่เวยฟังว่า หลังจากที่โม่ไฉ่เวยประสบอุบัติเหตุแกล้งตาย คนตระกูลจิ่งปฏิบัติกับเธออย่างไรบ้าง
ตอนที่จิ่งเสี่ยวหย่าสอบเข้ามหาลัย ใส่ร้ายว่าเธอลอกข้อสอบยังไง ติดสินบนผู้คุมสอบยังไง และคนในครอบครัวจิ่งยึดสมบัติทรัพย์สินของตระกูลไป บังคับให้เธอต้องไปอยู่ต่างประเทศ
จิ่งหนิงพูดอย่างสงบนิ่ง แต่โม่ไฉ่เวยที่ฟังอยู่ข้างๆกลับฟังอย่างโมโหกำหมัดแน่น
ตาคู่นั้น ได้เปลี่ยนไปเป็นสีแดงตั้งนานแล้ว
ต้องรู้ก่อนว่า ก่อนที่โม่ไฉ่เวยจะประสบอุบัติเหตุ จิ่งหนิงเป็นดั่งองค์หญิงตัวน้อยในตระกูลจิ่ง เธอได้รับการเลี้ยงดูด้วยความรักและการประคบประหงม
เธอไม่เคยประสบพบเจอกับอุปสรรคใหญ่ใดๆ แต่หลังจากที่หล่อน “ตาย”ไปแล้ว แค่ชั่วข้ามคืน เรื่องทั้งหมดก็พลิกผัน เมียน้อยได้เอาลูกติดเข้ามาแล้วเข้ามาแทนที่ต่ำแหน่งของแม่ เดิมทีคุณยายและคุณพ่อที่แสนใจดี ก็กลายเป็นศัตรูที่เกลียดชังเธอในชั่วข้ามคืน
ขนาดชายคนรักของเธอ สุดท้ายก็ไปอยู่ในอ้อมกอดของคนอื่น
จิ่งหนิงในตอนนั้น จะไร้หนทางมืดแปดด้านและทรมานขนาดไหนกัน
โม่ไฉ่เวยไม่กล้าที่จะคิดถึงความรู้สึกในตอนนั้นของหล่อน เพราะว่าแค่คิดใจเของเธอก็จะเจ็บปวดยิ่งนัก ราวกับว่ามีใครมาฉีกหัวใจทั้งเป็น
จิ่งหนิงรู้ว่า ถึงแม้ว่าโม่ไฉ่เวยจะตอบตกลงตนแล้วว่าจะไม่เสียใจ แต่ความเป็นจริงแล้ว การควบคุมจิตใจดวงนึงมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น
ดังนั้น เธอเร่งความเร็วขึ้นทันที ข้ามรายละเอียดตรงกลางไปเยอะ ไปพูดเรื่องหลังจากไปอยู่ต่างประเทศ
“ตอนที่ฉันไปถึงต่างประเทศใหม่ๆ สภาพแวดล้อมไม่ได้ดีนัก หนึ่งคือยังเด็ก สองคือไม่มีเงิน ดังนั้นตอนนั้นก็คิดที่จะเรียนไปทำงานไป ไปหางานพาร์ทไทม์ทำ ก็มีเรือสำราญลำหนึ่งกำลังรับสมัครพนักงานพอดี ”