วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 1057 ได้ไม่คุ้มเสีย
ทันใดความทรงจำในสมองก็ย้อนกลับไปถึงเมื่อสิบปีก่อน
ในตอนนั้น จิ่งหนิงอายุสิบแปดปี เพิ่งจะไปถึงประเทศ F ไม่มีญาติไม่มีสมบัติอะไร อยู่ได้ด้วยเงินค่าขนมที่แม่เหลือไว้ให้เมื่อก่อนเท่านั้น
แต่มันก็เป็นแค่เงินค่าขนม น้อยมากเป็นธรรมดา เธออยู่ในต่างประเทศคนเดียว ทั้งค่ากินค่าอยู่ ทุกอย่างเป็นเงินเป็นทอง
ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงไปทำงานให้คนอื่น
โชคดีที่ตอนนั้นได้รับการแนะนำมาจากรุ่นพี่คนนึง ในบริษัทแห่งนึง พวกเขากำลังต้องการพนักงานบริการในเรือกสำราญอยู่พอดี เพราะว่าลักษณะในการทำงานนั้น ไม่กระทบกับการเรียน จิ่งหนิงเลยไปทำ
แต่ทว่าตอนที่อยู่บนเรือท่องเที่ยวลำนั้น จิ่งหนิงได้ไปเห็นเรื่องที่ไม่ควรเห็นเข้า
เรื่องอะไรนั้นเธอก็จำรายละเอียดไม่ได้แล้ว
แต่ก็คือประมาณว่าได้ยินเสียงปืนหรืออะไรสักอย่าง
เพราะหลังจากที่เธอตื่นมา เธอก็สูญเสียความทรงจำไปประมาณสามเดือน ดังนั้นเรื่องความทรงจำหลังจากที่ขึ้นเรือ เธอจำไม่ได้แล้วจริงๆ
และก็เพราะเหตุนี้เอง ทุกครั้งที่จิ่งหนิงพยายามบังคับตัวเองให้นึกถึงความทรงจำครั้งนั้น เธอก็จะปวดหัวมาก ราวกับว่าสมองทั้งใบจะระเบิดออกมาอย่างนั้นแหละ
หลังจากนั้นมา เพราะความเจ็บปวดที่เผชิญมาเหล่านี้ จิ่งหนิงก็ไม่อยากจะไปคิดอีกแล้ว
แต่เธอก็เริ่มมีความฝันแปลกๆขึ้นเรื่อยๆ
อย่างเช่นว่า เธอฝันถึงตัวเองถูกคนใช้เชือกมัด โยนลงจากเรือ
และยังฝันอีกว่า เหมือนว่ามีผู้ชายคนนึง เพื่อที่จะช่วยชีวิตเธอเขาถูกกระแสน้ำวนพัดพาไปในทะเล
บางครั้ง ใบหน้าของผู้ชายคนนั้นก็เป็นลู่จิงเซิน แต่บางครั้งก็เป็นหน้าของชายแปลกหน้าคนอื่น
จิ่งหนิงไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่เธอคิดว่า น่าจะเป็นเพราะในใจของเธอยึดติดอยู่กับลู่จิ่งเซินมากไป ดังนั้นในจิตใต้สำนึกคนที่ช่วยเธอจึงเป็นลู่จิ่งเซิน
ยังไงก็ตาม หลายครั้งหลังๆมานี่ เธอก็ได้ฝันถึงใบหน้าอื่น
เพราะว่าฝันนี้แปลกและน่าสงสัยมาก จิ่งหนิงจึงวางใจจากฝันนี้ไม่ได้
ดังนั้นเมื่อสองปีก่อน เธอถึงกับพยายามเคยไปที่ประเทศF สืบหาเรื่องนี้
แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวกลับมา หลังจากนั้นอีก ก็ได้เจอเรื่องที่กลุ่มชาวจีน เครื่องบินของเธอและโม่หนานก็ถูกยิงตก หลังจากนั้นกว่าจะรอดมาได้ไม่ง่ายเลย และในประเทศก็วุ่นวาย
และบวกกับ หลังจากนั้นมาเป็นเวลานาน เธอก็ไม่ได้ฝันแบบนั้นอีกเลย เธอจึงไม่ได้กลับไปหาคำตอบ
ในความคิดของเธอ ไม่ว่าเรื่องจริงจะเป็นยังไง แต่มันก็เป็นอดีตไปแล้ว
ในเมื่อพยายามที่สุดแล้ว แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ งั้นก็ยอมแพ้ไปซะจะดีกว่า
จิ่งหนิงคิดได้อย่างดี แต่เธอคิดยังไงก็คิดไม่ถึงเลยว่า ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว ในใจของเธอปล่อยวางไปได้ตั้งนานแล้ว
วันนี้ เรื่องนี้ กลับออกมาจากปากของคนอื่น
หนานกงจิ่นรู้เรื่องนี้ได้ยังไงกันแน่
แค่คิดถึงเรื่องนี้ หัวเธอก็ชาโดยไม่รู้ตัวขนลุกขึ้นมาหมดแล้ว
เพราะว่าเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้ เธอบอกกับลู่จิ่งเซินเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่เคยบอกให้กับบุคคลที่สามได้รู้
ลู่จิ่งเซินไม่เอาเรื่องแบบนี้ออกไปพูด หรือบอกกับคนอื่นแน่
ถ้างั้น หนานกงจิ่นรู้ได้ยังไงกันนะ?
เมื่อคิดถึงตอนนี้ จิ่งหนิงก็สบสนงงงวยหาคำตอบไม่ได้ คิ้วก็ขมวดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
โม่ไฉ่เวยเมื่อได้ฟังเธออธิบายจนจบ ก็รู้สึกเหลือเชื่อ
“เสียความทรงจำไปสามเดือน……แค่เรื่องนี้ก็แปลกพอแล้ว หรือว่าในสามเดือนนั้น เกิดเรื่องอะไรที่บอกคนอื่นไม่ได้ จิตใต้สำนึกของลูกไม่ต้องการที่จะจำมัน จึงทำให้คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกรึป่าวนะ ?”
จิ่งหนิงมองไปที่โม่ไฉ่เวยพยักหน้า
“อาจจะเป็นไปค่ะ เมื่อก่อนเพราะเรื่องนี้เองฉันจึงไปหาหมอ หมอบอกว่ามีความเป็นไปได้สองอย่าง อาจจะเป็นเหตุผลทางร่างกาย หรือทางจิตใจ”
“ทางร่างกายคือ ฉันอาจจะได้รับบาดเจ็บ มีเลือดคลั่งกดทับเส้นประสาทความจำ ทำให้คิดไม่ออก สถานการณ์ประเภทนี้รับมือง่ายมาก เมื่อลิ่มเลือดในสมองจางไป ก็จะทำให้จำเรื่องนี้ได้”
“แต่ว่าฉันเคยตรวจร่างกายแล้ว สมองของฉันไม่ได้มีลิ่มเลือดอะไร ดังนั้นสมมติฐานที่หนึ่งจึงตกไป และอย่างที่สองคือทางจิตใจ อาจจะเป็นเพราะในตอนนั้นฉันได้รับการกระตุ้นบางอย่าง สิ่งนั้นมีอิทธิพลต่อฉันมาก หรือจะเป็นความเจ็บปวดอย่างรุนแรง ทำให้ฉันไม่อยากจะนึงถึงมันอีก ดังนั้นจิตใต้สำนึกจึงบังคับให้ฉันลืมมัน”
“สถานการณ์แบบนี้ซับซ้อนกว่ามาก อีกอย่างคือฉันมักจะรู้สึกว่า สถานการณ์ของแม่ตอนนี้ เป็นเหมือนกับตอนที่ตื่นมาหลังสูญเสียความทรงจำไป ล้วนเป็นเรื่องทางจิตใจ”
โม่ไฉ่เวยพยักหน้า
“แต่ว่า เรื่องแบบนี้หนานกงจิ่นรู้ได้ยังไงกัน ?เป็นไปได้ไหมว่า เขาจะรู้จักลูกเมื่อสิบปีก่อน ?หรือว่าเขาเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกด้วยตาของเขาเอง ?”
คำพูดของโม่ไฉ่เวย ทำให้แววตาของจิ่งหนิงมืดลงเล็กน้อย
เธอพูดเสียงต่ำ“ฉันก็ไม่รู้ แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร เขาถึงกับพูดขึ้นมาแล้ว ฉันจะทำเป็นไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้นไม่ได้”
โม่ไฉ่เวยมองเธอที่เงียบไป ก็กังวล
“ถ้างั้นลูกจะทำยังไง ?”
จิ่งหนิงยิ้มรับ “เขาไม่ได้บอกหรอว่า เขารู้ความลับของลู่จิ่งเซิน?แถมยังบอกว่า คนที่ตามฆ่าฉันเมื่อสิบปีก่อนก็คือลู่จิ่งเซิน ถ้าเป็นเช่นนั้น ฉันก็จะตอบรับคำของเขา ก็แค่ข้อแลกเปลี่ยนเดียวเองหนิ? เป็นไปได้หรอว่าฉันจะกลัวเขา ?”
โม่ไฉ๋เวยไม่ได้มองโลกในแง่ดีแบบเธอขนาดนั้น
เธอส่ายหน้า พูดอย่างเป็นกังวล “จากที่ฉันดูแล้ว คนอย่างหนานกงจิ่น จะไม่ทำอะไรให้ตัวเองเสียเปรียบแน่ ในเมื่อเขาเอาเรื่องนี้มาพูดขู่ลูก บางทีลู่จิ่งเซินอาจจะ……”
“ถ้าเขาไม่ได้ทำอะไรจริงๆ ข้อเสนอที่จะยื่นให้ลูก ก็ไม่ใช่ข้อเสนอง่ายๆแน่ หนิงหนิง ไม่ว่าจะพูดยังไง เรื่องสิบปีก่อนก็เป็นอดีตไปแล้ว ลูกอย่าเอาอดีตมาทำลายอนาคตเลย มันไม่คุ้มกันนะ”
ต้องพูดเลยว่า การที่ตายมาแล้วรอบนึง ถึงแม้ว่าปกติโม่ไฉ่เวยจะไม่ค่อยแจ่มใสนัก แต่ในเวลาสำคัญ เธอก็ใช้ชีวิตได้อย่างมีสติสัมปชัญญะจริงๆ
จิ่งหนิงฟังแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง
สุดท้ายก็พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
“ฉันรู้แล้ว แม่คะ วางใจเถอะ ฉันไม่ได้โง่ขนาดนั้น”
ความจริงแล้ว ถึงแม้ว่าปากเธอจะพูดไปแบบนั้นแต่ในใจลึกๆก็ยังขัดขืน
เพราะว่าในใจของเธอ เธอเชื่อลู่จิ่งเซินอย่างสนิทใจร้อยเปอร์เซ็นต์
เธอไม่เชื่อว่าลู่จิ่งเซินจะทำร้ายเธอได้ ถึงขนาดตามฆ่าเธอ
ดังนั้นเธอจึงคิดว่าหนานกงจิ่นจะต้องพูดโกหกแน่ ถึงแม้ว่าลู่จิ่งเซินจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอในตอนนั้น แต่ต้องไม่ใช่ตามล่าเธอแน่ ในเรื่องนี้ จะต้องมีเรื่องอะไรเข้าใจผิดแน่
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเธอก็แย่ลง
เพราะว่า ไม่ว่าจะยังไง ไม่ว่าเรื่องนี้จะมีส่วนจริงหรือเข้าใจผิดไป มีอยู่เรื่องนึงที่ไม่สามารถมั่นใจได้
นั่นก็คือ ถ้าเป็นจริงอย่างที่หนานกงจิ่นพูด เมื่อสอบปีก่อนตัวเธอเองกับลู่จิ่งเซินก็มีส่วนเกี่ยวข้องกัน ถ้าอย่างงั้น กี่ปีมานี้ที่เธอพยายามตรวจสอบเรื่องเมื่อสิบปีก่อน ลู่จิ่งเซินก็ไม่เคยจะห้ามเธอไว้สักครั้ง