วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 1058 เจรจาต่อรอง
จริงๆแล้วเขารู้ทุกอย่าง เขาบอกเธอได้เลย แต่เขากลับไม่บอกอะไรเลย
เขาเพียงแค่เฝ้าดูเธอไปสืบด้วยตัวเอง ถึงแม้จะลำบากยากเย็น แต่ก็ไม่มีผล
ทำไมกัน ?
จิ่งหนิงไม่ยอมที่จะเชื่อว่า ลู่จิ่งเซินจะทำร้ายเธอ แต่ว่าความจริงของเรื่อง ก็ทำให้เธอกลัวที่จะรับรู้
หลังจากสับสนในใจอยู่สักพัก ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจ ว่าไม่ว่าจะยังไงก็จะเชื่อลู่จิ่งเซิน
ไม่ว่าหนานกงจิ่นจะพูดยังไง เป้าหมายของเขา ก็คือการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับลู่จิ่งเซิน
ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็จะให้เขาชนะไม่ได้เด็ดขาด
ในอีกด้านหนึ่ง ลู่จิ่งเซินก็ยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นทางนี้
เมื่อถึงเมืองH เขาก็หาคฤหาสน์ที่หนานกงจิ่นเคยอยู่ได้ในทันที
แต่ก็ชัดเจนว่าอีกฝ่ายรู้ข่าวอยู่ก่อนแล้ว เมื่อรอให้พวกเขาไปถึง ก็ไม่มีใครอยู่แล้ว
ลู่จิ่งเซินสั่งให้คนค้นคฤหาสน์ให้ทั่วทุกซอกทุกมุม ก็ไม่มีร่องรอยอะไร
เขาหน้าขรึมขึ้นไปชั้นสอง
เมื่อเข้าไปถึงห้องนอน แวบแรกก็เห็นโซ่เหล็กที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น
ตรงกลางโซ่เหล็กก็มีเตียงซิมมอนส์อยู่ ไม่ต้องคิดเลยก็รู้ว่าใช้ทำอะไร
สีหน้ายิ่งมืดมน
กู้ซือเฉียนก็มาด้วยกันกับเขา ขณะนั้นสีหน้าก็ดูไม่ค่อยได้
แต่ในเวลานี้ จิ่งหนิงกับโม่ไฉ่เวยเป็นตายร้ายดียังไง พวกเขาเพียงแค่เห็นที่เกิดเหตุ ไม่แน่ใจว่าพวกเธอจะมีอันตรายรึป่าว
พูดมากไปก็จะมีแต่ทำให้อีกฝ่ายอารมณ์เสีย ไม่มีประโยชน์อะไร
เพราะฉะนั้น กู้ซือเฉียนจึงไม่ได้พูดอะไร สั่งให้ลูกน้องค้นห้องให้ละเอียด
“เมื่อกี้ฉันเห็นห้องครัวด้านล่าง ยังมีอาหารเช้าที่กินไม่หมด น้ำในหม้อยังร้อน หมายความว่าคนที่นี่เพิ่งออกไปไม่นาน ฉันสั่งให้คนไปตามหาต่อแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานก็จะรู้อะไรบ้าง”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้ารับ
เขาไม่ใช่คนที่กล้าหาญแต่ไม่มีสมอง จากตอนที่จิ่งหนิงหายตัวไปจนถึงตอนนี้ ผ่านไปสองวันแล้ว แต่ก็ยังไม่มีข่าวคราวอะไร
หนานกงจิ่นจับได้แล้ว ก็มีโอกาสหนี แต่ไม่ทำ กลับมาอยู่ที่นี่ตั้งหนึ่งคืน แค่คิดก็รู้ว่ากำลังรอให้พวกเขามา
ถึงแม้ว่าจะไม่รู้เป้าหมายของหนานกงจิ่น แต่จิ่งหนิงยังมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน
มิฉะนั้น หนานกงจิ่นจะไม่มีข้อต่อรองในการข่มขู่เขา คราวนี้สิ่งที่ทำมาก็จะล้มเหลวไม่เป็นท่า
ลู่จิ่งเซินพยายามไม่ให้ตัวเองคิดในเรื่อง แม้ว่าจิ่งหนิงจะยังมีชีวิตอยู่ แต่อยู่ในมือของเขา จะลำบากมั้ย จะทุกข์ทรมานรึป่าว
เด็กในท้องของเธอ จะได้รับความตื่นตระหนกไปด้วยมั้ย
เขาต้องควบคุมตัวเองด้วยเหตุผลให้ดีที่สุด ในตอนนี้ห้ามไปคิดมาก เชื่อว่าจิ่งหนิงเป็นคนฉลาด จะต้องเอาตัวรอดจากอันตรายได้แน่ รอคอยให้เขาไปช่วยเหลือ
ในตอนนั้นเอง มีสิ่งนึงที่ดึงดูดความสนใจของเขา
เพียงแค่ได้เห็นผ้าเช็ดหน้าที่ถูกคนโยนไว้ในมุมอับ ดูจากสีแล้ว ไม่น่าจะเป็นของที่จิ่งหนิงใช้ แต่น่าจะเป็นของที่โม่ไฉ่เวยพกติดตัวไว้มากกว่า
เขาโค้งตัวลงไปเก็บขึ้นมา บนผ้าเช็ดหน้ามีคำเขียนสั้นๆว่า “สบายดี”
ถึงแม้ว่าลายมือจะเขียนลวกๆ แต่ก็เป็นลายมือของจิ่งหนิง
เขาตกใจ จากเดิมทีจิตใจที่กระวนกระวายต้องบังคับไว้ ตอนนี้สบายใจได้เปราะหนึ่งแล้ว
“ตอนนี้พวกเธอไม่เป็นไร”
กู้ซือเฉียนก็ได้เห็นลายมือบนผ้าเช็ดหน้าแล้ว ก็พยักหน้า
“ใช่ ฆ่าคนไม่ใช่เป้าหมายของหนานกงจิ่น จิ่งหนิงกับโม่ไฉ่เวยตายไป ก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเขา ฉันมักจะคิดอยู่ว่า ปฏิบัติการของเขาครั้งนี้ จะต้องวางแผนอะไรอยู่แน่ๆ”
ลู่จิ่งเวินก็มีความรู้สึกเดียวกับเขา
“อย่าเพิ่งคิดเลย ลองดูแผนที่รอบๆนี้ นายหาเจอรึยัง?”
“หาเจอแล้ว”
กู้ซือเฉียนโบกมือ ในมือหนึ่งก็ถือแผนที่เดินมาด้านหน้า
เขาหยิบมันเดินไปที่โต๊ะข้างๆ แล้วกางออก พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “นายดูสิ เมืองนี้ติดกับทะเลสองด้าน ด้านนึงเป็นทะเลทราย อีกด้านนึงติดกับเมือง K หนานกงจิ่นจะพาคนกลับไปที่เมืองKไม่ได้แน่ ถ้ากลับไปจริงๆที่นั่นก็มีคนรอจับกุมเขาอยู่อย่างแน่นหนา และทะเลทรายที่นี่เป็นทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในแถบนี้ มีชื่อเรียกว่า แดนมรณะ. ถ้าเขาไม่ได้บ้าเขาก็คงไม่เข้าไปที่นี่แน่ สิ่งเดียวที่เป็นไปได้ ก็คือเขาพาคนขึ้นเรือแล้วออกไปทางทะเล”
ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้ว เอาแผนที่มาดูอย่างละเอียด
สุดท้าย ก็ได้ข้อสรุปเดียวกับกู้ซือเฉียน
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ เราก็สั่งคนเตรียมเรือออกทะเลเดี๋ยวนี้”
“โอเค”
ทางนี้ ลู่จิ่งเซินก็กำลังเตรียมการอย่างแข็งขัน
อีกทางหนึ่ง จิ่งหนิงถูกนำมาอยู่หน้าหนานกงจิ่น
เป็นห้องพักที่หรูหรามากห้องนึง ตอนที่จิ่งหนิงถูกนำตัวมา ก็แอบดูเส้นทางไว้ พบว่าที่นี่เป็นชั้นสามของเรือสำราญ นี่น่าจะเป็นห้องเพรสซิเดนเชียล สวีท
ในห้องรับแขก หนานกงจิ่นใส่ชุดสีขาวยาว กำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะน้ำชา รอเธอออยู่อย่างสงบใจเย็น
แสงแดดส่องเข้ามาจากทางหน้าต่างด้านข้าง ทำให้ทั้งตัวของเขามีออร่าบางๆ ให้ความรู้สึกราวกับเทพบุตรสุดหล่อโรแมนติก
แต่ก็ไม่รู้ทำไมกัน เรื่องที่คนคนนี้ทำมาล้วนชั่วร้ายอย่างเห็นได้ชัด
แต่จิ่งหนิงกลับมองเห็นความชั่วร้ายจากเขาได้น้อยมาก โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นเวลาส่วนใหญ่ก็สงบราวกับสายน้ำ อบอุ่นและแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
ถ้าไม่ได้พูดคุยกับเขา รู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย แค่ได้สบตากับเขาอยู่แบบนี้ ก็ยิ่งทำให้คนรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ
จิ่งหนินเม้มริมฝีปากแล้วก็เดินเข้าไป
“คุณจิ่งมาแล้ว นั่งลง”
เขาผายมือ ให้จิ่งหนิงนั่งลงบนฟูกสานตรงข้าม
จิ่งหนิงมองฟูกที่อยู่ข้างเท้า แล้วขมวดคิ้ว
ก็ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของเธอรึป่าว เธอมักจะรู้สึกว่า หนานกงจิ่นคนนี้ ทั้งคำพูดและการกระทำหลายอย่างแปลกๆ
อย่างเช่น เขายังวัยรุ่นอยู่แท้ๆ แต่มักจะสวมชุดเก่าย้อนยุคอยู่เสมอ
อีกอย่างคือ ในสมัยนี้ถ้าไม่ได้ไปถวายของที่วัด ใครยังจะใช้ฟูกสานแบบนี้อยู่อีก?
ไม่คิดว่านั่งขดอยู่ที่นั่นจะเมื่อยขาไม่สบายรึยังไงกัน ?
แต่ความสงสัยเหล่านี้ ได้แต่เก็บไว้ในใจ ไม่ได้พูดออกไป
จิ่งหนิงนั่งลงไปแล้ว หนานกงจิ่นก็ยกแขนรินน้ำชาให้เธอ วางไว้เบื้องหน้า
ใบหน้าอบอุ่นแฝงไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน ยิ้มเบาๆแล้วพูดว่า “นี่คือชาท้องถิ่นชนิดใหม่ที่ผมได้มา คุณจิ่งลองดูสิ ลองดูว่าชาในบ้านเราต่างไปอย่างไร”
จิ้งหนิงมองดูแก้วบนโต๊ะ ภายในแก้วเล็กสีขาวหยก น้ำชาสีเหลืองอ่อนคละคลุ้งไปด้วยควัน ราวกับยาพิษที่ชวนหลง
เธอยิ้มเจื๋อน เงยหน้าขึ้น มองไปตรงๆที่หนานกงจิ่น
“ชาน่ะ ฉันขอไม่ดื่มละกัน คุณหนานพูดเถอะ ทำข้อตกลงกับฉันได้ ฉันก็มาแล้ว คุณหนานคงจะเป็นคนรักษาคำพูดใช่ไหมคะ”
เธอไม่แตะชาที่เขาชงด้วยตัวเอง หนานกงจิ่นก็ไม่ถือสา
ยกถ้วยชาที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมา ส่ายหัวแล้วเป่าเบาๆ จากนั้นก็ยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วจิบคำนึง
จิ่งหนิงนั่งมองอยู่ตรงข้าม แอบนินทาในใจ
กริยามารยาทแบบนี้ ที่ถ้าไม่รู้ คงคิดว่าเป็นคนสมัยโบราณทะลุมิติมานะเนี่ย!