วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 1059 เป็นใครกันแน่
แน่นอนว่า คำด่าเล่านี้ หนานกงจินไม่รู้เรื่องอะไร
เขาจิบชาเสร็จ ก็วางแก้วลง แล้วมองจิ่งหนิงอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง
“ผมรักษาคำพูดอยู่แล้ว คุณจิ่งหนิงคิดได้อย่างนี้ ก็เป็นเรื่องดีที่สุดเลย”
จิ่งหนิงพูดเสียงเย็นชา “พูดมาเถอะ ก่อนหน้านี้เรื่องที่คุณพูดที่คฤหาสน์ หมายความว่าไง?รู้เรื่องสิบปีก่อนที่ฉันโดยไล่ล่าได้ยังไง ? แล้ว ที่คุณพูดว่าคนที่ตามฆ่าฉันเป็นลู่จิ่งเซิน คุณมีหลักฐานอะไร ?”
หนานกงจิ่นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ผ่านไปสักพัก ก็ค่อยๆถามว่า “ในความทรงจำสามเดือนนั้น คุณจำไม่ได้สักนิดเลยจริงๆหรอ?”
จิ่งหนิงก็บอกตามตรง “ใช่ค่ะ”
“ความทรงจำเกี่ยวกับเมื่อสิบปีก่อนที่ประเทศ F จำได้มากน้อยแค่ไหน?”
“หลังจากเหตุการณ์นั้นฉันก็จำได้หมด ในเรื่องของเหตุการณ์ก่อนหน้า……”จิ่งหนิงเงียบไป “ความทรงจำล่าสุดของฉัน จำได้แค่ว่าฉันขึ้นเรือสำราญไป เรื่องอื่นก็ลืมหมดแล้ว”
“อย่างนี้นี่เอง”
หนานกงจิ่นมองลงเล็กน้อย ราวกับกำลังพึมพำกับตัวเอง
จิ่งหนิงขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างงั้น ตอนนี้คุณบอกฉันได้มั้ย ว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หนานกงจิ่งเงียบไปสักครู่ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา ยิ้มแล้วมองไปที่เธอ พูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ผมบอกคุณได้อยู่แล้ว เพราะตอนนั้นคุณเองได้ช่วยชีวิตผมไว้ ถ้าไม่ได้คุณ ก็ไม่มีหนานกงจิ่นที่นั่งอยู่ที่นี่วันนี้หรอก”
จิ่งหนิงตกใจเป็นอย่างมาก
“ช่วยชีวิตคุณ?เป็นไปได้ยังไง?”
เธอตกใจ ทันใดนั้นก็คิดอะไรออก แสงสีขาวก็แวบเข้ามาในหัว ตามด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรง
จิ่งหนิงยกมือขึ้นจับขอบโต๊ะ ใบหน้าที่ซีดเซียวเพราะความเจ็บปวด เธอกัดฟันและอดทนโดยไม่ส่งเสียงใดๆ
หนานกงจิ่นลุกขึ้น เดินมาอยู่ข้างเธอ หลังจากยองลงก็ยกมือจับที่กระหม่อมของเธอ
“ผ่อนคลาย ไม่ต้องไปคิดอะไร ฟังผมนะ ปล่อยวางลง คุณจะรู้สึกเหมือนน้ำอุ่นๆไหลลงมาจากหัว ความเจ็บปวดจะค่อยๆบรรเทาลง ใช่ อย่างนั้นแหละ ไม่ต้องไปฝืนความช่วยเหลือจากมัน ผ่อนคลาย ค่อยๆช้าๆ ……”
เสียงที่นุ่มนวลของชายหนุ่มดังอยู่ในโสตประสาท ตอนแรก จิ่งหนิงยังคิดจะปฏิเสธ
แต่ค่อยๆจนถึงตอนหลัง ตอนที่มีความรู้สึกเหมือนมีกระแสน้ำอุ่นไหลเข้าสู่ศีรษะ ทั้งร่างกายก็เหมือนถูกโยนลงไปในบ่อน้ำพุร้อน ค่อยๆอ่อนตัวลงทันที
ผ่านไปนานสองงนาน ความเจ็บปวดในหัว ก็ค่อยๆบรรเทาลง
หนานกงจิ่นปล่อยเธอ ถามด้วยความห่วงใยว่า“เป็นยังไงบ้าง ?ตอนนี้ดีขึ้นรึงยัง ?”
จิ่งหนิงลืมตาขึ้นช้าๆ และทันทีที่ลืมตา ก็สบตาเข้ากับสายตาห่วงใยของเขา
ถอยออกมาอย่างระวังทันที
“เมื่อกี้คุณทำอะไรกับฉัน?”
เมื่อเห็นว่าเธอถอยออกห่าง หนานกงจิ่นก็ดูเหมือนจะเจ็บปวด
แต่ว่าเขาเป็นคนเก็บความรู้สึกเก่ง ดังนั้นแค่แวบนึง ก็กลับมามีสีหน้าปกติแล้ว กลับมามีท่าทีที่อ่อนโยนและสง่างามเหมือนเดิม
“คุณปวดหัวเพราะพยายามรื้อฟื้นความทรงจำที่ถูกคนลบออกไป เมื่อกี้ผมแค่ให้ลมปราณกับคุณ ช่วยบรรเทาอาการปวดของคุณก็เท่านั้น มันดีต่อคุณไม่อันตราย”
“จริงหรอ?”
จิ่งหนิงขมวดคิ้ว
ถ้าไม่ได้ยินกับหูของตัวเอง เธอยังคิดว่ากำลังอ่านนิยายกำลังภายในอยู่
หนานกงจิ่นมองไปที่เธอ เห็นว่าในแววตาเธอมีความสงสัยอยู่ ก็หัวเราะขึ้น
“ไม่เชื่อหรอ?งั้นผมแสดงให้คุณดูอีกรอบ”
พูดจบก็ยกมือขึ้นมาทันที
ได้ยินเสียง “ปั้ง”หน้าต่างที่เดิมเปิดอยู่อย่างกว้าง อยู่ๆก็ปิดลงอย่างรวดเร็ว
ความเร็วและทิศทางแรงแบบนั้น ไม่ใช่แค่ลมพัดแน่ ราวกับว่ามีคนวิ่งไปปิดมันอย่างเร็วอย่างนั้นแหละ
ยิ่งไปกว่านั้น หน้าต่างอยู่ข้างใน ถ้ามีลม ก็ควรจะเป็นลมจากข้างนอกพัดมาด้านใน ไม่มีทางจะพัดหน้าต่างจากข้างในออกไปข้างนอกได้
ไม่ต้องพูดถึงว่าในห้องไม่มีลมแรงเลย
ใบหน้าของจิ่งหนิงค่อยๆซีดลง แววตาที่มองไปยังหนานกงจิ่นยังกะเห็นสัตว์ประหลาด
“คุณ คุณเป็นใครกันแน่? เมื่อกี้นี้……”
“เมื่อกี้ผมใช้ลมปราณ ปิดมันผ่านทางอากาศ”
เห็นท่าทีประหลาดใจของจิ่งหนิง เขาก็ยิ้มออกมา
“ยังไม่เชื่อเหรอ ?งั้นผมเปิดให้คุณดู”
พูดพลาง ก็ยกมือขึ้นมาอีกครั้ง
หน้าต่างที่ปิดสนิทอยู่อย่างดี ครั้งนี้ก็ดัง “ปั้ง”เปิดออกแล้ว
หน้าต่างชนเข้ากับกำแพงข้างๆ มีเสียงสะท้อนดังขึ้น ใจของจิ่งหนิงก็พลอยสั่นไปด้วย
จนถึงตอนนี้ เธอถึงจะคิดได้ขึ้นมาว่า ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านั้นน่ากลัวขนาดไหน
ไม่ใช่เพราะเรื่องสองมือที่เขาโชว์ยอดเยี่ยมขนาดไหน การบังคับสิ่งของผ่านอากาศ ปิดหน้าต่างผ่านอากาศอะไรหรอก ถึงแม้ว่าฟังดูจะพิลึกไปหน่อยก็ตาม
แต่ด้วยว่าเทคโนโลยีปัจจุบันรวมถึงเทคนิคการแสดงมายากลต่างๆ จะให้ทำก็ยังทำแบบนี้ไม่ได้
สิ่งที่เธอรู้สึกว่าน่ากลัวก็คือ เพราะในเวลานี้ เธอเพิ่งงรู้ว่า
ผู้ชายคนตรงหน้านี้ ทั้งในเรื่องเธอ เรื่องลู่จิ่งเซิน รวมถึงกู้ซือเฉียนกับเฉียวฉี พูดได้ว่าเขารู้จักเราดีเกือบทั้งหมด
แต่ว่าสิ่งที่พวกเขารู้เกี่ยวกับชายคนนี้นอกจากเรื่องตระกูลหนานแล้ว ก็แทบจะเป็นศูนย์ ที่มันหมายความว่ายังไง ?
หมายความว่า ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ความสามารถเท่าไหร่ ก็เหมือนกับถูกคนเอาผ้ามาบังตาไว้
เพราะไม่รู้ตัวตนที่แน่ชัดของอีกฝ่าย ประวัติความเป็นมา เป้าหมาย ดังนั้นไม่มีทางที่จะเดาถูกเลยว่าหมากต่อไปที่เขาจะเดิน เป็นอย่างไร
ก็เหมือนกับการเดินอยู่ในความมืด ศัตรูอยู่ในที่ลับเราอยู่ในที่แจ้ง ไม่ว่าเราจะทำอะไร ก็ถูกโจมตีได้ง่ายๆ และเราเองก็ทำได้เพียงนั่งรอความตาย
เมื่อคิดได้อย่างนี้ สีหน้าของจิ่งหนิงก็ยิ่งขาวโพลน
หนานกงจิ่งไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร เห็นว่าเธอสีหน้าไม่ดีก็คิดว่าเธอตกใจ
เขายิ้มเล็กๆ พูดเบาๆว่า “คุณไม่ต้องกลัว ถึงแม้ว่ากำลังภายในของผมจะแกร่ง แต่ในยุคสมัยของพวกคุณ กำลังภายในอะไรพวกนี้ไร้ประโยชน์ไปตั้งนานแล้ว ยังไงพวกคุณก็มีเครื่องบิน จรวด ปืนใหญ่ ยังมีปืนอีก คนคนนึงต่อให้เก่งขนาดไหน ยังไงร่างกายก็เป็นเลือดเป็นเนื้อ สู้กับอาวุธของพวกคุณไม่ได้หรอก”
จิ่งหนิงก็รู้ดี สิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง
แต่จะมีใครบ้างล่ะที่เห็นเรื่องแบบนี้กับตาตัวเองแล้วจะไม่ตกใจ?
เธอกลืนน้ำลายอึกนึง จากนั้นสักครู่ใหญ่ ถึงจะกลับมาตั้งสติได้
จ้องไปที่หนานกงจิ่น ถามว่า “เมื่อกี้ที่คุณพูด ยุคสมัยของพวกเรา?คุณไม่ได้อยู่ในยุคเดียวกันกับเราหรอ?”
หนานกงจิ่นส่ายหัว
ใบหน้าที่อบอุ่นหล่อเหลารูปนั้น สีหน้าคิดถึงความหลังที่ไม่ได้มีมานาน
“ยุคของผมกับพวกคุณ ห่างกันเยอะมาก ห่างจน……แม้ว่าผมอยากจะกลับไป ก็กลับไปไม่ได้แล้ว”
เมื่อตอนที่เขาพูดแบบนั้น สายตาก็มองออกไปข้างนอกหน้าต่าง เหมือนว่าจะมองไปที่ผิวน้ำที่ไหนสักที่ แต่ก็ราวกับว่าไม่ได้มองอะไรอยู่เลย เพียงแค่มองความว่างเปล่าจากระยะไกล ราวกับว่าอยากจะเข้าไปในส่วนลึกแห่งกาลเวลานั้น
จิ่งหนิงเห็นท่าทีเขาแบบนี้ ก็ขมวดคิ้วแน่น ถามด้วยความสงสัย “ทำไมล่ะ?