วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 1063 เป็นเขาได้ยังไง
นิ้วมือห้านิ้วของหนานกงจิ่น ก็เหมือนดั่งแหนบห้าตัว ทับอยู่บนหนังศีรษะของเธออย่างแน่น
เสียงที่เลือนรางของผู้ชายดังขึ้นอยู่ข้างหู เหมือนดั่งส่งมาจากที่ไกลมาก
“หลับตาลง ปล่อยสมองของคุณให้ว่างก่อน อย่าปฏิเสธผม ใช่ ก็คือเช่นนี้ ……”
……
จิ่งหนิงรู้สึกว่าตนเองมาถึงสถานที่ที่แปลกประหลาดมากแห่งหนึ่ง
บริเวณรอบๆล้วนขาวโพลนสุดลูกหูลูกตาไปหมด เหมือนดั่งเข้าสู่โลกลึกลับที่มีหมอกลอยวนเวียนอยู่แห่งหนึ่ง
อยู่ในโลกใบนี้มีเพียงเธอคนเดียว เธองุนงงเดินไปยังข้างหน้า อยู่ดีๆใต้เท้าหยุดชะงัก เหมือนเตะโดนของอะไรบางอย่าง
เธอก้มหัวไปดู กลับพบเห็นเป็นคนคนหนึ่ง
บนกายคนนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส เสื้อเชิ้ตยาวสีขาวทั้งตัวล้วนเปียกน้ำไปหมด ข้างหลังมีเลือดไหลออกมา ทำให้น้ำที่อยู่บริเวณรอบๆเปื้อนเลือดไปหมด
“ช่วย ช่วยผมด้วย……”
คนนั้นพูดเสียงแหบอยู่
จิ่งหนิงเหลียวมองซ้ายขวามองแล้วมองอีก ไม่เห็นมีคนอื่น เธอนั่งยองๆลงอยากจะพยุงคนขึ้นมา
แต่เข้าใกล้แล้ว จึงเห็นหน้าตาของฝ่ายตรงข้ามได้ชัด ทันใดนั้นอึ้งชะงักอย่างโหดร้าย
หนานกงจิ่น? เป็นเขาได้ยังไง?
ไม่ ไม่ใช่!
นี่เป็นสถานที่อะไรเหรอ? ตัวเธอเอง……ไม่ ท้องของเธอล่ะ?
อยู่ดีๆจิ่งหนิงก็รู้สึกถึงว่าที่อยู่ต่อหน้าในปัจจุบันนี้ทั้งหมด ล้วนไม่เป็นจริง เพียงแค่ภาพเพ้อฝัน
หรือว่า เป็นความทรงจำช่วงนั้นที่เธอเคยทำตกหายไป
ไม่มีสาเหตุอื่น เพียงเห็นขลุ่ยที่ดังขึ้นอยู่ข้างนอกก็รู้แล้ว มีน้ำทะเลกระเด็นใส่อยู่บนตัวเรือ เกิดเสียงที่ ซ๊าดๆๆ แสดงว่า ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่บนเรือสำราญลำหนึ่ง
ในตอนต้น ตนเองก็คือพบเจอกับหนานกงจิ่นอยู่ที่นี่เลยเชียวเหรอ?
จิ่งหนิงมีปฏิกิริยาขึ้นมา
ในเวลานี้ เธอก็สนใจคนอื่นๆไม่ได้อีกแล้ว พยุงคนขึ้นมาอย่างรวดเร็วฉับไว เดินไปยังข้างนอก
ข้างนอกแสงอาทิตย์อบอุ่นสดใส แสงอาทิตย์สาดส่องอยู่บนศีรษะของคนอย่างเปิดเผย บนทะเลมุมสะท้อนแสงกลับที่แสบตา เธออดไม่ไหวที่จะหลับตาลง
กลับอยู่ในเวลานี้ อยู่ดีๆ “ปั้ง” เสียงหนึ่ง
เสียงปืนดังขึ้น เธอเพียงรู้ว่าร่างกายเอียงไป ถูกคนข้างกายล้มทับอยู่กับพื้นแล้ว หลบพ้นนัดนี้ไปได้
จิ่งหนิงตกใจจนสีหน้าซีดขาว ก็ได้ยินหนานกงจิ่นพูดเสียงแหบว่า “พยุงผมไปที่ใต้สุดของห้องผู้โดยสาร ที่นั่นมีเรือชูชีพ สามารถนั่งเรือชูชีพออกไป”
จิ่งหนิงพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก
เธอก็ไม่รู้ว่าตนเองทำไมต้องเชื่อฟังหนานกงจิ่น แต่ในเวลานี้ สิ่งที่ประจักษ์ชัดแจ้งคือบนเรือสำราญเกิดความวุ่นวายขึ้นมาแล้ว
ทุกที่ล้วนมีเสียงปืน ได้ยินเสียงก็สามารถแยกแยะออก ปืนเหล่านั้นสวมใส่ท่อเก็บเสียงปืนอยู่
เห็นได้ชัดมาก คนเหล่านี้อยากจะฆ่าอย่างรุนแรง ไม่ปล่อยให้มีชีวิตอยู่สักคน
ถ้าหากว่าไม่รีบเร่งออกไป เกรงว่าเธอกับหนานกงจิ่นล้วนจะถูกจัดการอยู่ที่นี่
จิ่งหนิงกัดฟันพยุงหนานกงจิ่นไปถึงใต้สุดของห้องผู้โดยสาร หนานกงจิ่นสั่งให้เธอวางเรือชูชีพลงไป หลังจากจิ่งหนิงทำตามคำสั่ง หนานกงจิ่นก็ขึ้นเรือชูชีพตามบันไดไป
กลับอยู่ในเวลานี้ เสียงตะโกนที่เย็นชาของผู้ชายส่งมาจากข้างหลัง “อย่าขยับ!”
เธอเกร็งไปทั้งตัว หันหน้าไป มองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอย่างยิ่งใบนั้น
ไม่ พูดตามจริง นั่นไม่ใช่ใบหน้าที่เธอคุ้นเคยเลย
เพราะว่า แม้ว่าเป็นหน้าตาเดียวกัน รูปร่างเดียวกัน แต่บุคลิกดีที่อยู่บนกายนั้นกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เธอกลับไม่ลืมตอนที่ลู่จิ่งเซินเผชิญหน้ากับเธอรูปร่างลักษณะที่หล่อสดใสอ่อนโยนดั่งหยกนั้นตลอดกาล
แต่ผู้ชายที่อยู่ต่อหน้า กลับเย็นชาโหดเหี้ยมอำมหิต ก็เหมือนดั่งนกอินทรีที่โหดเหี้ยมซุ่มโจมตีอยู่ที่ลับ สายตาที่จ้องมองเธอเฉียบคมอย่างยิ่ง เพียงมองหนึ่งที เธอก็รู้สึกคล้ายเช่นดั่งในใจถูกมองทะลุแล้ว ทำให้คนไม่กล้าเพ่งมองตรงๆ
เธอจ้องมองลู่จิ่งเซิน ลู่จิ่งเซินก็จ้องมองเธอเช่นกัน
ในมือ ยังถือปืนกระบอกนั้นอยู่
สักพัก อยู่ดีๆเขากระชากจิ่งหนิงเข้าไป ส่งให้เพื่อนฝูงของตนเอง จากนั้นเอาเรือชูชีพกระโดดลงไปตามล่าหนานกงจิ่นเลย
จิ่งหนิงได้ยินเสียงที่มีของบางอย่างถล่มลงมาจากในใจของตนเอง
ที่แท้ อยู่ก่อนหน้านั้นนานมาแล้ว ตนเองเคยพบเจอกับลู่จิ่งเซินมาก่อนจริงๆ
แต่เขากลับไม่เคยบอกกับตนเองมาก่อน กระทั่งอยู่ตอนที่เธอยากเย็นที่สุดเพราะว่าฝันร้ายนั้น ก็ไม่เคยเอ่ยถึงมาก่อนเช่นกัน
จิ่งหนิงหลับตาลงแล้ว หลับตาลงอีก พวกเพื่อนฝูงของเขามัดตนเองขึ้นมาอย่างตามใจ ควบคุมตัวเข้าไปในห้องผู้โดยสาร
ในห้องผู้โดยสารมืดมาก เธอหดอยู่ในมุม ไม่ได้พูด
หลังจากวางเธออยู่ที่นี่คนเหล่านี้ก็ไม่ได้ไปสนใจเธออีก หลังจากออกไปก็ล็อกประตูไว้เลย
จิ่งหนิงรอไปนานมาก จนถึงทิวทัศน์ยามค่ำคืนมาถึง จึงได้ยินข้างนอกส่งเสียง กุ๊กกั๊ก เสียงหนึ่ง มีคนเข้ามาแล้ว
ต่อจากนี้ ประตูห้องถูกคนเปิดออก เงากายที่คุ้นเคยนั้น ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าอีกครั้ง
ในครั้งนี้ อารมณ์ของจิ่งหนิง เงียบสงบไปนานแล้ว
เธอสีหน้าเงียบสงบจ้องมองลู่จิ่งเซินอยู่ จากนัยน์ตาของฝ่ายตรงข้าม มองเห็นความเย็นชาที่แปลกหน้า
“พาเธอออกมา”
ลู่จิ่งเซินพูดจบ ก็หมุนตัวออกไปเลย
จิ่งหนิงถูกคนดึงขึ้นจากพื้น จากนั้นพยุงไว้ เดินโซซัดโซเซไปยังดาดฟ้าเรือ
ในเวลานี้ ทิวทัศน์ยามค่ำคืนดึกแล้ว
บนท้องฟ้าแขวนพระจันทร์เสี้ยวไว้ดวงหนึ่ง แสงจันทร์สะท้อนอยู่บนพื้นทะเล ถูกลมพัดระลอกคลื่นดั่งเศษเงินขึ้นมาเต็มไปหมด
จิ่งหนิงถูกคนผลักไปยังดาดฟ้าเรือ
เห็นเพียงคนยืนล้อมรอบที่นั่นไว้แล้ว มีชายมีหญิง แต่ละคนล้วนเป็นคนแปลกหน้า เพียงสิ่งเดียวที่เหมือนกันคือ บนกายของพวกเขาล้วนสวมใส่เสื้อยืดสีดำกับกางเกงขายาวรัดรูป หน้าตาเย็นชากวดขัน อยู่ในทิวทัศน์ยามค่ำคืนก็เหมือนดั่งกระบี่คมที่ออกจากฝักเป็นด้ามๆ
ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จิ่งหนิงรู้สึกว่าใจวุ่นวายเล็กน้อยโดยไม่รู้สาเหตุ
“พวกคุณเป็นใคร? อยากจะทำอะไร?”
ไม่มีคนตอบเธอ ลู่จิ่งเซินเดินไปยังข้างหน้าเธอ เสียงเย็นชาถามว่า “คนคนนั้นที่ถูกเธอปล่อยไปในช่วงบ่ายนี้ มีความเกี่ยวข้องอะไรกับคุณ?”
จิ่งหนิงจ้องมองไปยังใบหน้าของเขา สายตามีความงุนงงเล็กน้อย
มุมปากของลู่จิ่งเซินเม้มขึ้นเล็กน้อย มองจากข้างล่างถึงข้างบน ค่อนข้างมีความดุเดือดรุนแรงเล็กน้อยดั่งเรเดียนของดาบ
ใจของเธอขึงลับลงอย่างโหดร้าย รู้สึกถึงอะไร ตอบกลับว่า “ฉัน ฉันไม่รู้จักเขา ฉันมาทำงานพาร์ทไทม์อยู่บนเรือ เมื่อกี้ช่วยเขาได้โดยไม่เจตนา”
ลู่จิ่งเซินหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง
“ใช่เหรอ?”
อยู่ดีๆเขาย่างก้าวประชิดใกล้ไปยังเธอ
โดยจิตใต้สำนึกจิ่งหนิงถอยไปข้างหลัง ได้ยินเพียงเขาพูดทีละคำๆว่า “ทำงานพาร์ทไทม์เหรอ? คุณรู้ไหมว่าบนเรือสำราญลำนี้ทั้งหมดล้วนเป็นผู้ที่ทำผิดกฎหมาย คุณมาสถานที่นี้สามารถทำงานพาร์ทไทม์อะไรได้ล่ะ? หรือคุณคิดว่าพวกเราหลอกง่ายขนาดนี้ จะถูกคุณตบตาผ่านอย่างง่ายดายเหรอ?”
จิ่งหนิงถอยไปจนไร้ทางถอย หลังพิงอยู่บนรั้วที่ถูกตัดไปครึ่งหนึ่งใช้เชื่อมต่อกันไว้
ข้างหลังส่งความรู้สึกสูญสิ้นแรงถ่วงมา ทำให้ในใจของเธอเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา
พอหันหน้าไปมอง พื้นทะเลที่อยู่ใต้ทิวทัศน์ยามค่ำคืน เหมือนดั่งปากขนาดใหญ่ คล้ายดั่งจะกลืนกินเธอเข้าไปเลย
เธอส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีก สีหน้าซีดขาวพูดว่า “ฉันไม่รู้จักเขาจริงๆ ฉันยังเป็นนักศึกษาคนหนึ่ง ถ้าหากคุณไม่เชื่อล่ะก็ สามารถไปสืบหาสถานะของฉันได้ ฉันไม่ใช่คนร้ายอะไรจริงๆ”
ลู่จิ่งเซินยกมือขึ้น จับคางของเธอไว้
คล้ายดั่งไม่ได้ยินคำพูดของเธอเลยสักนิด ถามเสียงเย็นชาว่า “พูด! ซ่องโจรของหนานกงจิ่นอยู่ที่ไหนล่ะ?”
จิ่งหนิงได้ยินเสียงที่ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกของตนเอง
“ฉันไม่รู้จักหนานกงจิ่นอะไร ฉันไม่รู้อะไรจริงๆ ขอร้องพวกคุณปล่อยฉันไปเถอะ!”
“ไม่พูดเหรอ? งั้นก็อย่าโทษผมว่าไม่เกรงใจเลย”
ลู่จิ่งเซินพูดอยู่ อยู่ดีๆยกมือ จากนั้นก็อยู่ในเวลานี้ —— กระสุนลูกหนึ่งกรีดผ่านอากาศ “ฟิ้ว” เสียงหนึ่งลอยผ่านไป