วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 1068 อ้อมค้อม
เขาส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีก ถอนหายใจพูดว่า “ตั้งแต่ต้นจนจบเขาล้วนปกปิดพวกคุณ หลอกใช้พวกคุณ เขาไม่ได้ถือว่าตัวคุณเป็นคนที่เขารักจริงๆเลยสักนิด ดังนั้นทั้งหมดล้วนเป็นแค่แผนร้ายเท่านั้น ไม่เพียงแค่คุณ ยังมีกู้ซือเฉียนกับเฉียวฉี แท้ที่จริงล้วนถูกเขาหลอกใช้แล้ว”
เสียงของหนานกงจิ่นแฝงไว้ด้วยแรงพลังที่ปลุกปั่นอย่างหนึ่ง ทำให้ในใจจิ่งหนิงอึ้งชะงัก
สีหน้าของเธอมีความเขียวซีดเล็กน้อย ปฏิเสธพูดว่า “ไม่ คุณไม่ต้องปลุกปั่นฉันอีกเลย เพราะไม่ว่าคุณพูดยังไง ฉันล้วนไม่เชื่อ”
เธอพูดอยู่ ลุกขึ้นมา
“ฉันจะไปหาลู่จิ่งเซิน! ฉันจะไปถามเขาให้ชัดเจน”
เห็นเธอเซไปเซมาก็จะออกไปกับตา มุมปากของหนานกงจิ่น อยู่ดีๆปรากฏรอยยิ้มที่หยอกเล่นขึ้นมา
“จิ่งหนิง ไม่งั้นเรามาพนันกันสักหน่อยว่ายังไงล่ะ?”
ย่างก้าวของจิ่งหนิงหยุดชะงัก
หันกลับไปจ้องมองเขา “พนันกันอะไรล่ะ?”
“สิบปีก่อน ลู่จิ่งเซินไม่ยินยอมเอาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์มาแลกเปลี่ยนคุณ ทำให้คุณได้รับบาดแผลจากอาวุธปืน เวลานั้นถึงยังไงพวกคุณก็ไม่คุ้นเคยกัน ตามน้ำใจเหตุผลยังยกโทษให้ได้ แต่ตอนนี้คุณเป็นภรรยาของเขา คิดว่าเขาย่อมยินยอมทุ่มหมดทุกอย่างเพื่อคุณอย่างแน่นอน ไม่งั้นเราก็มาพนันกัน สิบปีหลังการเลือกที่เหมือนกันวางอยู่ต่อหน้าเขา เขาจะเลือกยังไง ว่ายังไงล่ะ?”
ย่างก้าวของจิ่งหนิงแข็งทื่ออยู่นั่นโดยสิ้นเชิง
ต้องบอกว่า หนานกงจิ่นเอ่ยเงื่อนไขที่ยั่วยุคนออกมาเหลือเกินอย่างหนึ่ง
อยู่บนโลกนี้ ดังคำกล่าวที่ว่ายิ่งห่วงก็ยิ่งสับสน ในใจยิ่งแคร์ ก็ยิ่งอยากจะพิสูจน์
อยู่ภายใต้การรู้เงื่อนไขข้อแรกของความเป็นจริงแบบนั้น เชื่อว่าไม่มีสักคนจะสามารถปฏิเสธการยั่วยุของเขาได้
จิ่งหนิงไม่ใช่เทพเทวดา ก็เพียงแค่คนธรรมดาที่มีอารมณ์เจ็ดตัณหาหกคนหนึ่งเท่านั้นเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ โดยจิตใต้สำนึกในสมองแว็บผ่านความคิดแรกก็คือ รับปาก
ถึงยังไง หนานกงจิ่นก็ตั้งใจมั่นว่าต้องได้แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ นี่เป็นความจริงที่คนทั้งหลายล้วนรู้
แท้ที่จริงไม่ว่าเธอจะรับปากหรือไม่ จับกุมชีวิตของเฉียวฉีอยู่ในมือ แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์หลายชิ้นนั้น ช้าเร็วเขาก็สามารถที่จะได้
ดังนั้น แท้ที่จริงถึงแม้รับปาก ก็ไม่มีอะไรล่ะ?
ในเวลานี้ หนานกงจิ่นวางมือถือเครื่องหนึ่งไว้บนโต๊ะ
“เพียงแค่คุณยอมรับปาก ผมจะโทรหาเขาทันที บอกตำแหน่งเราให้กับเขา ถึงเวลานั้น คุณจะเห็นความสำคัญที่คุณอยู่ในใจเขากับตา”
จิ่งหนิงเม้มปากอย่างแน่น
นิ้วมือที่วางอยู่ใต้โต๊ะกำแน่นแล้วแบออกอีก แบออกแล้วกำแน่นอีก
เนิ่นช้าไม่ได้ทำการตัดสินใจ
หนานกงจิ่นก็ไม่ร้อนใจเช่นกัน เงียบตลอดเวลาจ้องมองเธออยู่ คล้ายดั่งรอเธอบอกคำตอบสักอย่างออกมา
ผ่านไปนานมาก จึงได้ยินจิ่งหนิงพูดว่า “ได้”
หนานกงจิ่นหัวเราะออกมา
“งั้นตอนนี้ผมก็โทรหาเขา”
ไม่นานลู่จิ่งเซินก็รับสายหนานกงจิ่นเลย
อยู่ในสาย หนานกงจิ่นบอกตำแหน่งของตนเองให้กับเขา ลู่จิ่งเซินไม่กล้าล่าช้า สั่งคนหมุนทิศทางเรือทันที ขับไปยังตำแหน่งที่พวกเขาอยู่
กู้ซือเฉียนจ้องมองมหาสมุทรอยู่ ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ทำไมผมรู้สึกว่าเรื่องนี้มีความผิดปกติเล็กน้อยล่ะ?”
เฉียวฉีถามว่า “ที่ไหนผิดปกติล่ะ?”
“หนานกงจิ่นยากที่จะจับจิ่งหนิงได้ แรกสุดอะไรก็ไม่ได้พูดยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเอ่ยเงื่อนไขอะไร ตอนนี้อยู่ดีๆกลับกระโดดออกมาอีก ชี้ให้เห็นว่าจะให้พวกเราเข้าไปแลกเปลี่ยนตัวประกันเอง แต่กลับหุบปากไม่บอกสิ่งที่เขาจะแลกเปลี่ยน นี่จะไม่ใช่แปลกประหลาดมากเหรอ?”
ใบหน้าลู่จิ่งเซินไร้สีหน้า จ้องมองมหาสมุทรที่ไกลลึก พูดเสียงเข้มว่า “ไม่ว่าแปลกประหลาดมากขนาดไหน และไม่ว่าสิ่งที่เขาจะเอาคืออะไร พวกเราล้วนต้องไป”
เฉียวฉีก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่สิ หนิงหนิงอยู่ในมือเขา ไม่ว่ายังไงครั้งนี้เราล้วนต้องไป ในเมื่อคาดเดาจุดประสงค์ของเขาไม่ได้ งั้นก็ไม่ต้องไปคาดเดาปัญหาทุกอย่างมีทางออก พวกเราเดินก้าวหนึ่งก่อนค่อยว่าอีกก้าวหนึ่งเถอะ”
กู้ซือเฉียนพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก
ไม่นาน พื้นที่ทางทะเลที่อยู่ข้างหน้า ได้พบเห็นจุดสว่างเล็กๆจุดหนึ่ง
เฉียวฉีตื่นตระหนกตกใจด้วยความดีใจพูดว่า “ใกล้ถึงแล้ว ข้างหน้าก็คือเรือสำราญของพวกเขา”
ลู่จิ่งเซินควักมือถือออกมา โทรหาหนานกงจิ่น
“พวกเราใกล้ถึงแล้ว พูดเถอะ คุณอยากได้อะไร?”
ฝ่ายตรงข้าม เสียงของหนานกงจิ่นเอ้อระเหยอยู่
“ไม่ต้องรีบ รอคุณมาถึงค่อยว่ากัน ใช่แล้ว อย่าโทษว่าผมไม่ได้เตือนสติคุณ คุณจะพากู้ซือเฉียนกับเฉียวฉีขึ้นมาได้ แต่ห้ามพาคนอื่นๆ ถ้าหากถูกผมพบเห็น…”
ลู่จิ่งเซินพูดเสียงเข้มว่า “จัดการคุณ ผมยังไม่ต้องการคนอื่น”
“เหอะ! ขอเพียงแต่ว่าอีกสักครู่คุณยังสามารถพูดคำนี้ออกมาได้”
หนานกงจิ่นพูดจบ วางโทรศัพท์โดยตรง
ข้างๆ สีหน้าจิ่งหนิงสลับซับซ้อนจ้องมองเขาอยู่
“พวกคุณรู้จักกันมานานแล้วเหรอ?”
หนานกงจิ่นเริ่มชงชาอีกแล้ว
“สิบปีมั้ง ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาจะเข้าร่วมองค์กรX แต่ตั้งหลังจากเขาปรากฏตัว ก็ไล่ตามผมไม่ยอมปล่อยโดยตลอด ไปๆมาๆก็ได้หลายปีขนาดนี้แล้ว และก็แค่หลายปีนี้ได้หยุดสักนิด แต่นั่นก็เพียงแค่เอาองค์กรXจากที่เปิดเผยย้ายไปที่ลับ หลายปีนี้ผมเพื่อที่จะหลบเขา ความทุกข์ทรมานที่ได้รับจะไม่น้อยนะ”
เขาพูดอยู่ สายตาที่จ้องมองไปยังจิ่งหนิง แฝงไว้ด้วยอารมณ์ที่มืดมนไม่ชัดเจนเล็กน้อย
จิ่งหนิงเงียบลง
ที่แท้ ล้วนผ่านมานานขนาดนี้แล้วเหรอ?
ตนเองช่างโง่เขลาจริงๆ กลับกลายเป็นล้วนไม่ได้สังเกตถึงสักนิด
เธอหันหน้ามองไปยังนอกหน้าต่าง เห็นเพียงพระอาทิตย์ขึ้นถึงกลางสุดแล้ว เป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี
แสงอาทิตย์สาดส่องอยู่บนน้ำ มุมสะท้อนกลับแสงสีเงิน แสบจนคนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น
เธอใจลอยสักพัก ก็ได้ยินหนานกงจิ่นพูดว่า “พวกเขามาถึงแล้ว พวกเราออกไปเถอะ”
จิ่งหนิงพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก ติดตามอยู่ข้างหลังเขา เดินออกจากห้องผู้โดยสาร
แม้ว่าพระอาทิตย์ข้างนอกเจิดจ้ามาก ลมกลับแรงมากเช่นกัน
ถึงยังไงก็เป็นฤดูหนาวแล้ว แม้ว่าเนื่องเพราะอากาศฝั่งนี้หนึ่งปีสี่ฤดู ถึงแม้ว่าหนาวขนาดไหนก็หนาวไม่ถึงไหนเช่นกัน
แต่ลมหนาวที่พัดมาจากทิศเหนือ ยังคงดัง โฮ่วๆ เรื่อยๆ พัดจนคนแทบจะถูกลมพาปลิวไปด้วย
ย่างก้าวจิ่งหนิงเดินช้าๆไปบนดาดฟ้าเรือ จากที่ไกล ก็มองเห็นเรือสำราญอีกลำหนึ่งจอดอยู่ที่ไม่ไกล
ต่อจากนี้ มีคนปล่อยเรือดิงกีย์ลง ทั้งสามคนนั่งอยู่บนเรือดิงกีย์ ขับมายังฝั่งนี้
ใจของจิ่งหนิงบิดแน่นโดยไม่รู้ตัว
วันนี้เธอก็ไม่รู้ว่าตนเองทำเช่นนี้ตกลงถูกหรือไม่
เธอเพียงแค่รู้ว่า เดินตามจิตเดิมของตนเอง ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร เธอล้วนยินยอมแบกรับ
ไม่นานเรือดิงกีย์ลำนั้นก็ขับเข้ามาแล้ว หลังจากชิดเข้าฝั่ง ย่อมมีคนดึงพวกเขาขึ้นมาอยู่แล้ว
จิ่งหนิงจ้องมองลู่จิ่งเซินกับกู้ซือเฉียนพวกเขาเดินทีละก้าวๆใกล้เข้ามา หัวใจดวงหนึ่งก็บิดขึ้นมาตามไปด้วย
หนานกงจิ่นสั่งคนพาพวกเขามาบนดาดฟ้าเรือ
ในเวลานี้ ทั้งสามคนล้วนยืนอยู่ฝั่งหนึ่งของดาดฟ้าเรือ ส่วนหนานกงจิ่นพาจิ่งหนิงยืนอยู่อีกฝั่งนี้ของดาดฟ้าเรือ ทั้งสองฝั่งยืนแยกกลุ่มกันอยู่ ถึงขนาดมีความรู้สึกที่ผิดปกติ เหมือนจะคุมเชิงกันอย่างหนึ่ง
ลู่จิ่งเซินพูดเสียงเข้มว่า “พวกเรามาแล้ว พูดเถอะ ตกลงว่าทำยังไงคุณจึงจะยอมปล่อยหนิงหนิง?”
หนานกงจิ่นยิ้มบางๆหนึ่งที “อย่าเพิ่งร้อนใจ ของที่ผมอยากจะได้ไม่รู้ว่าพวกคุณเอามาหรือไม่ล่ะ”
ลู่จิ่งเซินแอบพินิจพิเคราะห์จิ่งหนิงก่อนหนึ่งที สังเกตเห็นเธอนอกจากสีหน้าดูไม่ค่อยดีเล็กน้อย กลับไม่มีบาดแผลภายนอกที่เห็นได้ชัด หัวใจดวงหนึ่งก็วางลงเล็กน้อย
เขาถามหนานกงจิ่น “คุณอยากได้ของอะไรล่ะ?”
หนานกงจิ่นยิ้มพูดว่า “ลู่จิ่งเซิน ล้วนถึงเวลานี้แล้วคุณก็ไม่ต้องอ้อมค้อมกับผมอีกล่ะ พวกเราพูดจาเรื่อยเปื่อยกันไปมาในใจเข้าใจแต่แสร้งทำเป็นเลอะเลือน มีความหมายอะไรล่ะ? ผมอยากได้อะไรคุณไม่ใช่ล้วนรู้เหรอ?”