วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 1069 คิดว่าตัวเองถูกตลอด
ดวงตาลู่จิ่งเซินตึงขึ้น ชั่วพริบตาเดียวนัยน์ตาที่ลึกล้ำคู่นั้นเปล่งแสงที่ดุเดือดรุนแรงออกมา
กู้ซือเฉียนกับเฉียวฉียังฟังไม่ทันจะเข้าใจว่าพวกเขาพูดอะไรกันอยู่ ล้วนมีสีหน้าที่งุนงงเต็มใบหน้า
ใจของจิ่งหนิงกลับขึงลับลงอย่างโหดร้าย เพราะว่าเธออ่านบางอย่างได้จากสายตาของลู่จิ่งเซินแล้ว
เห็นได้ชัดมาก เขารู้ว่าหนานกงจิ่นพูดอะไรอยู่
นี่ก็หมายความว่าคำพูดเหล่านั้นที่ก่อนหน้านั้นหนานกงจิ่นพูดกับตนเองล้วนเป็นความจริง ระหว่างเขากับลู่จิ่งเซินมีความลับบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้อยู่จริงๆ
ถึงเวลานี้แล้ว ลู่จิ่งเซินเห็นได้ชัดก็รู้ว่า ไม่มีทางทำอย่างลวกๆผ่านไปได้อีกแล้ว
เขาพูดเสียงเย็นชาว่า “คุณอยากได้แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์เหรอ?”
หนานกงจิ่นพูดว่า “ใช่! เอาหลายชิ้นนั้นที่อยู่ในมือคุณออกมาให้ผมทั้งหมด มิฉะนั้นผมจะฆ่าเธอเลยทันที!”
เขาพูดอยู่ ยกมือจับคอของจิ่งหนิงไว้
ลำคอที่อ่อนนิ่มอยู่ในฝ่ามือของเขา ก็เหมือนดั่งต้นอ้อเล็กสีขาวที่อ่อนแอต้นหนึ่ง หักเบาๆก็จะหักเลย
ดวงตาลู่จิ่งเซินตึงขึ้น โดยจิตใต้สำนึกร้องตะโกนพูดว่า “อย่าเตะต้องเธอ”
ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อยู่ดีๆจิ่งหนิงก็รู้สึกว่าใจร้ายไม่ลงจากใจ
เธอส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีกพูดว่า “ลู่จิ่งเซิน คุณไม่ต้องสนใจฉัน คุณไปเถอะ เขาไม่ทำอะไรฉันจริงๆ”
ยังไม่ทันพูดจบ นิ้วมือของหนานกงจิ่นแน่นขึ้น ทันใดนั้นคอของเธอถูกคนบีบไว้ หายใจไม่ได้ ชั่วพริบตาเดียวใบหน้าซีดลง
ใจของลู่จิ่งเซินก็แน่นขึ้นอย่างโหดร้ายตามไปด้วย แค่แทบอยากจะพุ่งเข้าไปช่วยจิ่งหนิงเข้ามาทันทีใจจะขาด
แต่เขาต่อฝีมือของหนานกงจิ่นคุ้นเคยกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว รู้ว่าตนเองเข้าไปอย่างนี้ไม่เพียงช่วยจิ่งหนิงไม่ได้ กลับยังจะทำให้เธอตกอยู่ในอันตราย
ด้วยเหตุนี้เพียงแค่หยุดอยู่ที่นั่นไม่กล้าขยับอีก
หนานกงจิ่นเห็นตนเองคุกคามพวกเขาได้ นี่จึงหัวเราะออกมาอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
เขาพูดเสียงเข้มว่า “ลู่จิ่งเซิน ผมให้โอกาสคุณเพียงแค่ครั้งเดียว เอาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์สี่ชิ้นนั้นที่อยู่ในมือคุณออกมาให้หมด มิฉะนั้นผมก็จะบีบให้เธอตายในทันที คุณสามารถลองดูว่าปืนของคุณเร็วกว่าหรือว่ามือของผมเร็วกว่า”
ลู่จิ่งเซินไม่ได้พูด กู้ซือเฉียนกับเฉียวฉีที่อยู่ข้างๆกลับล้วนตื่นตกใจอย่างมาก
แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์สี่ชิ้นอะไรล่ะ?
ทั้งหมดของพวกเขาถึงแม้บวกกับในครั้งก่อนชิ้นนั้นที่พวกเขาเอามาจากเตียนหนาน ไม่ใช่ก็เพียงแค่มีชิ้นเดียวเหรอ?
สี่ชิ้นมาจากที่ไหนล่ะ?
แต่หนานกงจิ่นเพียงแค่จ้องมองลู่จิ่งเซินอย่างแน่น
กู้ซือเฉียนกับเฉียวฉีเห็นสภาพก็หันหน้าไปจ้องมองลู่จิ่งเซินเช่นกัน
กู้ซือเฉียน ถามเสียงต่ำว่า “ลู่จิ่งเซินตกลงเป็นเรื่องอะไรกันแน่? คุณมีเรื่องปกปิดพวกเราใช่หรือไม่ล่ะ?”
ลู่จิ่งเซินไม่ได้พูดเหมือนเดิม ตาคู่นั้นกลับจ้องมองจิ่งหนิงอย่างแน่น
จากสายตาของจิ่งหนิงเขาดูเหมือนมองอะไรออกแล้ว หัวใจดวงหนึ่งจมลงอย่างโหดร้าย
ผ่านไปสักพัก จึงได้ยินเขาบอกว่า “แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวผม คุณปล่อยเธอไปก่อน เพียงแค่คุณยอมปล่อยเธอไป ผมรับปากคุณ ย่อมจะส่งแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ถึงมือคุณอย่างแน่นอน ว่ายังไงล่ะ?”
หนานกงจิ่นได้ยินคำพูดหัวเราะ ฮ่าฮ่า เสียงดังออกมา
“ลู่จิ่งเซิน คุณคิดว่าผมเป็นเด็กอายุสามขวบเหรอ? หลอกง่ายขนาดนั้น? ถ้าหากผมปล่อยเธอไป คุณยังจะเอาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ให้ผมเหรอ? สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้พวกเราทั้งสอง คุณไล่ ผมหนี ผมยากที่จะหาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์หลายชิ้นนี้เจอ แต่สุดท้ายล้วนถูกคุณแย่งไปหมด ตอนนี้คุณกลับบอกว่าจะเอามันให้กับผม ใครจะเชื่อล่ะ?”
พอเขาพูดคำพูดนี้ออกมา กู้ซือเฉียนกับเฉียวฉีล้วนอึ้งชะงักอย่างโหดร้าย!
อยู่ดีๆดูเหมือนก็เข้าใจอะไรบ้างแล้ว ไม่กล้าที่จะเชื่อถามว่า “ลู่จิ่งเซิน ตกลงนี่เป็นเรื่องอะไรกันแน่? สิ่งที่เขาพูดหมายความว่าอะไรล่ะ? สิบกว่าปีอะไร? คุณกับหนานกงจิ่นไม่ใช่เพิ่งรู้จักกันไม่นานเหรอ? แต่ก่อนพวกเรากระทั่งล้วนไม่รู้ถึงการคงอยู่ของเขา คุณรู้จักกับเขาสิบกว่าปีแล้วได้ยังไงล่ะ? ยังมีแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์นั้นเป็นเรื่องอะไรกันแน่?”
ลู่จิ่งเซินรู้มานานแล้ว เพียงแค่จิ่งหนิงตกอยู่ในมือของหนานกงจิ่น เรื่องนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปกปิดต่อไปได้อีกแล้ว
เพราะว่าสิบปีก่อน จิ่งหนิงก็เคยพบเจอกับหนานกงจิ่นมาก่อนแล้ว
ตามอุปนิสัยของหนานกงจิ่น ในเมื่อเขาลักพาตัวจิ่งหนิงไป ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่บอกความเป็นจริงกับเธอ
และสามารถอาศัยสิ่งนี้ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาแตกแยกกันพอดี
ตอนนี้ดูแล้ว ทั้งหมดล้วนเหมือนดั่งที่เขาคาดคิดไว้พอดี
ตอนนี้เขาแค่เสียใจภายหลังที่ไม่ได้ทำการอธิบายกับจิ่งหนิงเร็วหน่อย เดิมทีคิดว่าหลังจากรอให้ทุกอย่างล้วนจบลงแล้วค่อยพูดกับเธอ แต่ตอนนี้ดูแล้ว กลับเป็นไปไม่ได้แล้ว
ผ่านไปนานมาก เขาจึงพูดเสียงเข้มว่า “หนิงหนิง คุณรู้แล้วใช่หรือไม่ล่ะ?”
จิ่งหนิงไม่ได้พูด ลำคอที่อ่อนนิ่มยังจับอยู่ในมือของหนานกงจิ่น
เธอเพียงแค่จ้องมองลู่จิ่งเซินอยู่อย่างเงียบๆ อารมณ์ที่อยู่นัยน์ตาสลับซับซ้อนเหลือเกิน ดูเหมือนมีความผิดหวัง ดูเหมือนมีความโมโห ทั้งดูเหมือนมีความเศร้าโศกกับอาลัยอาวรณ์อีกมากมาย
สิ่งที่มากกว่านี้กลับเต็มเปี่ยมด้วยความสงสัยงงงวย
ลู่จิ่งเซินรู้ว่าเธอสงสัยงงงวยอะไรอยู่ แต่ว่าเขาไม่สามารถอธิบายได้ สุดท้ายได้เพียงแต่พูดเสียงเข้มว่า “คุณอย่าคิดเหลวไหล ทั้งหมดล้วนมีสาเหตุ หลังจากนี้ผมย่อมจะอธิบายให้คุณอย่างแน่นอน”
จิ่งหนิงไม่ได้พูดเหมือนเดิม หนานกงจิ่นกลับหงุดหงิดแล้ว แรงกำลังที่อยู่ในมือแน่นขึ้นอีกหลายส่วน พูดเสียงเคร่งขรึมเฉียบขาดว่า “ลู่จิ่งเซิน! ตกลงคุณยอมเอาของออกมาหรือไม่ยอม ถ้าหากคุณไม่เอาของออกมา ตอนนี้ผมก็ทำให้เธอตายในทันที! ทั้งทำให้หญิงชราที่อยู่ข้างในคนนั้นตายไปพร้อมกัน”
นี่จิ่งหนิงจึงพูดเสียงเย็นชาว่า “หนานกงจิ่น เรื่องของพวกเราเป็นเรื่องของพวกเรา หนึ่งเรื่องส่วนหนึ่งเรื่อง ไม่เกี่ยวกับแม่ฉัน คุณปล่อยเธอไปเถอะ”
หนานกงจิ่นหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง ริมฝีปากบางๆติดอยู่ข้างหูของเธอ พูดเสียงต่ำว่า “คุณกลัวอะไรล่ะ? ผมแค่ทำให้เขาตกใจเท่านั้น ผมเคยบอกแล้วคุณเป็นผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตผม ผมจะไม่ทำร้ายคุณอย่างง่ายดาย เพียงแค่เขายอมเอาของออกมา แต่ถ้าหากว่าเขาไม่ยอมเอาของออกมา งั้นก็ไม่แน่แล้วเฉียนเฉียนเอาตัวไม่รอด ผมก็จะเอาตัวไม่รอดเช่นกัน ในเมื่อทุกคนล้วนเอาตัวไม่รอด ผมยังจะแคร์ความเป็นหรือตายของใครล่ะ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่จะตอบแทนไม่ตอบแทนบุญคุณอะไรแล้ว!”
จิ่งหนิงกัดฟันอย่างแน่น พูดเสียงเคร่งขรึมเฉียบขาดว่า “คุณปล่อยเธอไป ฉันย่อมจะช่วยคุณเอาของมาให้ได้แน่นอนได้หรือไม่ล่ะ?”
หนานกงจิ่นหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง “อย่าเลยเถอะ อาศัยคุณผมยังมิสู้อาศัยตนเองดีกว่า เตือนสติคุณอีกคำด้วย เป็นผู้หญิงอย่ามั่นใจในตนเองมากเกินไป โดยเฉพาะสถานะที่คุณอยู่ในใจของผู้ชาย!”
“เพราะว่าบางเวลาตอนที่คุณคิดว่าตนเอง100% แท้ที่จริงเทียบกับใจของเขาเพียงแค่35%มากที่สุดอาจจะเป็น60%เท่านั้น”
“อยู่ในโลกใบนี้หญิงสาวจิตใจหลงใหลผู้ชายทรยศมากมายก็คือเป็นมาอย่างนี้ล่ะ ดูตนเองยิ่งสำคัญสุดท้ายตอนที่ตกลงมาก็จะยิ่งเศร้าสลด ความบาดเจ็บที่ได้รับก็จะยิ่งหนัก ผมเห็นแก่คุณที่เคยช่วยชีวิตผมจึงบอกหลักการนี้กับคุณ ตัวคุณเองพิจารณาให้ดีๆเถอะ”
ตอนนี้จิ่งหนิงเสียใจภายหลังที่ได้รับปากข้อเรียกร้องนี้กับเขาอย่างยิ่ง
เธอรู้ว่าหนานกงจิ่นก็คือคนบ้าคนหนึ่ง ไม่ว่าอะไรล้วนทำออกมาได้!
ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติทั้งสามของเขาหรือว่าวาจาการกระทำของเขา ล้วนเกินขอบเขตของคนปกติคนหนึ่งแล้ว
และตนเองมิเพียงไม่ได้เป็นศัตรูกับเขา ยังสมคบกันกับเขาอีก ช่างโง่เขลามากชั่วมากจริงๆเลย!
อยู่ดีๆเธอขอบตาแดง เงยหน้าน้ำตาคลอจ้องมองไปยังลู่จิ่งเซินพูดว่า “ลู่จิ่งเซิน พวกคุณรีบไปเถอะ ไม่ต้องสนใจฉัน และไม่ต้องเอาของให้เขาเช่นกัน!”