วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 1070 จมลงก้นเหว
“แม้ฉันไม่รู้ว่าในตอนต้นคุณทำไมต้องหลอกฉัน แต่ฉันรู้ว่าคุณย่อมมีสาเหตุของคุณแน่นอน สามารถได้เจอในนั้นอีกครั้ง ฉันรู้สึกพอใจมากแล้ว บอกกับอานอานและจิ้งเจ๋อน้อย ฉันรักพวกเขา”
เธอพูดจบ ถึงขนาดไม่สนใจไยดี จะพุ่งกระโดดลงในทะเลข้างๆ
แต่การเคลื่อนไหวของเธอเร็วขนาดไหนก็ยังเร็วไม่เท่าหนานกงจิ่น ด้วยเหตุนี้ยังไม่ทันก้าวออกไป ก็ถูกหนานกงจิ่นออกแรงดึงกลับมาแล้ว
ออกแรงล็อกตัวไว้อยู่ในมืออีกครั้ง
น้ำตาของจิ่งหนิงไหลออกมาในทันทีแป๊บเดียว เธอออกแรงดิ้นรนพูดว่า “หนานกงจิ่นคุณปล่อยฉันไป! การแลกเปลี่ยนนี้ฉันไม่ทำแล้ว คุณปล่อยฉันไป!”
แต่ที่ไหนหนานกงจิ่นจะเชื่อฟังเธอล่ะ เพียงแค่ออกแรงบีบคอของเธอไว้จ้องมองไปยังลู่จิ่งเซิน พูดเสียงเข้มว่า“ลู่จิ่งเซิน คุณมีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียว แลกหรือไม่แลก ถ้าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งก็เด็ดขาดหน่อย!”
จิ่งหนิงน้ำตาขมุกขมัวจ้องมองเขาอยู่ สู้สุดชีวิตส่ายหัว
แท้ที่จริงไม่ว่าเธอรับปากหนานกงจิ่นหรือไม่ ถึงสุดท้ายตอนจบนี้ล้วนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เริ่มตั้งแต่วินาทีที่จับเธอนั้นหนานกงจิ่นก็ตัดสินใจแล้วว่าจะหลอกใช้เธอมาแลกเปลี่ยนแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์
เพียงแค่เลือกวิธีที่อ่อนโยนนุ่มนวลกว่าอย่างหนึ่งเท่านั้น
นึกไม่ถึงจะไม่เชื่อฟังเช่นนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ใช้ไม้อ่อนไม่ได้ เขาได้แต่ใช้ไม้แข็งแล้ว!
ในเวลานี้ ที่ไหนเขายังจะจำบุญคุณที่ช่วยชีวิตอะไรได้อีก ที่ไหนยังจะจำการตอบแทนหรือไม่ตอบแทนอะไรได้อีก อยู่นัยน์ตาเขามีแต่แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์เท่านั้น
เพียงมีแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ เขาก็จะสามารถช่วยเฉียนเฉียนของเขาได้ ตั้งแต่นี้ไปเขาก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับเฉียนเฉียนของเขาต่อไปได้แล้ว
นึกถึงที่นี่นัยน์ตาของเขาเปล่งสีสันที่แวววาวอย่างบ้าคลั่งออกมา
พูดเสียงเคร่งขรึมเฉียบขาดตะโกนอีกว่า “ลู่จิ่งเซิน! คุณพูดล่ะ!”
ลู่จิ่งเซินจ้องมองเขาอยู่อย่างลึกๆ พูดเสียงเข้มว่า “ได้ ผมจะแลก”
เขาหยุดชะงักแล้วหยุดชะงักอีก พูดอีกว่า “แต่แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในมือผมจริงๆ ถ้าหากคุณจะเอาล่ะก็ ต้องให้เวลาผมสักหน่อย ให้ผมส่งคนกลับไปเอา”
ข้อเรียกร้องนี้กลับสมเหตุสมผล
ด้วยเหตุนี้ หนานกงจิ่นก็ไม่ได้ปฏิเสธเช่นกัน
เขาพูดเสียงเข้มว่า “คนเข้ามา! มัดพวกเขาทั้งสามคนไว้เดี๋ยวนี้”
ลู่จิ่งเซินไม่ได้ต่อต้าน กู้ซือเฉียนกับเฉียวฉีเห็นสภาพ แม้ว่ายังไม่เข้าใจโดยละเอียดว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่ แต่เห็นลักษณะท่าทีของลู่จิ่งเซินอย่างนี้ พวกเขาย่อมจะไม่ต่อต้านอยู่แล้ว
ไม่นาน ทั้งสามคนก็ถูกมัดไว้แล้ว
ลู่จิ่งเซินใช้มือถือสั่งลูกน้องบางเรื่อง ให้พวกเขาไปเมืองKหยิบแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์หลายชิ้นนั้นที่เขาทิ้งไว้อยู่ในห้องเข้ามา จากนั้นก็วางสายเลย
จิ่งหนิงได้ยินคำสั่งของเขา หัวใจดวงหนึ่งจมลงอยู่ในก้นเหวมานานแล้ว
เดิมทีในใจเธอยังหอบความหวังอยู่เล็กน้อย หวังว่าจะเป็นสิ่งที่หนานกงจิ่นหลอกเธอหวังว่าในมือของลู่จิ่งเซินจะไม่มีแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์หลายชิ้นนั้นที่เขาพูดเลย
แต่จนถึงวินาทีนี้ ความหวังเล็กน้อยสุดท้ายนั้นก็สูญสลายโดยสิ้นเชิงแล้ว
อาจจะเพราะความสะดวก เพราะว่าอาจจะได้แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ยิ่งเร็วขึ้น หลังจากมัดหลายคนไว้ทั้งหมด หนานกงจิ่นไม่ได้หยุดอยู่บนทะเลต่อเลย แต่สั่งกัปตันเรือขับเรือสำราญไปยังข้างฝั่ง
ดังนั้นหลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง คนทั้งหลายกลับมาถึงวิลล่าที่กักขังจิ่งหนิงไว้เมื่อก่อนหลังนั้นอีกครั้ง
ในเวลานี้ โม่ไฉ่เวยก็ถูกนำขึ้นมาด้วย
พอโม่ไฉ่เวยเห็นจิ่งหนิง ก็ร้อนใจเหลือเกิน ถามอย่างกังวลว่า “จิ่งหนิงคุณไม่เป็นไรนะ คุณเป็นยังไงบ้างแล้วล่ะ?”
จิ่งหนิงส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีก
พวกเธอแยกกันกักขังกับพวกเขาลู่จิ่งเซินไม่ได้อยู่ในห้องเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ก็ไม่สามารถพูดคุยกันด้วย
โม่ไฉ่เวยยิ่งไม่รู้ว่าลู่จิ่งเซินมาแล้ว รู้เพียงว่าเมื่อกี้ข้างนอกมีเสียงดังเอะอะโวยวายอยู่
เธอก็เลยถามว่า “เมื่อกี้ตกลงเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ฉันเหมือนได้ยินข้างนอกมีเสียงลู่จิ่งเซิน เขามาแล้วเหรอ?”
จิ่งหนิงพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก
ผ่านไปสักพักจึงพูดว่า “แม่ เขาหลอกฉัน!”
โม่ไฉ่เวยอึ้งชะงัก นึ่จึงสังเกตเห็นว่าบนใบหน้าจิ่งหนิงมีรอยน้ำตา
ใจของเธอขึงลับลงนิดๆ พูดว่า “เป็นเพราะว่าเรื่องของแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์เหรอ?”
จิ่งหนิงพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก น้ำตาไหลออกมาโดยไร้เสียง
“เดิมทีฉันคิดว่าหนานกงจิ่นเพียงแค่ตั้งใจพูดคำพูดอย่างนั้นมาขู่ขวัญฉัน กระทั่งตอนที่เขาช่วยฉันฟื้นความจำ ฉันยังคงไม่ยินยอมที่จะเชื่อเรื่องเหล่านั้นที่ฉันเห็นเมื่อสิบปีก่อนว่าเป็นเรื่องจริงทั้งหมด”
“แต่จนถึงเมื่อกี้ฉันเห็นเขายอมรับด้วยปากตนเองกับตา ฉันจึงรู้ว่าที่แท้อยู่ในเมื่อก่อนนานมาแล้วเขาก็ได้ยุ่งกับหนานกงจิ่นมาก่อนแล้วจริงๆ แม้แต่ฉัน เขาก็รู้จักมานานแล้ว เคยสื่อสารกันมานานแล้วเช่นกัน”
“เรื่องที่น่าขำที่สุดคืออะไรคุณรู้ไหม? นั่นก็คือฉันสืบหาคนกลุ่มนั้นที่ไล่ฆ่าฉันเมื่อสิบปีก่อนอยู่ตลอด ฉันสืบหานานมากๆ เคยมีช่วงเวลาหนึ่ง ทุกคืนฉันล้วนฝันร้ายในตอนนี้ทรมานอยู่ ทั้งๆที่ว่าเขาก็จ้องมองอยู่ข้างๆ ทั้งๆที่ว่าเขาก็รู้ความเป็นจริง แต่เขากลับไม่พูดอะไร”
“ฉันหมุนเวียนตามใจไปทั่วทุกที่เหมือนดั่งแมลงวันไร้หัว แม่ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรแค้นเขานะ แต่ตอนนี้ในใจฉันแค้นเขามากโกรธเขามากจริงๆ ฉันไม่รู้ว่าเขาทำไมต้องปกปิดฉันไว้ตลอด หรือว่าเขาไม่รักฉันไม่เชื่อใจฉันเลยสักนิดล่ะ?”
โม่ไฉ่เวยได้ยินคำพูด ทันใดนั้นสีหน้าก็ขึงลับลง
“อย่าพูดเหลวไหล!” เธอพูดเสียงต่ำเกลี้ยกล่อมว่า “ความรักของลู่จิ่งเซินที่มีต่อแก คนทั้งหลายล้วนเห็นอยู่นัยน์ตา คนคนหนึ่งจะจริงใจรักอีกคนหนึ่งหรือไม่ แม้ปากไม่พูดแต่ใช้ตาก็สามารถมองออกได้”
“ความรักความผูกพันที่เขามีต่อคุณไม่มีที่ไหนน่าสงสัย เรื่องนี้เขาไม่บอกกับแกก็จะต้องมีสาเหตุของเขาเช่นกัน ถึงยังไงสถานะของหนานกงจิ่นก็พิเศษ อาจจะเพียงแค่เขาไม่อยากให้แกคลุกเคล้าเข้ามาในสภาพวุ่นวายฉากนี้ ไม่อยากให้แกอันตรายเท่านั้น”
“แกต้องเห็นอกเห็นใจเขา อย่าคิดเหลวไหล ยิ่งอย่าให้ตัวเองเกิดความขัดแย้งภายในก่อน ถึงยังไงตอนนี้พวกเราจึงจะเป็นตั๊กแตนข้าวที่อยู่บนเชือกเส้นเดียวกัน ทำไมหนานกงจิ่นต้องพูดสิ่งเหล่านี้กับแกล่ะ? ไม่ใช่ก็อยากจะทำให้พวกแกสามีภรรยาแตกแยกกันเหรอ? แกจงอย่าทำให้แผนร้ายของเขาสำเร็จได้ล่ะ!”
แท้ที่จริงที่ไหนจิ่งหนิงจะไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแผนร้ายของหนานกงจิ่น เธอก็ไม่ได้โง่เขลาเช่นกัน
แต่อยู่บนโลกใบนี้นะบางเวลาก็เป็นเช่นนี้ เรื่องบางเรื่องทั้งๆที่คุณรู้ว่าเป็นแผนร้าย ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นกับดัก แต่ยังคงควบคุมใจของตนเองให้ไปคิดเหลวไหล จะกระโดดเข้าไปไม่อยู่
เพราะว่าคุณแคร์ไง! หลังจากแคร์แล้วเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะเผชิญหน้ากับการหลอกลวงและทรยศแล้วไม่ใส่ใจสักนิด
รักยิ่งลึกก็ยิ่งไม่สามารถอดกลั้นถึงแม้เป็นการหลอกลวงที่กระจิดริดของฝ่ายตรงข้าม
เพราะว่าคุณเข้าใจ ถ้าหากการหลอกลวงเหล่านั้นล้วนเป็นจริง การทำร้ายที่นำมาให้แก่คุณจะเป็นเท่าตัว!
โดยจิตใต้สำนึกทุกคนล้วนจะปกป้องตนเอง จิ่งหนิงก็ไม่ยกเว้น
เธอหลับตาลง ยกแขนขึ้นทั้งสองข้าง ฝังใบหน้าเข้าไปในอ้อมแขนของตัวเอง นั่งอยู่ที่นั่นน้ำตาไหลโดยไร้เสียง
โม่ไฉ่เวยเห็นลักษณะท่าทีของเธอแบบนี้ ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะปลอบโยนยังไงเช่นกัน
ตัวเธอเองก็ไม่ใช่คนที่ถนัดในการปลอบใจคนอื่นคนหนึ่ง
ถ้าหากเธอถนัดในการปลอบใจคนอื่นจริงๆ ก็ไม่ถึงกับล้วนผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ตนเองยังเพราะว่าเรื่องในตอนต้นปิดใจของตนเองไว้อย่างโหดร้าย ไม่ยอมสัมผัสกับโลกภายนอกอีกเลย
นึกถึงที่นี่ โม่ไฉ่เวยได้แต่ถอนหายใจหนึ่งที ล้วนไม่ได้พูดอะไรอีก