วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 1071 การแลกเปลี่ยนจริง
เพียงแค่นั่งอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆเป็นเพื่อนจิ่งหนิง
และในเวลานี้ อีกฝั่งหนึ่ง
ในห้องข้างๆ ลู่จิ่งเซินกับกู้ซือเฉียนพวกเขาทั้งสามคนนั่งอยู่บนโซฟาในห้อง บรรยากาศเงียบเหลือเกิน
ผ่านไปนานมาก กู้ซือเฉียนจึงเป็นฝ่ายตีความเงียบแบบนี้แตกเอง
เขาจ้องมองลู่จิ่งเซินอยู่อย่างเย็นชา ถามว่า “คำพูดเมื่อกี้ที่หนานกงจิ่นพูดอยู่ข้างนอกเหล่านั้นหมายความว่าอะไรล่ะ? ลู่จิ่งเซินคุณควรที่จะอธิบายกับพวกเราสักหน่อยหรือไม่?”
ลู่จิ่งเซินจ้องมองพวกเขาหนึ่งที ถึงเวลานี้แล้ว ในใจเขาเข้าใจการปกปิดที่มากขนาดไหนอีก แท้ที่จริงล้วนไม่มีประโยชน์แล้ว
สุดท้ายได้แต่ถอนหายใจหนึ่งทีโดยไร้เสียงเท่านั้น
“ผมยอมรับ แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์สามชิ้นนั้นอยู่ในมือของผมจริงๆ”
พอคำพูดนี้พูดออกมา ทำให้กู้ซือเฉียนกับเฉียวฉีอึ้งชะงักอย่างโหดร้ายแล้ว
สีหน้ากู้ซือเฉียนเปลี่ยนทันที โดยจิตใต้สำนึกลุกขึ้นมา กลับถูกเฉียวฉีดึงไว้ทันที
เฉียวฉีจ้องมองลู่จิ่งเซินอยู่ ถามว่า “ทำไมล่ะ? ฉันรู้ว่าคุณมีความลำบากใจที่พูดยาก แต่อย่างน้อยคุณควรจะอธิบายสักอย่างให้กับพวกเราล่ะ หลายวันที่ผ่านมานี้เพื่อที่จะหาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์พวกเราบินไปทั่วโลก ทั้งๆที่ในมือของคุณมีกลับไม่ได้พูดอะไร เห็นพวกเราทำงานหนักไปทั่วกับตา เหมือนเช่นดั่งแมลงวันไร้หัว ลักษณะท่าทีแบบนี้จะไม่ใช่ทำให้คุณจิตใจหนาวเหน็บเหรอ?”
ลู่จิ่งเซินพูดเสียงเข้มว่า “ผมยอมรับจุดนี้เป็นผมผิดต่อพวกคุณ แต่พวกคุณเคยคิดมาก่อนหรือไม่ว่าหนานกงจิ่นทำไมร้อนใจขนาดนี้ที่จะหาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ทั้งสิบสองชิ้นให้ครบล่ะ?”
ทั้งสองคนล้วนอึ้งชะงักไปหนึ่งที
แท้ที่จริงจนถึงตอนนี้พวกเขาก็ไม่รู้ว่าหนานกงจิ่นทำไมร้อนใจจะหามันขนาดนี้
ดังนั้นพวกเขาทั้งสองล้วนงุนงงจ้องมองลู่จิ่งเซินอยู่
ลู่จิ่งเซินพูดเสียงเข้มว่า “ในเมื่อพวกคุณล้วนไม่รู้ อย่างงั้นก็ให้ผมเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้พวกคุณฟังเถอะ”
ดังนั้นเขาเล่าเรื่องหนานกงจิ่นกับเฉียนเฉียนให้กับพวกเขาฟัง
หลังจากกู้ซือเฉียนกับเฉียวฉีฟังจบ ล้วนสั่นสะเทือนอย่างมาก นึกไม่ถึงอยู่บนโลกใบนี้ยังมีเรื่องแบบนี้อีก
กู้ซือเฉียนส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีก ไม่กล้าที่จะเชื่อพูดว่า “เขาเป็นคนที่อยู่มาแล้ว1000ปีจริงๆเหรอ?”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก
“แต่ก่อนผมก็ไม่เชื่อว่าอยู่บนโลกใบนี้จะมีเรื่องแบบนี้ แต่เรื่องแบบนี้กลับเกิดขึ้นอยู่ต่อหน้าผม”
“พูดกับพวกคุณตามตรงเถอะ แม้ว่าสถานะภายนอกของผมเป็นประธานของลู่ซื่อกรุ๊ป แต่ตามความจริงผมก็เป็นผู้รับผิดชอบขององค์กรXด้วย”
องค์กรXเหรอ?
พอคำพูดนี้พูดออกไป กู้ซือเฉียนอึ้งชะงักอย่างโหดร้าย
คนอื่นไม่รู้จักองค์กรนั้น เขากลับรู้จักอยู่นะ
ไม่มีสาเหตุอื่น ประเด็นหลักคือเพราะว่าเขาเป็นผู้กุมอำนาจของตระกูลกู้ในตอนนี้
ตระกูลใหญ่ทั้งสี่ในประเทศ แม้เลื่องชื่อว่าต่างคนต่างถนัด ขอบเขตที่ไม่เหมือนกัน แต่มีด้านข้อมูลมากมายกลับร่วมกันอยู่
องค์กรXนี้แม้ว่าพวกเขาไม่เคยเห็นกับตามาก่อนแต่กลับเคยได้ยินเช่นกัน นึกไม่ถึงลู่จิ่งเซินกลับกลายเป็นคนของพวกเขา
ถึงเวลานี้แล้ว อยู่ดีๆเขาก็เข้าใจอะไรได้แล้ว ดังนั้นพูดว่า “ถ้าอย่างนี้คุณตามจับหนานกงจิ่นอยู่ตลอดเหรอ?”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก
“ภูมิหลังของแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ผมพูดกับพวกคุณให้ชัดเจนแล้ว สาเหตุที่เขาจะรวบรวมแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ทั้งสิบสองชิ้นให้ครบ ก็เพื่อที่จะประกอบหินพลังงานก้อนนั้นกลับมา ทำให้หญิงสาวที่ชื่อว่าเฉียนเฉียนคนนั้นสามารถตายแล้วเกิดใหม่อีก”
“แต่พวกคุณรู้ไหมว่า ถ้าหากจะทำให้เฉียนเฉียนตายแล้วเกิดใหม่ เขาจะต้องไปสถานที่ไหนที่จะประกอบหินพลังงานก้อนนั้นล่ะ?”
กู้ซือเฉียนกับเฉียวฉีล้วนส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีก
ลู่จิ่งเซินพูดเสียงเข้มว่า “เป็นสถานที่ในตอนต้นที่หินอุกกาบาตตกแห่งนั้น และก็เป็นสถานที่ที่เคยรับรังสีนิวเคลียร์มาก่อนแห่งนั้น”
ทั้งสองคนล้วนอึ้งชะงัก
ลู่จิ่งเซินพูดต่ออีกว่า “ในตอนต้นหินอุกกาบาตตกทำให้เกิดรังสีนิวเคลียร์อย่างมหันต์ คนที่อยู่บริเวณรอบๆฝั่งนั้น ล้วนเพราะว่าการปนเปื้อนจากรังสีนิวเคลียร์ และถ้าไม่ก็ป่วย ถ้าไม่ก็ออกจากสถานที่แห่งนั้น”
“ครั้งนี้เขานำแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ทั้งสิบสองชิ้นเข้าไป ถ้าหากเปิดยานอวกาศใหม่อีกครั้งโดยทำให้สนามแม่เหล็กพลังงานเกิดการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ทำให้พลังงานรังสีนิวเคลียร์เดิมทีที่ถูกปิดสนิทเก็บรักษาไว้ยิ่งแผ่กระจาย อย่างงั้น ประชาชนที่บริสุทธิ์จะได้รับผลกระทบไม่รู้มากเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้สถานภาพของโลกใบนี้ล้วนอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน”
“ดังนั้นในตอนต้นพวกเราสังเกตถึงจุดประสงค์ของเขา แผนการของเขา จึงรีบรวบรวมกำลังคนจะไปขัดขวางเขาไว้ แต่ว่าเขาก็เหมือนเช่นดั่งสุนัขจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่ง หลายปีที่ผ่านมานี้ไล่จับกันในที่สุดก็จับเขาไม่ได้จริงๆ”
“ในตอนต้นผมยึดแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ทั้งสองชิ้นที่อยู่ในมือเขาไว้ ก็ได้ปิดสนิทเก็บรักษาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์พกไว้อยู่ข้างกายตลอด ความสามารถของหนานกงจิ่นยิ่งใหญ่มากโดยเฉพาะถนัดในการปลุกปั่นใจคน สิ่งของนี้ไม่ว่าวางอยู่ในมือใครล้วนไม่สามารถรับรองเต็มร้อยว่าจะไม่เร่ร่อนออกไป”
คำพูดเขาสมเหตุสมผล ทำให้ทุกคนไม่เชื่อไม่ได้
กู้ซือเฉียนกับเฉียวฉีแม้ว่าล้วนรู้สึกประหลาดใจ แต่ถูกเขาอธิบายเช่นนี้ แต่ก่อนเรื่องที่คิดไม่ออกมากมายกลับล้วนเข้าใจไปหมดแล้ว
เฉียวฉีขมวดคิ้วอยู่ พูดเสียงเข้มว่า “ถ้าอย่างนี้ แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ตกอยู่ในมือเขาไม่ได้จริงๆ แต่ตอนนี้เขาเอาหนิงหนิงมาคุกคามพวกเรา พวกเราควรทำยังไงดีล่ะ?”
“ได้เพียงแต่สบโอกาสแล้วเท่านั้น”
ในเมื่อตกลงกันแล้ว งั้นก็ไม่มีอะไรน่าปรึกษาหารืออีก
ผ่านไปไม่นาน ข้างนอกก็ส่งเสียงคนพูดคุยเสียงดังเข้ามา
เพราะว่าระยะห่างไกลเกินไป ทั้งมีกำแพงกั้นไว้หลายแห่ง พวกเขากู้ซือเฉียนได้ยินไม่ชัดว่าคนข้างนอกพูดอะไรอยู่เลยสักนิด
แต่โดยคร่าวๆกลับสามารถเดาได้ น่าจะเป็นคนที่ลู่จิ่งเซินส่งออกไปกลับมาแล้ว
เป็นอย่างที่คิดไว้ ไม่นานก็มีคนเดินเข้ามาจากข้างนอกจริงๆ
“ตามผมออกไป!”
ชายรูปร่างใหญ่หลายคนลากทั้งสามคนนี้ออกไป พอออกจากประตู ก็ได้เห็นว่ามีคนยืนอยู่ในลานบ้านข้างนอกไม่น้อย และหนานกงจิ่นก็ยืนอยู่สถานที่ที่ไม่ไกลจากหน้าประตู เหมือนกำลังพูดอะไรกับพวกเขาอยู่
เห็นพวกเขาถูกพาออกมา หนานกงจิ่นมีความหมายที่ไม่ชัดเจนยิ้มแล้วยิ้มอีก
“ตอนนี้คนออกมาแล้ว พวกคุณเอาของให้ผมได้แล้วมั้ง”
ปัจจุบันนี้เขาฉีกหน้ากากออกแล้ว จะไม่ปิดบังความทะเยอทะยานที่ตนเองมีต่อแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์อีก
และหลายคนนั้นที่ยืนอยู่ในลานบ้าน มองเห็นลู่จิ่งเซิน สีหน้าเปลี่ยนนิดๆ
ตอนที่กำลังลังเลไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี ลู่จิ่งเซินพูดเสียงเข้มว่า “หนิงหนิงพวกเธอล่ะ?”
หนานกงจิ่นยักคิ้วแล้วยักคิ้วอีก
“ยังไงล่ะ? คุณยังกลัวว่าผมจะได้ของแล้วไม่ปล่อยพวกเธอเหรอ? สิ่งที่ผมอยากได้คือแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ พวกเธออยู่ในมือผมไม่มีประโยชน์อะไร เพียงแค่ผมได้ของ แน่ใจว่าเป็นของจริง ผมย่อมจะปล่อยเธอแน่นอน”
ลู่จิ่งเซินยิ้มเย็นชา
“ผมจะรู้ได้ยังไงว่าคุณจะทำตามคำพูด?”
หนานกงจิ่นคิดแล้วคิดอีก ดูเหมือนกำลังจริงจังพิจารณาคำถามของเขา
ผ่านไปสักพัก จึงพูดว่า “ไม่งั้นเอาอย่างนี้ ผมให้คนพาพวกเธอลงมา พวกเรามือหนึ่งส่งคนอีกมือหนึ่งส่งของ แต่สำหรับคนผมย่อมต้องแน่ใจว่าของเป็นจริงหรือปลอมก่อน จึงปล่อยพวกเธอได้ ว่ายังไงล่ะ?”
ลู่จิ่งเซินเงียบไปสักพัก ตอบว่า “ได้”
หนานกงจิ่นสั่งลูกน้องสองที ไม่นาน จิ่งหนิงกับโม่ไฉ่เวยก็ถูกพาลงมาแล้ว
มองเห็นลู่จิ่งเซินอีก สีหน้าของจิ่งหนิงมีความขาวซีดเล็กน้อย
ลู่จิ่งเซินเป็นห่วงจ้องมองเธอ แน่ใจว่าบนกายเธอไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรนี่จึงโล่งอกไปที
หนานกงจิ่นยื่นมือออกไปอีกครั้ง
“ตอนนี้เอาของให้ผมได้แล้วมั้ง?”