วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 1075 ไม่โมโหอีก
เขามีความอึดอัดเล็กน้อยยิ้มแล้วยิ้มอีก
จิ่งหนิงจ้องมองอานอานอยู่ พูดอย่างเป็นห่วงว่า “พวกแกอยู่ในประเทศเป็นยังไงบ้างล่ะ? เชื่อฟังคุณปู่คุณย่าหรือไม่?”
อานอานพยักหน้าอย่างหนักๆ จากนั้นพูดเสียงเบาๆว่า “พวกเราคิดถึงหม่ามี๊แล้ว หม่ามี๊ท่านจะกลับมาเมื่อไหร่ล่ะ?”
จ้องมองสายตาของซาลาเปาน้อยที่น้อยเนื้อต่ำใจ ทั้งแฝงไว้ด้วยความอาลัยอาวรณ์ ใจของจิ่งหนิงล้วนสลายแล้ว
รีบปลอบโยนพูดว่า “พรุ่งนี้หม่ามี๊กับแด๊ดดี้ก็กลับไปแล้ว พวกแกเป็นเด็กดี อย่าดื้อ อย่าทำให้คุณปู่คุณย่าโมโห รู้ไหม?”
อานอานพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีกอย่างหนักๆ
ในเวลานี้ จิ้งเจ๋อน้อยซุกเข้ามา ใบหน้าที่อ่อนนุ่มใบหนึ่ง ตาที่ว่องไวทั้งดำทั้งสว่าง
ในมือยังถือหุ่นยนต์อีกตัวหนึ่ง เหมือนโชว์สิ่งล้ำค่าให้เธอดู
“หม่ามี๊ท่านดู นี่เป็นหุ่นยนต์ที่ผมประกอบเอง รอท่านกลับมาให้ท่าน โอ๊ะ”
จิ่งหนิงจ้องมองเขา น่าจะได้กรรมพันธุ์ที่ไอคิวสูงของลู่จิ่งเซินมา แม้ว่าตอนนี้จิ้งเจ๋อน้อยเพิ่งอายุ 5 ขวบ แต่สามารถทำเรื่องมากมายได้เองแล้ว รวมทั้งออกแบบหุ่นยนต์เอง
เขาสนใจด้านนี้มากทั้งมีพรสวรรค์มาก บางทีของที่ทำออกมาทำให้ผู้ใหญ่อย่างพวกเขาเหล่านี้ล้วนรู้สึกละอายเหลือเกิน
จิ่งหนิงจ้องมองลูกชายกับลูกสาวทั้งคู่ ในใจรู้สึกพอใจอย่างยิ่ง
พูดคุยกับพวกเขาอีกสักพัก จึงวางสายลง
เชวซู่กับโม่ไฉ่เวยล้วนรู้ว่าเป็นอานอานโทรมา เห็นเธอวางสายแล้ว ก็เลยยิ้มอยู่ถามถึงสภาพการณ์ของพวกเด็กๆกับเธอ
จิ่งหนิง ตอบทีละเรื่อง ทั้งครอบครัวมีความสุขดื่มไปเรื่อยๆจนถึงดึกดื่นเที่ยงคืนจึงแยกย้ายกัน
คืนนี้ลู่จิ่งเซินดื่มเหล้าไปไม่น้อย ตอนกลับห้องมีความเมาสะลึมสะลือเล็กน้อยแล้ว
แต่เขายังคงจำได้ว่าจิ่งหนิงตั้งครรภ์อยู่ ดังนั้นพยุงเธออยู่ตลอดไม่กล้าเตะต้อง
จิ่งหนิงมีความรังเกียจกลิ่นเหล้าที่อยู่บนกายเขาเล็กน้อย พอเข้าไปในห้องก็ไล่เขาไปอาบน้ำ
หลังจากรอลู่จิ่งเซินเข้าไปในห้องน้ำ จิ่งหนิงโทรหาเฉียวฉี
พวกเขาเฉียวฉีไปช่วงบ่าย ในเวลานี้ ถึงเมืองหลินแล้ว
จิ่งหนิงแน่ใจถึงความปลอดภัยของพวกเขา ทั้งปลอบโยนเฉียวฉีหลายคำ จึงวางสาย
วันนี้คึกคักไปหนึ่งวัน จิ่งหนิงก็มีความเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อยแล้ว
หลังจากวางสาย รู้สึกง่วงมากอยากนอนก็เลยนอนอยู่บนเตียง
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ อยู่ดีๆประตูห้องน้ำเปิดออก
ลู่จิ่งเซินอาบน้ำเสร็จออกมา ก็เห็นจิ่งหนิงนอนตัวเอียงอยู่บนเตียง หลับสนิทไปแล้ว
เขาอดขำไม่ได้จนหัวเราะออกมา
เดิมทีคืนนี้คิดที่จะพูดคุยเรื่องเมื่อก่อนกับเธอ ตอนนี้ดูแล้ว กลับไม่จำเป็นแล้ว
ลู่จิ่งเซินเดินเข้าไป ก้มตัวจูบหนึ่งทีอยู่บนหน้าผากเธอ นี่จึงขึ้นไปบนเตียงกอดเธอไว้หลับไปเลย
วันรุ่งขึ้น จิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินก็ขึ้นเครื่องกลับประเทศแล้ว
โม่ไฉ่เวยกับเชวซู่ก็จะกลับประเทศพร้อมกันกับพวกเขา นี่เป็นสิ่งที่เมื่อก่อนตกลงกันไว้เรียบร้อยมานานแล้ว
เพียงแค่ช่วงการเกิดเรื่องนี้ขึ้นมา มีเรื่องมากมายล้วนทำให้ล่าช้าไปด้วย
เชวซู่ฝั่งนี้มีของบางอย่างยังจัดการไม่เสร็จ ยังต้องใช้เวลาสักพัก
เดิมทีโม่ไฉ่เวยคิดว่าจะไปพร้อมกันกับจิ่งหนิงพวกเขาก่อน
แต่เพราะว่าเรื่องในครั้งนี้ เธอยิ่งรู้สึกว่าต้องทะนุถนอมเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันกับคนที่เรารัก ด้วยเหตุนี้ก็เลยตัดสินใจไม่ไปก่อนแล้ว รอเชวซู่ฝั่งนี้วางแผนเสร็จแล้ว ค่อยไปพร้อมกันกับเขา
ลู่จิ่งเซินกับจิ่งหนิงเห็นสภาพ ล้วนไม่ได้บังคับ
ถึงยังไงเกิดแรงบันดาลใจเข้าใจตระหนักเช่นนี้ ไม่เพียงแค่เชวซู่กับโม่ไฉ่เวยมี แท้ที่จริงพวกเขาล้วนมีเช่นกัน
ดังนั้น ในวันนั้นก็ให้ทั้งสองคนส่งจิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินขึ้นเครื่องบินด้วยตนเอง
เวลาในการบินเจ็ดชั่วโมงกว่าๆ
ตอนที่มาถึงเมืองหลวง เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว
รถที่ซูมู่วางแผนมารับพวกเขา โม่หนานก็อยู่บนรถด้วย การเที่ยวทะเลทรายในครั้งนี้ ทุกคนล้วนมีความรู้สึกที่เกิดใหม่อีกครั้งอย่างหนึ่ง พบกันอีกครั้งล้วนมีความรู้สึกปลงอนิจจังมากมาย
กลับถึงบ้าน อานอานกับจิ้งเจ๋อน้อยล้วนตื่นเต้นดีอกดีใจมาก
เพราะว่าซาลาเปาน้อยทั้งสองล้วนถูกท่านปู่กับท่านย่ารับไปบ้านเก่าแล้ว ด้วยเหตุนี้จิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินก็ได้กลับไปบ้านเก่าโดยตรง ไม่ได้กลับไปวิลล่าเฟิงเฉียวก่อนเลย
เจ้าตัวเล็กทั้งสองรู้ว่าวันนี้พวกเขาจะกลับมานานแล้ว ด้วยเหตุนี้ตั้งใจรออยู่ที่บ้าน
จิ่งหนิงเพิ่งลงจากรถ ยังไม่ทันเข้าประตู เจ้าตัวเล็กทั้งสองก็วิ่งห้อออกมาแล้ว ในปากเรียกอยู่อย่างตื่นเต้นดีอกดีใจ
“แด๊ดดี้! หม่ามี๊!”
จิ่งหนิงยิ้มอยู่รับพวกเขาไว้ทันที ลู่จิ่งเซินกังวลว่าพวกเขาจะพุ่งจนจิ่งหนิงล้ม อยู่ข้างหลังพยุงเธอไว้นิดๆสักหน่อย
ใช้สายตาที่ตำหนิจ้องมองพวกเขาโดยตลอด
“โตขนาดไหนแล้ว? ยังสะเพร่าขนาดนี้”
อานอานแลบลิ้นแล้วแลบลิ้นอีกกับเขา จากนั้นกอดเอวของจิ่งหนิงไว้รักใคร่พูดว่า “หม่ามี๊ ฉันคิดถึงท่านมากนะ”
จิ่งหนิงอยู่ข้างนอกนานขนาดนี้ ที่ไหนจะไม่คิดถึงพวกเขามากเช่นกันล่ะ?
จูงพวกเขาหนึ่งซ้ายหนึ่งขวาเดินไปยังข้างใน
ท่านย่ากับท่านปู่ก็นั่งอยู่ในห้องรับแขกเช่นกัน มองเห็นพวกเขาเข้าบ้าน ยิ้มอยู่รีบให้คนรับใช้ไปรับกระเป๋า
“กลับมาแล้ว ระหว่างทางนี้ยังปลอดภัยดีไหม?”
จิ่งหนิงพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก “ค่อนข้างดี ไม่เกิดเรื่องอะไร”
“ไม่มีอะไรก็พอ ไม่มีอะไรก็พอ”
เรื่องที่เกิดอยู่นอกประเทศ แม้ว่าพวกเขาไม่รู้ทั้งหมด ก็คาดเดาได้บ้างคร่าวๆ
อีกสถานะหนึ่งของลู่จิ่งเซิน ผู้เฒ่าทั้งสองย่อมรู้เส้นสนกลในอยู่แล้ว
เพียงแค่ไม่ได้บอกกับจิ่งหนิงมาโดยตลอด ปัจจุบันนี้เผชิญหน้ากับจิ่งหนิงอีก ในใจหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา
“หนิงหนิงอ่า มานั่งอยู่กับคุณย่าที่นี่ ให้คุณย่าดูแกดีๆสักหน่อย”
นายหญิงหชินยิ้มตาหยีอยู่
จิ่งหนิงทำตามคำพูดปล่อยมือของซาลาเปาน้อยทั้งสองออก เดินเข้าไป
หลังจากนั่งลงอยู่ข้างท่านย่า ท่านย่าจึงจับมือเธอไว้ทอดถอนใจพูดว่า “เรื่องในครั้งนี้ทำให้แกตกใจแล้วใช่ไหม? เด็กในท้องได้รับความตื่นตกใจหรือไม่ล่ะ?”
จิ่งหนิงไม่อยากให้ผู้เฒ่าผู้แก่เป็นห่วง ด้วยเหตุนี้เพียงยิ้มแล้วยิ้มอีก “โชคดี ทำให้เกิดการรบกวนความสงบสุขของทารกในครรภ์ แต่จากนั้นพักรักษาก็หายแล้ว”
นี่ท่านย่าจึงพยักหน้าอย่างหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่ผ่านไป
“เรื่องที่เกี่ยวกับสถานะของจิ่งเซิน แต่ก่อนพวกเราไม่ได้บอกกับแก กลัวว่าแกรู้แล้วจะมีความกังวลที่ไม่จำเป็นเล็กน้อย แกอย่าโทษพวกเรานะ?”
จิ่งหนิงเงียบไปสักพัก
ในเวลานี้ ลู่จิ่งเซินวางกระเป๋าเสร็จกลับมาพร้อมกันกับคนรับใช้แล้ว ได้ยินคำพูดของเธอสีหน้าขึงลับลง
“ท่านย่า ท่านพูดอะไรกับหนิงหนิงอยู่ล่ะ?”
ท่านย่าเงยหน้าจ้องมองเขาหนึ่งที สายตาแฝงไว้ด้วยความตำหนิเล็กน้อย
“พูดอะไร ตอนนี้เรื่องล้วนจบลงแล้ว ยังพูดไม่ได้เลยเชียวเหรอ? ล้วนโทษแก! ในตอนต้นฉันล้วนบอกกับแกแล้ว อย่าไปยุ่งเรื่องเหล่านั้น แกก็ไม่ฟัง หลายปีที่ผ่านมานี้ฉันกับคุณปู่ของแกวิตกกังวลขนาดไหนล่ะ แกไอ้เด็กเหี้ยคนนี้เกรงว่าล้วนไม่เคยคิดมาก่อนล่ะ!”
คำพูดของท่านย่า ทำให้ใบหน้าหล่อของลู่จิ่งเซินขึงลับนิดๆ
จิ่งหนิงอั้นไม่อยู่ “พู่” หัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง
การหัวเราะของเธอนี้ ทำให้บรรยากาศที่เดิมทียังมีความตึงเครียดเล็กน้อยพริบตาเดียวก็คลี่คลายลงแล้ว
เธอหัวเราะเบาๆพูดว่า “ท่านย่า จิ่งเซินรู้ว่าพวกท่านเป็นห่วงเขา ในใจเขาก็รู้สึกผิดมากเช่นกัน ท่านก็อย่าตำหนิเขาอีกเลย”
ท่านย่า โอ้วโอ้วโอ้ว ร้องตะโกนขึ้นมาทันที
“มาดูสิ รีบมาดูสิ วินาทีก่อนนี้ฉันยังรักสงสารแกอยู่ล่ะ วินาทีหลังแกก็พูดเข้าข้างไอ้เด็กเหี้ยคนนี้แล้ว เป็นอย่างที่คิดไว้ล้วนเป็นพวกไม่มีมโนธรรมจริงๆ”
แม้ปากท่านย่าพูดว่าไม่มีมโนธรรม แต่คิ้วตาอดไม่ไหวที่จะยิ้มออกมาแล้ว
เห็นได้ชัดมาก เธอก็รู้ว่า การหัวเราะของจิ่งหนิงนี้ ถือว่าไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องที่เมื่อก่อนพวกเขาปกปิดเธออีกแล้วจริงๆ
ลู่จิ่งเซินก็โล่งอกไปทีเช่นกัน