วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 1082 การผ่าตัดสำเร็จดี
ลู่จิ่งเซินจ้องมองดูเธอ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้รู้สึกว่าทั้งร่างกายของตัวเองกำลังสั่นเทาอยู่อย่างไม่รู้ตัว
เขาพยักหน้าเล็กน้อย
ตอนนี้โม่หนานกำลังขับรถอยู่ พอได้ยินคำพูดของพวกเขา ก็เม้มปากไว้แน่น แล้วก็ขับรถไปอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกัน จิ่งหนิงก็สั่งให้ลู่จิ่งเซินโทรศัพท์ไปบอกกับคนที่บ้าน
อืม ไม่ว่าจะยังไง ตอนนี้อยู่ ๆ น้ำคร่ำของเธอก็แตก ถึงลูกจะคลอดออกมาก็ถือได้ว่าเป็นการคลอดก่อนกำหนด ในเมื่อห่างจากกำหนดคลอดยังมีระยะเวลาครึ่งเดือนกว่าน่ะ
เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จำเป็นที่จะต้องบอกกับท่านปู่และท่านย่าที่บ้าน แล้วก็รวดตามโม่ไฉ่เวยและเชวซู่มาด้วยเลย
ที่ให้เชวซู่มาก็เพราะเป็นการเผื่อไว้ก่อน เผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไรขึ้น
ส่วนที่ให้โม่ไฉ่เวยมา ก็เพราะว่าจะสามารถทำให้จิ่งหนิงสบายใจได้
ให้มาอยู่ที่นี่ ก็ยังดีกว่าปล่อยให้เธอคิดฟุ้งซ่านอยู่ที่บ้านคนเดียว
ลู่จิ่งเซินฟังคำพูดของเธอไป แล้วก็ทำตามเจตนาของเธอทีละอย่างทีละอย่าง
พอโทรศัพท์เสร็จแล้ว รถก็มาถึงโรงพยาบาลแล้วเหมือนกัน
เพราะว่าก่อนหน้านี้ได้โทรศัพท์มาแจ้งล่วงหน้าก่อนแล้ว เพราะฉะนั้นที่หน้าประตูโรงพยาบาลก็ได้เตรียมเปลฉุกเฉินรออยู่นานแล้ว
ลู่จิ่งเซินอุ้มจิ่งหนิงไปวางไว้บนเปลฉุกเฉิน แล้วก็ช่วยเข็นเปลเข้าไปข้างในด้วย
และในเดียวกัน พวกเชวซู่และโม่ไฉ่เวยก็ได้รีบร้อนมาถึงแล้วเช่นกัน
เพราะว่ามีหมอสูตินรีเวชเฉพาะทางอยู่ ซึ่งล้วนเป็นผู้มีชื่อเสียงทางสากลด้วย เพราะฉะนั้นเชวซู่ที่เป็นผู้ชายคนหนึ่งจะเข้าไปก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ ก็เลยไม่ได้เข้าไป
เพียงแต่แค่รออยู่ที่ข้างนอกเผื่อมีปัญหาอะไร จะได้ช่วยเหลือได้ทันท่วงที
ประตูห้องผ่าตัดปิดลง แล้วไฟสีแดงก็สว่างขึ้น คนทั้งหมดต่างก็โดนปิดกั้นไว้ที่นอกห้องผ่าตัด
ในใจทุกคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล แล้วร้อนใจเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะลู่จิ่งเซิน จนถึงตอนนี้ทั้งมือยังแทบจะสั่นเทาอยู่เลย
พอโม่ไฉ่เวยเห็นเข้า ก็รีบเข้าไปปลอบใจเขา ให้เขาไม่ต้องเป็นห่วง หนิงหนิงจะต้องไม่เป็นอะไรแน่ การผ่าตัดก็จะต้องสำเร็จอย่างรวดเร็วแน่
ซึ่งก่อนที่จะถึงนั้น พวกเราจะต้องสงบนิ่งเองก่อน!
ลู่จิ่งเซินพยักหน้าเล็กน้อย แต่ว่าถึงจะพูดแบบนี้ แต่ฐานะที่เป็นสามีและเป็นพ่อ เขาจะไม่เป็นห่วงไม่ร้อนใจเลยได้ยังไง?
ตอนแรกเขาอยากจะตามเข้าไปในห้องคลอดด้วย แต่เป็นเพราะว่าสถานการณ์ของจิ่งหนิงนั้นค่อนข้างฉุกเฉิน และถ้าหากเขาต้องเข้าไปฆ่าเชื้อ แล้วก็เปลี่ยนชุดปลอดเชื้อโรคอีกอะไรมากมายก็จะยุ่งยากเกินไป และเวลาก็จะยืดเยื้อมากด้วย
เพราะเหตุนี้ก็เลยไม่อนุญาตให้เขาเข้าไป
เมื่อเหตุการณ์ฉุกเฉินก็ต้องดูตามสถานการณ์ พอมาถึงเวลานี้แล้ว ลู่จิ่งเซินเองก็พูดอะไรมากไม่ได้แล้ว ทุกอย่างก็ปล่อยไปตามที่พวกเขาสะดวกที่สุดเถอะ
คนทั้งกลุ่มต่างก็เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูอย่างร้อนใจ
และในขณะเดียวกัน จิ่งหนิงที่อยู่ในห้องผ่าตัดก็มาถึงขั้นที่เจ็บปวดที่สุดแล้ว
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอคลอดลูกแล้ว แต่ก็ไม่เคยเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อน
เหมือนกับว่าตับไตไส้พุงโดนฉีกขาดไปหมดแล้ว
และเพราะว่าถุงน้ำคร่ำแตกแล้ว แต่ว่าปากมดลูกยังไม่เปิดออก เพราะฉะนั้นจึงต้องเลือกการผ่าคลอดแล้ว
และอย่างรวดเร็ว ก็มีวิสัญญีแพทย์มาฉีดยาชาบล็อกหลังให้กับจิ่งหนิง
หมอและพยาบาลทั้งหมด ต่างก็หาผู้ที่เก่งที่สุดในประเทศมา ในตอนที่ลู่จิ่งเซินรู้ว่าจิ่งหนิงจะต้องผ่าคลอดนั้น สีหน้าก็ขาวซีดไปทันทีเลย
ถึงแม้ว่าหมอจะรับประกันแล้วรับประกันอีกกับเขา ว่าไม่มีอันตรายแน่ แต่ว่าพอนึกถึงว่าจะต้องผ่าแผลใหญ่ขนาดนั้นบนท้องของจิ่งหนิง เขาก็ยัง……
แล้วในเวลานี้ ยังไงก็โม่ไฉ่เวยตัดสินใจเด็ดขาดกว่า แล้วก็จะเซ็นชื่อแทนลู่จิ่งเซินเลย
“จิ่งเซิน อย่าลังเลเลย เรื่องคลอดลูกแบบนี้ผู้ชายอย่างนายคงไม่เข้าใจ ผู้หญิงเรานั้นเข้าใจดีที่สุด ช่วงเวลาแบบนี้ยิ่งลังเลก็ยิ่งตัดสินใจไม่ได้ หมอคะ ผ่าเลยค่ะ เดี๋ยวฉันเป็นคนเซ็นเอง”
โม่ไฉ่เวยเป็นแม่ของจิ่งหนิง แน่นอนว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะมาเซ็นชื่อนี้อยู่แล้ว
ส่วนลู่จิ่งเซิน ผ่านมาครู่หนึ่งก็ตั้งสติกลับมาได้ แล้วก็พยักหน้าเล็กน้อย
“ได้ครับ ผมจะเซ็น”
พอเซ็นชื่อเสร็จ ภายใต้การเรียกร้องของลู่จิ่งเซิน เขาก็ยังมาเปลี่ยนชุดปลอดเชื้อ แล้วก็เข้าไปในห้องผ่าตัด
บนเตียงในห้องผ่าตัด จิ่งหนิงกำลังนอนอยู่ตรงนั้น
เขาเดินเข้าไปด้วยเท้าอันหนักอึ้ง แล้วก็กุมมือของเธอไว้ แล้วร้องเรียกขึ้นว่า “หนิงหนิง”
ในเวลานี้ จิ่งหนิงได้ทำการบล็อกหลังแล้ว
แต่ว่าเธอยังคงรู้สึกตัวอยู่ ในตอนที่เห็นลู่จิ่งเซินนั้น สีหน้าที่ขาวซีดอยู่แล้วก็ยิ่งขาวซีดมากขึ้นไปอีก
“คุณเข้ามาได้ยังไงคะ?”
“หนิงหนิง ไม่ต้องกลัวนะ ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณที่นี่เอง”
จิ่งหนิงกลับไม่ค่อยยินดีสักเท่าไหร่
“คุณอย่าดู……”
เธอเป็นผู้หญิง รู้ดีว่าฉากการคลอดลูกนั้นต้องเลือดสาดแค่ไหนน่าอนาถแค่ไหม เธอไม่อยากให้ลู่จิ่งเซินเห็นภาพด้านนี้ของเธอ
แต่ว่า ลู่จิ่งเซินกลับเพียงแค่กุมมือของเธอไว้แน่น แล้วก็ไม่คลายออก
ที่สุดแล้วจิ่งหนิงก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน และอย่างรวดเร็ว ก็หมดแรงไป
ตลอดระยะเวลา ลู่จิ่งเซินได้อยู่เป็นเพื่อนข้าง ๆ เธอตลอด
ยังดีที่ทักษะของหมอนั้นดีมาก ถึงแม้ว่าถุงน้ำคร่ำของจิ่งหนิงจะแตกไปแล้ว แต่ว่าส่งโรงพยาบาลได้ทันเวลา สุดท้ายแล้วทั้งแม่และลูกต่างก็ปลอดภัยดี ถือว่ามีแต่เรื่องดีไม่มีเรื่องร้าย
จิ่งหนิงคลอดได้ลูกแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง
เด็กผู้ชายคนหนึ่ง เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
หลังจากที่คลอดลูกเสร็จ เธอก็หมดสติไปแล้วจริง ๆ หมอและลู่จิ่งเซินส่งตัวเธอไปที่ห้องพักผู้ป่วยด้วยกัน สำหรับลูก ๆ นั้น ลู่จิ่งเซินไม่ได้แบ่งความสนใจไปดูด้วยซ้ำ
ได้เห็นเองกับตาว่าเมื่อกี้จิ่งหนิงต้องเผชิญกับความเป็นความตายมารอบหนึ่ง เขากำลังจะเจ็บปวดใจตายอยู่แล้ว ยังจะไปสนใจเรื่องอย่างอื่นได้ยังไง?
ยังดีที่มีโม่ไฉ่เวยและเชวซู่อยู่ด้วย ก็เลยไปดูพวกเด็ก ๆ แล้ว
และขณะเดียวกัน นายหญิงหชินกับท่านปู่ลู่ได้รับข่าว ก็รีบตามมาแล้วเหมือนกัน
ในตอนที่เห็นเหลนชายและเหลนสาวที่นอนอยู่ในผ้าอ้อมนั้น ก็ยิ้มกว้างจนปากก็หุบลงไม่ได้แล้ว
จิ่งหนิงหมดสติไปเป็นเวลาครึ่งวันเต็ม ๆ
ในตอนที่ตื่นมาอีกครั้งนั้น ก็เป็นเช้าวันที่สองแล้ว
เธอลืมตาขึ้นมา แล้วเห็นฝ้าที่ขาวสะอาดตรงหน้า แล้วงวยงงไปหลายวินาที ถึงตั้งสติกลับมาได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
ที่ข้างกาย ลู่จิ่งเซินกำลังหันหลังให้เธออยู่ กำลังช่วยเธอจัดการพวกน้ำเกลืออะไรพวกนั้น
เพราะว่าอยู่ในช่วงหมดสติ และไม่มีทางกินอาหารได้ชั่วคราว แล้วก็สูญเสียสารอาหารไปมากมายอีก หมอจึงแนะนำให้ฉีดยาบำรุงเพื่อรักษาเรี่ยวแรงไว้
จิ่งหนิงจ้องมองแผ่นหลังของเขา แล้วก็ร้องเรียกขึ้นเบา ๆ
“จิ่งเซิน”
ลู่จิ่งเซินแผ่นหลังของแข็งทื่อไป
วินาทีต่อมา ก็หันหน้ากลับมา ในตอนที่เห็นจิ่งหนิงที่ตื่นขึ้นมาแล้วนั้น ก็แทบจะดีใจจนถึงขีดสุดเลย
แล้วก็รีบวางของที่อยู่ในมือลง แล้วพุ่งมาเลย
“หนิงหนิง คุณตื่นแล้วเหรอ?”
จิ่งหนิงพยายามฝืนยิ้มเล็กน้อย ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่ดีใจอะไร แต่ไม่สามารถยิ้มมากไปได้จริง ๆ ไม่งั้นจะกระทบโดนบาดแผลจนเจ็บปวดขึ้นมา
ก่อนหน้านี้ฉีดยาชาอยู่ จึงไม่ได้รู้สึกว่าเจ็บมากเท่าไหร่
แต่ตอนนี้ฤทธิ์ยาหมดไปแล้ว ถึงได้เพิ่งรู้สึกถึงความเจ็บปวด
แต่ว่าจิ่งหนิงก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วถามเขาขึ้นว่า “ลูกล่ะคะ?”
ลู่จิ่งเซินนิ่งไปเล็กน้อย แล้วก็หมุนตัวไปเข็นรถเปลนอนเด็กอันใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนักมา
จิ่งหนิงค่อย ๆ ยื่นคอไปดูเล็กน้อย
ก็เห็นว่าในรถเปลนอนนั้น เด็กอ่อนนุ่มสองคนกำลังนอนหลับอยู่ในนั้น และกำลังนอนหลับสนิทอยู่
พวกเขาอ่อนแอซะขนาดนั้น ผอมบางซะขนาดนั้น ดูแล้วเหมือนกับว่าแค่แตะเบา ๆ ก็จะแตกสลายไปยังไงอย่างงั้น จนทำให้จิตใจของจิ่งหนิงก็รู้สึกอ่อนระทวยไประลอกหนึ่งด้วย
“พวกแกสบายดีไหมคะ?”
“สบายดีมาก หนิงหนิง ลำบากคุณแล้ว”
ลู่จิ่งเซินนั่งลงมา แล้วกุมมือของเธอไว้
จิ่งหนิงยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“ฉันเป็นคนอยากจะคลอดเอง ฉันชอบเด็ก ๆ จะมาพูดว่าลำบากอะไรกัน?”
คนที่ไม่เคยเป็นแม่มาก่อน ไม่มีวันที่จะรู้สึกถึงความสุขของการเป็นแม่แน่
เธอรู้ดีว่าลู่จิ่งเซินจะต้องปวดใจเป็นอย่างมากแน่ แต่ว่าเธอไม่เสียใจหรอก
ถึงแม้ว่าจะต้องมาทุกข์ทรมานครั้งหนึ่ง และก่อนหน้านี้ก็เคยรู้สึกเจ็บปวดจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่จริง ๆ แต่พอตอนนี้ได้เห็นเด็กที่อ่อนนุ่มแข็งแรงทั้งสองคน ก็รู้สึกว่าทุกอย่างมันคุ้มแล้ว