วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 1084 เพชรจันทร์
อานอานมองตาขาวทีหนึ่ง
“เด็กที่เพิ่งคลอดออกมาก็ตัวเล็กแบบนี้แหละ ตอนนายเด็ก ๆ ก็เป็นเหมือนกันนะแหละ?”
พอจิ้งเจ๋อน้อยได้ยินก็ยิ่งตกใจแล้ว
ถึงแม้ว่าเขาจะมีความฉลาดมาก แต่ว่ายังไงก็อายุยังน้อย เรื่องราวมากมายที่เกี่ยวกับความรู้ทั่วไปก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก
ประสบการณ์ชีวิตก็ยิ่งมีน้อยจนแทบจะไม่มีเลย
ในวินาทีนี้ จากที่เขาดูแล้ว บนโลกใบนี้ยังมีเด็กที่ตัวเล็กขนาดนี้ นี่มันช่างเป็นเรื่องที่ทำให้คนประหลาดใจมากจริง ๆ
แต่เนื่องจากอานอานได้เห็นกับตาตอนที่เขาเกิดมา เพราะฉะนั้นอานอานกลับสามารถยอมรับความจริงนี้ได้
เด็กสองคนเกาะอยู่ข้างเตียงเด็กอ่อน มองซ้ายมองขวา อย่างกับว่าดูยังไงก็ดูไม่พอยังไงอย่างงั้น
จิ้งเจ๋อน้อยยังยื่นมือไปแตะแก้มของน้องสาวอย่างประหลาดใจด้วย พอสัมผัสถึงความอ่อนนุ่มที่นุ่มจนเกินคาดแล้ว ก็ตกใจจนรีบชักมือกลับมาทันที
เด็กทารกที่อยู่ในเปลนอนเบ้ปากขึ้นอย่างไม่พอใจ เหมือนกับจะร้องไห้ แต่ก็ง่วงเกินไป เพราะฉะนั้นก็เลยนอนหลับต่อไป
แล้วพวกเขาก็ดูไปอีกพักหนึ่ง ก็โดนจิ่งหนิงเรียกมาแล้ว
“เอาล่ะ พวกหนูสองคนเลิกไปรบกวนน้องชายน้องสาวนอนได้แล้ว มาเล่นทางนี้กันเถอะ!”
เด็กทั้งสองคนต่างก็เชื่อฟังเป็นอย่างมาก และไม่ได้ปฏิเสธ แล้วก็เดินไปนั่งลงอย่างเป็นเด็กดี
จิ่งหนิงจ้องมองท่าทางเป็นเด็กดีของพวกเขาสองคน แล้วก็รู้สึกแต่เพียงว่าในใจนั้นอิ่มเอมเป็นอย่างมาก
และในขณะนี้ อยู่ ๆ อานอานก็พูดขึ้นว่า
“หม่ามี๊ ชื่อของน้องชายกับน้องสาวตั้งหรือยังคะ?”
จิ่งหนิงอึ้งไปเล็กน้อย แล้วถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ เพราะว่าเด็กคลอดออกมาอย่างรีบร้อน ยังไม่ได้ตั้งชื่อเลยนี่
เธอส่ายหน้าเล็กน้อย “ยังเลยจ้ะ ทำไมเหรอ หนูมีความคิดเห็นเหรอ?”
อานอานตาสว่างขึ้นมา แล้วพูดขึ้นว่า “งั้นหม่ามี๊ให้หนูตั้งชื่อให้น้องชายกับน้องสาวดีไหมคะ?”
คำพูดของเธอยังไม่ทันได้พูดจบ ก็โดนลู่จิ่งเซินที่เพิ่งเดินเข้ามาจากข้างนอกพูดขัดขึ้นซะก่อน
“ฝันไปหรือเปล่า ฉันยังไม่ได้ตั้งเลยนะ ทำไมถึงมาถึงคิวเธอแล้ว?”
เพราะว่าตอนที่อานอานเกิดนั้น เป็นสถานการณ์พิเศษ เพราะฉะนั้นก็เลยตั้งชื่อให้ว่าลู่จิ้งอาน ท่านย่าเป็นคนตั้งให้ หวังว่าเธอจะเติบโตขึ้นไปอย่างสงบสุข และสุขภาพแข็งแรง
และตอนที่จิ้งเจ๋อน้อยเกิดมานั้น ก็มีท่านปู่ลู่เป็นคนมาตั้งชื่อให้เขา
เพราะฉะนั้นอย่าดูว่ามีลูกตั้งสองคนแล้ว แต่ตัวลู่จิ่งเซินเองกลับยังไม่เคยได้ตั้งชื่อให้ลูกจริง ๆ เลย
ตอนนี้ลูกรักทั้งสองคนคลอดออกมาแล้ว ท่านปู่ก็ไม่ได้ยื่นมือเข้ามาแทรกอีก
กว่าจะมีโอกาสหลุดออกมาได้อย่างยากลำบาก แน่นอนว่าเขาจะไม่มีทางปล่อยไปแน่
พออานอานได้ยินคำพูดนี้ ปากน้อย ๆ ก็จู๋ขึ้นมาทันที ท่าทางอย่างกับคนแก่ที่ไม่ชอบใจ
จิ่งหนิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา แต่ก็ไม่อยากจะให้ลูกผิดหวัง ก็เลยพูดอย่างเป็นกลางขึ้นมาว่า “เอาอย่างนี้ละกัน แด๊ดดี้ของหนูตั้งชื่อจริงให้น้องชายน้องสาว แล้วหนูก็ตั้งชื่อเล่นให้น้องชายน้องสาวดีไหมจ๊ะ?”
พออานอานได้ยิน ดวงตาก็สว่างขึ้นมาทันที
“ดีค่ะ ดีค่ะ หนูอยากตั้งชื่อเล่นให้พวกเขาค่ะ”
เธอเป็นคนที่รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรมากคนหนึ่ง และรู้ดีว่าคนอ่อนแอไม่มีทางที่จะสู้คนแข็งแกร่งได้ เพราะฉะนั้นก็เลยไม่พยายามฝืน
แล้วก็ในเวลานี้พอดี จิ้งเจ๋อน้อยเองก็เข้ามามีส่วนร่วมด้วย
“ผมก็จะตั้ง ผมก็จะตั้งด้วย! ผมเองก็จะตั้งชื่อให้น้องชายน้องสาวด้วย!”
ปกติแล้วในส่วนของเรื่องอื่น ๆ อานอานก็มักจะยอมให้น้องชายอยู่เสมอ แต่ว่าสิทธิ์ครั้งนี้กว่าตัวเองจะคว้ามาได้ก็ยากลำบากมาก ด้วยเหตุนี้จึงไม่ยอมแน่ ๆ
“ไม่ได้! ฉันเป็นคนพูดก่อนนะว่าฉันจะตั้งให้ นายไม่ได้พูดซะหน่อย เพราะฉะนั้นนายได้สูญเสียโอกาสนี้ไปแล้ว”
ปกติแล้วถ้าเป็นเรื่องอื่นจิ้งเจ๋อน้อยก็จะพูดด้วยง่ายมาก แต่ว่าครั้งนี้มันเกี่ยวข้องกับน้องชายและน้องสาว ครู่หนึ่งก็เลยไม่ยอมขึ้นมาทันที
“ทำไมผมถึงตั้งไม่ได้? ผมก็จะตั้งเหมือนกัน ไม่งั้นถ้าพี่ได้ตั้งแล้วแต่ผมไม่ได้ตั้ง ต่อไปน้องชายกับน้องสาวก็จะไม่ชอบผมนะซิ”
จิ้งเจ๋อน้อยมีท่าทางอย่างกับว่าเสียใจเป็นอย่างมาก จนคนรอบข้างเห็นแล้วก็อดขำไม่ได้
ตาเห็นว่าลูกทั้งสองคนจะแย่งกันขึ้นมาแล้ว จิ่งหนิงก็รีบพูดอย่างประนีประนอมขึ้นมา ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ เอาแบบนี้ละกัน หรือไม่อานอานตั้งชื่อให้น้องชาย จิ้งเจ๋อน้อยก็ตั้งชื่อให้น้องสาวละกัน เป็นไง? พวกหนูสองคนตั้งคนละชื่อ ยุติธรรมกันฝ่าย ใครก็ไม่ต้องแย่งกัน ดีไหมจ๊ะ?”
พอเด็กทั้งสองคนได้ยิน ก็มองซึ่งกันและกันทีหนึ่ง
ดวงตาสีดำสนิทของจิ้งเจ๋อน้อยเต็มไปด้วยความอ้อนวอน สุดท้ายแล้วอานอานก็ยังสงสารน้องชายอยู่ดี
และด้วยเหตุนี้ ก็เลยไม่ได้ดื้อดึงอีกต่อไป
หึเสียงเย็นทีหนึ่ง แล้วก็พูดขึ้นว่า “ก็ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว งั้นฉันก็จะเอาโอกาสนี้ยอมให้นายก็ได้”
แล้วจิ้งเจ๋อน้อยถึงได้ยิ้มอย่างดีใจเป็นอย่างมากขึ้นมา แล้วกอดอานอานและหอมไปทีหนึ่ง
“ขอบคุณครับพี่”
พอตกลงกันได้แล้ว เด็กทั้งสองคนก็ไปนั่งอีกข้างหนึ่งแล้วไปคิดชื่อกัน
และก็ในเวลานี้ ลู่จิ่งเซินเองก็เอาสมุดเล่มเล็กเล่มหนึ่งออกมาให้
สีหน้าที่เคร่งขรึมกับเด็ก ๆ ในตอนแรก พอมาอยู่ต่อหน้าจิ่งหนิงนั้นก็เปลี่ยนไปทันทีเลย
เปลี่ยนเป็นท่าทีเป็นใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วพูดขึ้นว่า “ที่รัก คุณดูนี่ซิ นี่คือชื่อที่ผมคิดมาไม่กี่ชื่อ คุณชอบชื่อไหน?”
จิ่งหนิงรับมาแล้วดูเล็กน้อย
แล้วก็เห็นเพียงแต่บนกระดาษมีชื่ออยู่หลายสิบชื่อ ชื่อทุกชื่อล้วนน่าฟังทั้งนั้น แล้วก็มีความหมายมากด้วย
จนสุดท้าย เธอก็เลือกได้สองชื่อ แล้วชี้ให้เขาดู
“เอาสองชื่อนี้ดีกว่า”
ลู่จิ่งเซินยืดคอมองไป ก็เห็นเพียงแต่ที่เธอชี้คือชื่อลู่เทียนยู่อีกชื่อหนึ่งคือลู่เทียนเจียว
ฟังไปแล้วรู้สึกแต่เพียงองอาจและเฉียบขาด
ลู่จิ่งเซินอดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย และประคองใบหน้าของจิ่งหนิงขึ้นมา แล้วจูบลงบนใบหน้าเธอทีหนึ่ง
“ที่รัก คุณคิดเหมือนผมเลย ชื่อที่ผมชอบที่สุดก็คือสองชื่อนี้เหมือนกัน”
ชื่อลู่เทียนยู่นี้ก็ยังดี แต่ชื่อลู่เทียนเจียวนี่ซิ ที่จริงตอนที่เพิ่งได้ยินเมื่อกี้นั้น เขาก็รู้สึกขึ้นมาว่าค่อนข้างจะเชยไปหน่อย
แต่ว่าต่อมาพอคิดดูแล้ว ลูกสาวของเขา ก็คือผู้หญิงที่ทำให้โลกภาคภูมิใจไม่ใช่เหรอ?
คลอดออกมาก็ใจดีมีเมตตา งดงามเจริญรุ่งเรือง จะชื่อลู่เทียนเจียวแล้วจะทำไม?
หลังจากที่ลู่จิ่งเซินและจิ่งหนิงตัดสินใจกันได้แล้ว ก็เอาชื่อไปให้ท่านปู่และท่านย่าดูเลย
ทั้งสองท่านเองก็พึงพอใจกับชื่อนี้มาก และแล้ว ชื่อของเจ้าเด็กสองคนก็เลยตั้งออกมาแบบนี้เลย
และอย่างรวดเร็ว อานอานกับจิ้งเจ๋อน้อยก็ตั้งชื่อเล่นของพวกเด็ก ๆ ออกมาได้แล้ว
เพราะว่าที่ติ่งหูของน้องชายมีไฝสีแดงอยู่เม็ดหนึ่ง พอมองไปแล้วก็เหมือนกับพลอยทับทิมเม็ดเล็ก ๆ เม็ดหนึ่ง
เพราะฉะนั้นชื่อเล่นที่อานอานตั้งให้เขาคือเจ้าเพรชน้อย
ส่วนน้องสาวมีตาทั้งคู่กลมโต เหมือนอย่างกับดวงจันทร์ เพราะฉะนั้นชื่อเล่นของน้องสาวก็เรียกว่าเจ้าจันทร์น้อย
เด็กทั้งสองคน คนหนึ่งคือเพชรนิลจินดา คนหนึ่งสว่างไสวดั่งดวงจันทร์ ฟังไปแล้วล้วนไม่เลวเลยจริง ๆ
จิ่งหนิงรู้สึกพึงพอใจ
พอชื่อเพิ่งตั้งเสร็จ เชวซู่กับโม่ไฉ่เวยก็มาถึงพอดีเลย
โม่ไฉ่เวยตั้งใจตุ๋นซุปบำรุงเลือดลมมาให้ ข้างในนั้นได้เพิ่มยาสมุนไพรบางอย่างที่เชวซู่เอามาให้ และก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายผู้หญิงหลังคลอด สามารถฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้
ทั้งสองคนพอเข้าห้องมา ก็หัวเราะเลย “ฟังเสียงพวกเธอครึกครื้นกันข้างในนี่ เมื่อกี้กำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่เหรอ?”
จิ่งหนิงยิ้มแย้มแล้วก็บอกเรื่องที่ตั้งชื่อเมื่อกี้ออกมาให้เธอฟัง โม่ไฉ่เวยดวงตาสว่างขึ้นมา
“ชื่อนี้ดีจังเลย แค่ฟังก็รู้สึกว่ามีบุญมากเลย”
จิ่งหนิงยิ้มเล็กน้อย ในขณะเดียวกัน ลู่จิ่งเซินก็ลุกยืนขึ้นมา
“แม่ครับ แม่มานั่งทางนี้ดีกว่า จะได้ใกล้กับหนิงหนิงหน่อย จะได้พูดคุยกันสะดวก”
ถึงแม้ว่าตัวเขาเองก็อยากจะอยู่เป็นเพื่อนจิ่งหนิงตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ก็รู้ว่า ในเวลาแบบนี้ ระหว่างจิ่งหนิงและโม่ไฉ่เวยที่เป็นผู้หญิงเหมือนกันน่าจะมีเรื่องให้พูดคุยกันมากกว่า
โม่ไฉ่เวยเองก็ไม่ได้เกรงใจ แล้วก็เข้าไปนั่งเลย