วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 1087 ตอนอวสาน
“นี่ พวกเขาออกไปคุยเรื่องอะไรกันน่ะ?”
หัวเหยามองเธอทีหนึ่ง แล้วก็มองไปที่นอกประตูทีหนึ่ง
จากนั้นก็ลงเสียงต่ำลงแล้วพูดขึ้นว่า “จี้หลินยวนจะย้ายสำนักงานใหญ่กลับมาพัฒนาต่อในประเทศ ช่วงนี้กำลังต่อสู้กับพวกตาแก่ตระกูลจิ้นพวกนั้นอยู่ ที่มาหาลู่จิ่งเซินก็คงจะมาขอคำแนะนำนะแหละ”
ทุกคนต่างก็รู้ดี ว่าเมื่อก่อนลู่ซื่อกรุ๊ปอยู่ในมือท่านปู่นั้น ไม่ได้พัฒนาขึ้นมาอย่างจริงจัง
ในเมื่อ ท่านปู่เป็นชายชาติทหาร ให้นำทัพออกรบยังพอว่า แต่ทำธุรกิจนั้นไม่มีพรสวรรค์อะไรจริง ๆ
ท่านเป็นคนสบาย ๆ ไม่ชอบถือสาอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ในตอนที่ทำธุรกิจนั้น มักจะมีน้ำใจมาก แต่กำไรน้อย
และนี่ก็เป็นเพราะว่ารากฐานของตระกูลลู่แน่นหนาพอ ถึงได้สามารถพัฒนาต่อมาเรื่อย ๆ
แต่ลู่จิ่งเซินนั้นไม่เหมือนกันแล้ว
เขาเป็นนักธุรกิจที่แท้จริงคนหนึ่ง การกระทำเฉียบขาด ฝีมือโหดเหี้ยม มีเรื่องราวมากมายล้วนสามารถหาทางออกได้ในยามคับขัน และพลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะได้ด้วย
ถ้าหากว่าจี้หลินยวนจะกลับมาพัฒนาต่อในประเทศ การขอคำแนะนำจากเขานั้นแน่นอนว่าเป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลย
พอจิ่งหนิงได้ฟังจบแล้ว ในที่สุดก็วางใจได้สักที
พูดตรง ๆ ตั้งแต่ที่รู้สถานะที่แอบซ่อนอยู่ของลู่จิ่งเซินแล้ว ใจของเธอก็เป็นกังวลมาตลอด
เดี๋ยว ๆ ก็มักจะรู้สึกเป็นกังวลว่าเขาจะมีภารกิจอะไรมาแล้วหรือเปล่า จะเจอกับอันตรายไหม
นี่ก็ไม่มีทางออก ในเมื่อ ตอนนี้ทั้งสองคนเป็นสามีภรรยากัน มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ก็ต้องร่วมต้าน
เผชิญหน้ากับผู้ชายที่ใจตัวเองรัก จะให้ทำว่าไม่เป็นห่วงอะไรเลยนั้น ไม่มีทางที่จะทำได้เลย
ดีที่ตอนนี้ลู่จิ่งเซินเองก็รู้ถึงความคิดของเธอแล้ว ทุกครั้งที่มีเรื่อง ก็จะบอกเธอล่วงหน้าเสมอ
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ยังไงจิ่งหนิงก็ยังอดไม่ได้ที่จะต้องเป็นกังวลอยู่ดี
ในเมื่อถ้ามีภารกิจอะไรขึ้นมาจริง ๆ ลู่จิ่งเซินก็คงจะต้องไปอยู่ดี
ชายหนุ่มทั้งสองคนไปพูดคุยกันที่ข้างนอกอยู่นาน
หัวเหยาเล่นกับเด็ก ๆ ไปพักหนึ่ง จนกระทั่งเด็ก ๆ ต่างก็เหนื่อยและง่วงนอนแล้ว ถึงได้ยอมเอาพวกเขากลับไปนอนในเปล
แล้วตัวเองก็มานั่งลงข้าง ๆ เตียง และพูดคุยเป็นเพื่อนจิ่งหนิงไป
มาวันนี้ วัฒนธรรมซิงฮุยก็ได้เข้าร่วมกับอานหนิงกั๋วจี้อย่างสมบูรณ์แล้ว
สัญญาของหัวเหยาที่อยู่บริษัทบันเทิงที่คุณพ่อหัวได้ก่อตั้งขึ้นมาให้เธอเมื่อก่อนหน้านี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ตอนนี้เธอคือคุณนายจี้อยู่ ที่จริงไม่ต้องออกมาแสดงละครอีกแล้วก็ได้
แต่ว่าหัวเหยาชอบการแสดง บางครั้งจี้หลินยวนก็จะหึงหวงเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง โดยเฉพาะตอนที่เห็นฉากที่เธอร่วมแสดงกับนักแสดงชายนั้น
แต่จี้หลินยวนก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก
ในเมื่อ ถ้าใช้คำพูดของหัวเหยามาพูดแล้ว มันคือมืออาชีพ
เป็นคนจะใจแคบมากไม่ได้ ไม่สามารถใช้สายตาที่มีอคติมองอาชีพใดอาชีพหนึ่งได้
แน่นอนว่าจี้หลินยวนจะต้องเถียงเธอไม่ไหวแน่ ด้วยเหตุนี้ จึงได้แต่ออกคำสั่งไปว่า บทละครทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับหัวเหยา เขาจะต้องแอบดูส่วนตัวก่อนทั้งนั้น
ไม่ให้มีฉากเลิฟซีน ไม่ให้มีฉากจูบ ฉากบนเตียงยิ่งห้ามมีใหญ่เลย
ถึงแม้ว่าจะมีแนวเลิฟซีน อย่างมากสุดก็แค่ให้ดำเนินไปถึงขั้นจับมือได้เท่านั้น
ที่จริงแม้แต่การจับมือ ในตอนแรกจี้หลินยวนก็ยังไม่อนุญาตด้วยซ้ำ
ในเมื่อ นี่คือผู้หญิงของเขานะ จะมาโดนผู้ชายคนอื่นจับมือถือแขนและมีความรักต่อกัน แค่คิดเขาก็อยากจะฆ่าอีกฝ่ายแล้ว
สุดท้าย ก็ยังเป็นเจ้าของบริษัทบันเทิงที่ลำบากลำบนไปเกลี้ยกล่อมเขา
ในเมื่อละครและภาพยนตร์ล้วนถือเป็นศิลปะ บางครั้ง ฉากบางอย่างนั้นมันก็จำเป็นอยู่
ถ้าหากแม้แต่มือยังจับกันไม่ได้ แบบนั้นก็จะเป็นการควบคุมการแสดงของหัวเหยามากเกินไป เธอก็จะแสดงอะไรไม่ได้แล้ว
จนสุดท้ายแล้วจี้หลินยวนก็ยังคำนึงถึงความรู้สึกของหัวเหยาอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ สุดท้ายจึงยอมตอบตกลง
หลังจากที่สัญญาของหัวเหยาสิ้นสุดลงแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นมาเซ็นสัญญาอยู่ใต้สังกัดอานหนิงกั๋วจี้
เธอเป็นคนที่สบาย ๆ คนหนึ่ง ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก สำนักงานเก่าของตัวเอง ถึงแม้ว่าจะมีพวกผู้ช่วยและผู้จัดการที่มีความสามารถมากมายคอยช่วยแก้ปัญหาให้เธออยู่
แต่ว่าเจ้านายอย่างเธอคนนี้ ก็ยังต้องตัดสินใจเรื่องราวอีกมากมายเช่นกัน
หัวเหยามักจะรู้สึกปวดหัวกับเรื่องพวกนี้เป็นอย่างมากเลย ตอนนี้ดีแล้ว พอมาเซ็นสัญญากับอานหนิงกั๋วจี้แล้ว เรื่องทุกอย่างก็จะมีคนอื่นมาเป็นกังวลแทนแล้ว
เธอก็เป็นแค่เจ้านายที่ไม่ต้องทำอะไร แสดงละครที่ตัวเองชอบก็พอแล้ว
และไม่ต้องสนใจเรื่องอะไรอื่นแล้ว
จิ่งหนิงมักจะหัวเราะเยาะเธอว่าคนขี้เกียจก็มีบุญของคนขี้เกียจ หัวเหยาเองก็ไม่ปฏิเสธ
ทั้งสองคนพูดคุยกันไปพักหนึ่งแล้ว ลู่จิ่งเซินกับจี้หลินยวนก็กลับมาแล้ว
พอกลับมาอีกครั้ง ก็เห็นได้ชัดว่าท่าทีของจี้หลินยวนผ่อนคลายลงเยอะมากเลย
จิ่งหนิงมองทีเดียว ก็รู้แล้วว่าเป็นเพราะปัญหาถูกแก้ไขได้แล้ว
เธอจ้องมองลู่จิ่งเซินทีหนึ่ง ลู่จิ่งเซินให้สายตาที่อุ่นใจอันหนึ่งมองตอบกลับไปให้เธอ
พอหัวเหยาเห็นว่าพวกเขาเองก็พูดคุยกันเสร็จแล้ว ก็เลยลุกยืนขึ้น
“หนิงหนิง เวลาก็ไม่เช้าแล้ว พวกเรากลับกันก่อนนะ เธอพักผ่อนดี ๆ ล่ะ ครั้งหน้าฉันค่อยมาเยี่ยมเธออีกนะ”
จิ่งหนิงพยักหน้าให้เล็กน้อย
หลังจากที่หัวเหยากับจี้หลินยวนจากไปแล้ว เธอก็หันหน้ามาถามลู่จิ่งเซิน “จี้หลินยวนจะกลับมาพัฒนาธุรกิจต่อในประเทศเหรอคะ?”
ลู่จิ่งเซินพพยักหน้าเล็กน้อย
“ในเมื่อที่ประเทศFเป็นฐานทัพใหญ่ของตระกูลจิ้น แล้วจี้หลินยวนไม่มีความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของต่อทางโน้น และคนมากมายของตระกูลจิ้นก็จ้องจะตะครุบเหยื่ออยู่ เพราะฉะนั้นถึงได้อยากจะย้ายสำนักใหญ่กลับมา”
จิ่งหนิงยิ้มแล้วก็พูดขึ้นว่า “งั้นต่อไปพวกคุณก็จะกลายเป็นคู่แข่งแล้วไม่ใช่เหรอคะ?”
ลู่จิ่งเซินเองก็ยิ้มขึ้นมา
“ไม่ขนาดนั้นหรอก เป้าหมายในการต่อสู้ของพวกไม่เหมือนกัน และที่สำคัญถึงจะเป็นคู่แข่ง แต่นั่นก็เป็นคู่แข่งที่ดีนะ”
จิ่งหนิงคิดไปครู่หนึ่ง แล้วก็รู้สึกว่าใช่เหมือนกัน
แต่ถ้าหากต่อไปจี้หลินยวนจะกลับมาอยู่ในประเทศเป็นประจำแล้ว งั้นก็หมายความว่าหัวเหยาเองก็จะอยู่ในประเทศตลอดซิ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
พอลู่จิ่งเซินอธิบายความสงสัยของเธอหมดแล้ว ก็เดินไปที่ข้าง ๆ เปลนอนไปดูเจ้าเพรชน้อยและเจ้าจันทร์น้อย
เด็กทั้งสองคนกำลังนอนหลับสนิท มือเล็ก ๆ ทั้งสองคู่กำเข้าหากันแน่น เรียวปากมีชมพูก็เม้มเข้าหากันแน่น
คนที่ไม่รู้ ยังจะคิดว่าพวกเขากำลังฝันถึงอะไรอยู่อีก
จิ่งหนิงเห็นท่าทีที่เขาตั้งใจมองลูก ๆ ในใจก็อบอุ่นและอ่อนนุ่มไปผืนหนึ่ง
เธอยิ้มแล้วก็พูดขึ้นว่า “ลู่จิ่งเซิน”
“หึ?”
ลู่จิ่งเซินหันหน้ากลับมา
แววตาของจิ่งหนิงนั้นอ่อนโยนมาก แล้วก็พูดเสียงเบาขึ้นว่า “มีคุณนี่ดีจังเลยค่ะ”
ลู่จิ่งเซินนิ่งอึ้งไปก่อนสองวินาที จากนั้นก็ค่อยตั้งสติกลับมาได้ แล้วก็กลับมาที่ข้างเตียงแล้วก็โอบกอดเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด
“เด็กโง่ คำพูดนี้ผมควรจะเป็นคนพูดถึงจะถูก มีคุณอยู่นี่ดีจริง ๆ หนิงหนิง คุณเป็นนางฟ้าของผมจริง ๆ ที่นำพาความสุขและเรื่องราวดี ๆ มากมายมาให้ผม”
จิ่งหนิงพิงอยู่ในอ้อมกอดของเขา มือทั้งคู่โอบกอดเอวของเขาไว้ แล้วเอาศีรษะพิงอยู่ที่หัวไหล่ของเขาเบา ๆ ในใจนั้นรู้สึกสงบสุขมาก
แล้วก็ในเวลานี้เอง ประตูก็โดนคนผลักออก
“พี่สอง พี่สะใภ้สอง……เอ่อ ขอโทษ ขอโทษ! ผมไม่ได้ตั้งใจมารบกวนพวกคุณนะ เดี๋ยวผมออกไปก่อน พวกคุณเชิญต่อเลย”
เฟิงยี่รีบพาถังลั่วเหยาเดินย้อนออกไป
จิ่งหนิงและลู่จิ่งเซินตั้งสติกลับมาได้ตั้งนานแล้ว จิ่งหนิงใบหน้าแดงระเรื่อแล้วก็ผลักตัวลู่จิ่งเซินออก แล้วร้องเรียกเขาขึ้นว่า “จะออกไปทำไม? ยังไม่รีบเข้ามาอีก?”
แล้วเฟิงยี่ถึงได้หน้าตายิ้มแย้มพาถังลั่วเหยาเดินเข้ามา
เขากับถังลั่วเหยาได้แต่งงานกันแล้ว ตอนนี้ถังลั่วเหยาเองก็ตั้งท้องแล้ว
ตระกูลเฟิงก็ยอมรับถังลั่วเหยาแล้ว ทั้งสองคนยังถือได้ว่ามีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขอยู่
จิ่งหนิงจ้องมองเขา แล้วถามขึ้นว่า “นายมาทำอะไรน่ะ?”
เฟิงยี่ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ผมมาดูหลานชายกับหลานสาวของผม แล้วก็รวดเอาของขวัญมาให้พวกเขาอันหนึ่งด้วย”
เขาพูดแล้ว ก็เดินไปทางเปลนอนเลย
ในตอนที่เห็นว่าเด็ก ๆ กำลังนอนหลับอยู่นั้น ก็เอาของขวัญวางไว้ข้าง ๆ ก่อนเลย
“บังเอิญจริง ๆ ยังนอนหลับอยู่อีก”
“อืม เพิ่งหลับไปเอง”
ถังลั่วเหยาเดินมาถึงข้าง ๆ จิ่งหนิง แล้วก็พูดเป็นห่วงเป็นใยไปรอบหนึ่งก่อน
แล้วเฟิงยี่ก็พูดขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่ารอให้จิ่งหนิงอยู่ไฟเสร็จแล้ว จะจัดงานเลี้ยงฉลองครบเดือนให้พวกเด็ก ๆ
ในห้องพักผู้ป่วยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ จิ่งหนิงจ้องมองดูพวกเขา ในใจก็มีความอบอุ่นพาดผ่านไปผืนหนึ่ง
ไม่ว่าเมื่อก่อนจะผ่านอะไรมาบ้าง แต่ตอนนี้อย่างน้อยก็สามารถมองเห็นพวกเขาได้ คนทุกคนต่างก็อยู่สุขสบายดี แค่นี้ก็พอแล้ว
ชีวิตคนเราก็เป็นแบบนี้ ไม่ต้องการอะไรมาก
【จบบริบูรณ์】