วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 911 มีทุกข์ร่วมต้าน
แม้ว่าตอนนี้ชีวิตของเขากำลังตกอยู่ในกำมือของอีกฝ่าย ส่วนด้านนอกจะมีคนล้อมไว้มากขนาดไหน เขาก็รู้จักกู้ซือเฉียนดี
เขาไม่สงสัยเลยว่า คนที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ เหมือนคนบ้าไปแล้วขนาดไหน
ถ้าได้ยั่วโมโหกู้ซือเฉียนจนถึงที่สุด บางทีวันนี้เขาอาจจะต้องสารภาพจริงที่นี่เลยก็ได้
ดังนั้น เขาจึงค่อนข้างลังเล แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
ทำได้เพียงข่มอารมณ์เอาไว้ พร้อมกับพูดโน้มน้าวว่า “ฉันไม่รู้เรื่องจริง ๆ ซือเฉียน ใจเย็น ๆ ก่อน นายต้องรู้ไว้นะว่าฉันเป็นถึงคนในตระกูลหนาน นายเคยคิดบ้างไหมว่าถ้านายแตะต้องฉัน ผลที่ตามมามันจะเป็นยังไง?”
“ถึงแม้ฉันจะเป็นแค่คนธรรมดาในตระกูล แต่ถ้ามาตายใต้ปากกระบอกปืนนาย ถึงจะแค่ทำเพื่อหน้าตาของตระกูล แต่ยังไงตระกูลหนานก็คงไม่ปล่อยนายไปแน่”
“พอถึงตอนนั้น ด้านหน้าก็มี กลุ่มชาวจีนส่วนด้านหลังก็มีตระกูลหนาน ศัตรูควบคู่ทั้งสองด้าน นายแน่ใจเหรอว่านายจะกล้าเอาชีวิตของคนในกลุ่มมังกรทั้งหมดมาเป็นเดิมพัน?”
พอเขาพูดจบ ทั่วทั้งห้องรับแขกก็ตกอยู่ในความเงียบทันที
กู้ซือเฉียนไม่ได้ปล่อยเขาไปเพราะคำพูดของเขา แต่ก็ไม่ได้ก้าวเข้าไปอีกเช่นกัน
และในตอนนั้นเอง หลินเยว่เอ๋อร์ก็ค่อย ๆ ก้าวเข้ามาอย่างระมัดระวัง
เธอจ้องมองชายหนุ่มทั้งสองที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาตื่นตระหนก ก่อนจะพูดโน้มน้าวขึ้นว่า “คุณกู้ ถ้ามีเรื่องอะไรเรานั่งลงแล้วค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากันดีกว่าไหม? คุณกับคุณหนานไม่ใช่ว่าเป็นเพื่อนกันเหรอ? มีอะไรก็ค่อย ๆ อธิบายกันไม่ได้รึไง? ปืนนี่…”
เธอพูดขึ้น พร้อมกับเตรียมเอื้อมมือออกไปจับมือข้างที่ถือปืนของเขา
ทว่า เธอกลับถูกสายตาเย็นชาของกู้ซือเฉียนหยุดไว้เสียก่อน
กู้ซือเฉียนจะปฏิบัติต่อเขายังไงก็ได้ แต่พอเขาเห็นสายตากู้ซือเฉียนที่มองไปทางหลินเยว่เอ๋อร์แบบนั้น ความรู้สึกที่หนานมู่หรงอดกลั้นเอาไว้มันก็เริ่มจะทนไม่ไหวขึ้นมา
เขารีบดึงหลินเยว่เอ๋อร์เข้าหาตัวเอง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “กู้ซือเฉียน นี่มันเป็นเรื่องระหว่างเราลูกผู้ชาย นายอย่าไปดึงผู้หญิงที่ไม่รู้เรื่องมาเกี่ยวข้องด้วย”
กู้ซือเฉียนมองไปทางเขา พร้อมกับยิ้มออกมาอย่างเย็นชา
“คุณหลินกับสามีอันเป็นที่รักของคุณ รักกันลึกซึ้งขนาดนี้ ถ้ามีสุขก็ต้องร่วมเสพ มีทุกข์ก็ต้องร่วมต้านเป็นธรรมดาใช่ไหม?”
เขาพูดขึ้น จากนั้นก็หันปลายปืนไปทางหลินเยว่เอ๋อร์
ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยันว่า “นายพูดถูก ฉันแตะต้องนายไม่ได้ก็จริง เพราะถึงยังไงฉันก็ยังไม่อยากเป็นศัตรูกับตระกูลหนานในตอนนี้”
“แต่เธอไม่เหมือนกัน ถ้าฉันเดาไม่ผิด เธอคงยังไม่ได้รับการยอมรับจากผู้นำตระกูลเราสินะ? ถ้าฉันฆ่าเธอตอนนี้ เชื่อเถอะว่าตระกูลหนานคงไม่อยากมาเป็นศัตรูกับกลุ่มมังกร เพื่อผู้หญิงที่ไม่มีความสำคัญเพียงคนเดียวหรอกใช่ไหม?”
นัยน์ตาของหนานมู่หรงหดลง
ใบหน้าที่หล่อเหลา แม้ว่าจะมีสีหน้าเรียบเฉยเมื่ออยู่ตรงหน้าศัตรู แต่อยู่ ๆ มันก็มีความโกรธเข้ามาแทนที่
เขาพูดขึ้นอย่างโมโหว่า “กู้ซือเฉียน อย่าให้มันมากเกินไปนะ!”
กู้ซือเฉียนขี้เกียจจะต่อปากต่อคำกับเขาต่อ จึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ฉันจะถามนายเป็นครั้งสุดท้าย ตอบ! คนพวกนั้นเป็นคนของใคร”
หนานมู่หรงกำหมัดแน่น
หลินเยว่เอ๋อร์ตกใจจนใบหน้าซีดเผือด
ยิ่งพอเห็นท่าทีลำบากใจของเขา เธอก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “คุณหนาน คุณไม่ต้องสนใจฉันหรอก คนบ้าคนนี้ คุณให้คนมาจับเขาเลย อย่าบอกอะไรกับเขานะ”
ทว่า ยิ่งเธอพูดแบบนี้ หนานมู่หรงก็ยิ่งแข็งใจทำไม่ลง
หลินเยว่เอ๋อร์หันหน้ามาทางกู้ซือเฉียนอีกครั้ง พร้อมกับพูดต่อ “กู้ซือเฉียน คุณบุกเข้ามาในบ้านของคนอื่นกลางวันแสก ๆ แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แถมยังมาถามเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก คุณเป็นบ้าไปแล้วรึไง? มีอำนาจหน่อยจะยิงใครก็ได้เหรอ งั้นก็ลองฆ่าฉันดูสิ แล้วดูสิว่าวันนี้คุณจะออกไปจากที่นี่ได้รึเปล่า!”
กู้ซือเฉียนยิ้มออกมาอย่างเย็นชา พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า “ดูไม่ออกเลยนะ ว่า คุณนายหนานจะมีความกล้าถึงขนาดนี้”
เขาพูดขึ้น พร้อมกับลากสายตามองไปยังหนานมู่หรงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“แต่น่าเสียดาย ที่ต้องมาอยู่กับผู้ชายที่ไม่รู้จักเห็นใจเธอเลย ถ้าเกิดใหม่ในชาติหน้า ก็ขอให้เธอเจอคนที่ดูแลเธอดี ๆ นะ”
เขาพูด พร้อมกับกระชับปืนในมือ จากนั้นก็เสริมต่อว่า “ฉันจะนับถึงสาม ถ้าแกยังไม่ยอมบอก ก็อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจนะ”
เขาพูดพร้อมกับนับ “หนึ่ง!”
“สอง!”
“สาม!”
“ฉันบอก!”
เสียงของทั้งสองคนดังขึ้นพร้อมกัน หลินเยว่เอ๋อร์ตกใจจนต้องหลับตาปี๋ พอสติของเธอกลับคืนมา เธอถึงได้รู้ว่าปืนที่อยู่บนหัวเธอไม่ได้ถูกลั่นไก แต่เป็นหนานมู่หรงที่ตอบตกลงออกไป
เธอแอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เธอเห็นสีหน้าของหนานมู่หรงที่หม่นแสงลง พร้อมกับจ้องไปที่กู้ซือเฉียน แล้วพูดขึ้นว่า “ในเมื่อนายอยากรู้มากขนาดนี้ ฉันก็จะบอกให้! พวกนั้นมาจากสำนักงานใหญ่ ส่วนใครเป็นคนบงการฉันก็ไม่แน่ใจ ถ้านายอยากรู้จริง ๆ ก็เข้าไปถามดูสิ ยังไงนายก็เก่งมากอยู่แล้วนี่ ไม่มีที่ไหนที่บุกเข้าไปไม่ได้ แถมยังไม่มีใครที่ข่มขู่ไม่ได้ด้วย”
ประโยคสุดท้ายที่พูดขึ้น เต็มไปด้วยความประชดประชัน
แต่กู้ซือเฉียนขี้เกียจที่จะสนใจเขาแล้ว
ได้ยินดังนั้น กู้ซือเฉียนก็รักษาคำพูดโดยการลดปืนลง
พร้อมกับพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ทางที่ดีอย่าโกหกฉันแล้วกัน”
พูดจบ เขาก็ปล่อยหลินเยว่เอ๋อร์ ก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินจากไป
การ์ดที่ยืนเผชิญหน้ากับ ฉินเยว่และคนอื่น ๆ อยู่ที่หน้าประตู พอเห็นแบบนั้นต่างก็พากันหันหน้าไปมองทางหนานมู่หรง
เมื่อเห็นเขาโบกมือเป็นเชิงให้ปล่อยพวกเขาไป การ์ดเหล่านั้นก็ก้าวออกไปด้านข้าง เหลือตรงกลางไว้เป็นทางให้เดิน
กู้ซือเฉียนพาพรรคพวกของเขาก้าวยาว ๆ ออกไป
ซึ่งตั้งแต่ต้นจนจบหนานมู่หรงกลับนั่งอยู่แค่บนโซฟา
มองไปยังทิศทางที่คนกลุ่มนั้นเดินจากไป นัยน์ตาของเขาหรี่ลง ก่อนจะพึมพำกับตัวเองว่า “ฉันให้เบาะแสนายไปแล้ว ขั้นต่อไป ก็ขึ้นอยู่กับนายแล้วว่านายจะเดินต่อยังไง”
เขาพูดพร้อมกับค่อย ๆ ยืนขึ้น
ทันใดนั้น เขาก็เพิ่งสังเกตเห็นหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หลินเยว่เอ๋อร์ยังคงมีท่าทีตกใจไม่หาย
พอคิดถึงท่าทางที่ทั้งกลัวทั้งกล้าหาญของเธอ ตอนที่พยายามจะช่วยเขานั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้นมาเบา ๆ
เขายื่นมือออกไปก่อนจะพูดขึ้นว่า “ยังไม่ลุกอีก?”
หลินเยว่เอ๋อร์ชะงักไปชั่วครู่ เธอค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น มองไปที่มือนั้น ก่อนจะลากสายตามองไปยังใบหน้าอันสงบนิ่งของเขา พอสติกลับมา เธอก็รีบยื่นมือตัวเองออกไปให้เขาทันที
หนานมู่หรงออกแรงเบา ๆ ก็สามารถดึงเธอให้ลุกจากโซฟาได้
หลินเยว่เอ๋อร์ถลาเข้าไปในอ้อมแขนเขาทันที ถึงแม้เธอจะรู้ดีว่า กู้ซือเฉียนไม่มีทางฆ่าเธอแน่ ๆ
แต่เมื่อครู่ที่เธอถูกรังสีความน่าเกรงขามและความเย็นชาของเขาทำให้ตกใจกลัว ตอนนี้เหมือนวิญญาณเธอยังไม่ได้กลับเข้าร่างด้วยซ้ำ แม้กระทั่งเวลานี้เธอก็ยังผ่อนคลายได้ไม่เต็มที่
หนานมู่หรงพอเห็นใบหน้าบอบบางของเธอซีดเซียวกว่าเดิม เขาก็ยิ่งเห็นใจเธอมากขึ้นไปอีก
เขาเอื้อมมือออกไป เกลี่ยผมเธอขึ้นทัดหูเบา ๆ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อครู่ตกใจมากเลยใช่ไหม?”
หลินเยว่เอ๋อร์เงยหน้ามองเขา จากนั้นน้ำตาที่กลั้นไว้ก็ค่อย ๆ ไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย
แต่ทว่า เธอกลับไม่ได้ส่งเสียงร้องไห้ออกมา เพียงแค่เม้มปากแน่น ก่อนจะส่ายหน้าให้เขาเบา ๆ
“ฉันไม่ได้กลัว ฉันแค่……”
ปากของเธอพูดออกมาแบบนั้น แต่มือที่จับแขนเขาอยู่ กลับมีอาการสั่นเล็กน้อย
หนานมู่หรงรู้ในทันทีว่าลึก ๆ ในใจเธอคิดอะไรอยู่ เขาหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะก้มลงอุ้มเธอในท่าเจ้าหญิง พร้อมกับเดินขึ้นไปชั้นบน
ส่วนอีกด้าน
หลังจากที่กู้ซือเฉียนออกจากคฤหาสน์ของหนานมู่หรงแล้ว เขาก็ตรงไปที่รถ จากนั้นก็กลับไปที่ปราสาททันที