วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 918 ไม่มีสิทธิ์
หนานกงจิ่น โบกมือเบา ๆ “ออกไปเถอะ”
หนานกงยวู่ โค้งตัวคำนับ ก่อนจะเดินจากไป
รอจนเขาเดินออกไปแล้ว หนานกงจิ่น ก็นั่งอยู่ตรงนั้นอีกสักพัก จากนั้นจึงยืดตัวขึ้น แล้วค่อยเดินออกไป
บ้านหลังนี้เป็นบ้านหลังใหญ่มีลักษณะแปลกตา ด้านหน้ามีอยู่เพียงไม่กี่ห้อง ส่วนด้านหลังมีสวนดอกไม้ขนาดใหญ่
ภายในสวนเต็มไปด้วยภูเขาหิน ดอกไม้ พืชพันธุ์ต่างถิ่นมากมายปลูกไว้อย่างสวยงาม แถมยังมีต้นไม้เก่าแก่ประวัติยาวนานหลายร้อยปีอยู่อีกหลายต้น
หนานกงจิ่น เดินไปตามถนนหิน พอไปถึงใจกลางสวนที่มีโขดหินตั้งอยู่ เขาก็หยุดเดิน
จากนั้นชายหนุ่มก็กดไปที่โขดหินหนึ่งครั้ง ทันใดนั้น โขดหินที่เดิมทีทับซ้อนกันอยู่ก็ค่อย ๆ แยกออกจากกัน จนเกิดเป็นทางเดิน
เขาเดินตามทางเข้าไป
บรรยากาศภายในทั้งชื้นและเย็น มีลมสายหนึ่งพัดออกมาเบา ๆ
เบื้องหน้า หนานกงจิ่น มีทางเดินที่โรยด้วยหินคดเคี้ยวไปมา เขาเดินตามทางนั้นไปสักพัก ภาพเบื้องหน้าก็ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น
ด้านในเป็นเพียงห้องหินขนาดใหญ่ รอบ ๆ ห้องเต็มไปด้วยน้ำแข็ง ส่วนตรงกลางมีโลงศพแก้วคริสทัลโปร่งใสตั้งอยู่
ถ้าตอนนี้มีคนอื่นอยู่ด้วย คงจะต้องตกใจมากแน่ ๆ
เพราะภายในโลงแก้วนั้น มีหญิงชราผมขาวนอนอยู่ด้านในอย่างสงบ
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น แต่อยู่ตรงที่หญิงชราผู้นี้กับเฉียวฉีต่างมีส่วนที่คล้ายกันกว่าห้าในหกส่วน
เพียงแต่ว่าผมของหญิงชราเป็นสีขาวทั้งหมด ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น เธอมีอายุอย่างน้อยประมาณเจ็ดสิบถึงแปดสิบปี
เธอนอนอยู่ในนั้นอย่างสงบเยือกเย็น หนานกงจิ่น เดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะมองไปที่ใบหน้าซึ่งกำลังหลับใหลอย่างสงบของเธอ เขาเอื้อมมือออกไปลูบผมของเธอเบา ๆ
“เฉียนเฉียน”
เขากระซิบเสียงทุ้มต่ำ
ถือเป็นภาพที่แปลกมาก ชายหนุ่มที่ยังเยาว์วัยอยู่กลับเรียกหญิงชราวัยเกือบแปดสิบในโลงอย่างสนิทสนม ด้วยชื่อเล่นของเธอ เฉียนเฉียน
แต่ดูเหมือนเขาไม่ได้รู้สึกแปลกเลยสักนิด มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย ขณะที่จ้องไปที่เธอ จากนั้นจึงพูดขึ้นเบา ๆ ว่า “รอก่อนนะ อีกไม่นาน ผมจะปลุกคุณให้ตื่นขึ้นมาให้ได้ เฉียนเฉียน”
เป็นธรรมดาที่หญิงชราจะยังหลับตาอยู่ ราวกับว่าเธอไม่มีชีวิตแล้ว
เขาค่อย ๆ จัดผมให้เธออย่างทะนุถนอม พร้อมกับพร่ำพรรณนากับตัวเองว่า “ของที่ผมเอามาไม่ได้ คนคนนั้นจะต้องเอามันมาให้เราได้แน่นอน แค่รวบรวมแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ให้ครบทั้งสิบสองส่วน คุณก็จะตื่นขึ้นมา พอถึงตอนนั้นเดี๋ยวผมจะพาคุณออกไปดูโลกภายนอกเองดีไหม?
คุณรู้รึเปล่า ว่าโลกใบนี้มันต่างจากโลกใบที่เราเคยอยู่อย่างสิ้นเชิงเลยนะ ที่นี่มีสิ่งแปลกใหม่เต็มไปหมด รอให้คุณตื่นขึ้นมาก่อน คุณจะต้องชอบมันมากแน่ ๆ
เฉียนเฉียน ผมรักคุณ ผมจะอยู่กับคุณ และรอคุณ”
หลังจากที่พูดจบ เขาก็ก้มหน้าลง พร้อมกับจุมพิตลงบนหน้าผากของเธอ
จากนั้น จึงหมุนตัวแล้วเดินออกไป
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง
หลังจากจัดการกับอาณาเขตของ กลุ่มชาวจีนที่เหลืออยู่ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ลู่จิ่งเซินกับจิ่งหนิงก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ที่นี่ต่อ
บวกกับเรื่องในประเทศที่ค่อนข้างวุ่นวาย พวกเขาคงจะอยู่ข้างนอกตลอดไปไม่ได้หรอก ดังนั้น พวกเขาก็เลยเตรียมตัวกลับ
ตระกูลลู่และตระกูลกู้เดิมทีเคยเป็นมิตรที่ดีต่อกัน แต่เพราะเรื่องผลประโยชน์ ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายเลยหยุดชะงักไป คนทั่วไปต่างก็คิดว่าสักวันทั้งสองตระกูลนี้ต้องปะทะกันแน่ ๆ
แต่คาดไม่ถึง จากการติดต่อและร่วมมือกันครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายไม่เพียงแค่ไม่มีความขัดแย้งกัน แต่กลับมีบางอย่างที่สามารถสื่อถึงกันได้อย่างน่าประหลาด
จิ่งหนิงเองก็ดูออก ลู่จิ่งเซินไม่ได้เกลียดกู้ซือเฉียนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ส่วนกู้ซือเฉียน เพราะเรื่องที่ช่วยเฉียวฉีในครั้งนี้ ลู่จิ่งเซินกับจิ่งหนิงช่วยเขาได้มาก ดังนั้น เขาก็พลอยเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อลู่จิ่งเซินไปด้วย
ส่งผลให้ทั้งสองคน ที่เมื่อก่อนเอากันไม่ลงสักที ให้ตายยังไงก็ไม่ยอมยืนข้าง ๆ ตอนนี้กลับมีกลิ่นของความเข้าอกเข้าใจกันอย่างอธิบายไม่ถูก
ถึงยังไงทั้งคู่ก็เป็นคนฉลาด รู้จักแบ่งแยกรู้จักร่วมมือ ซึ่งแน่นอนว่าการร่วมมือจะทำให้ทั้งสองฝ่ายได้ผลประโยชน์มากกว่า
ดังนั้น ทั้งคู่ก็เลยเห็นพ้องต้องกัน ส่วนจิ่งหนิงก็มีความสุขกับผลลัพธ์นี้ไปโดยปริยาย
คืนนี้ เนื่องจากทุกคนรู้ว่าลู่จิ่งเซินกับจิ่งหนิงจะกลับประเทศในวันพรุ่งนี้แล้ว กู้ซือเฉียนก็เลยตั้งกลุ่ม จัดงานเลี้ยงฉลองให้พวกเขาในตอนเย็น
สถานที่ก็คือในปราสาท แต่ครั้งนี้มีคนมาเข้าร่วมค่อนข้างเยอะ ไม่ใช่แค่กู้ซือเฉียน เฉียวฉี คู่สามีภรรยาลู่จิ่งเซิน แต่ยังมีจี้หลินยวนกับหัวเหยาที่รีบมาจากประเทศเอฟด้วย
เพราะเดิมทีหัวเหยาวางแผนว่าจะกลับประเทศเมื่อสองวันที่ผ่านมา แต่หลังจากได้โทรคุยกับจิ่งหนิง แล้วเธอก็รู้ว่าพวกเขาจะกลับประเทศพรุ่งนี้ เธอก็เลยเปลี่ยนเที่ยวบิน เพื่อจะได้กลับไปพร้อมพวกเขา
และในเมื่อจะกลับประเทศพร้อมกันทั้งที ยังไงก็ต้องมารวมตัวกันก่อน เพราะงั้น พวกเธอก็เลยบินตรงจากประเทศเอฟมาลงที่เมืองหลิน
เมื่อแสงไฟถูกจุดขึ้น ภายในปราสาทสว่างไสวและมีชีวิตชีวาขึ้นทันที
หลินเซินพาเพื่อนอีกสองสามคนมาด้วย ซึ่งแน่นอนว่านั่นก็คือแฟนสาวของเขา แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่มันก็ชัดเจนแล้วเมื่อดูจากท่าทีที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน
ระหว่างทานข้าว เฉียวฉีก็ล้อเขาว่า เมื่อไรจะได้ดื่มเหล้างานแต่งงานเขาสักที
คาดไม่ถึงว่าหลินเซินจะเป็นพวกเจ้าอารมณ์?
เขาตอบมาตรง ๆ ประโยคหนึ่งว่า รอให้ได้ดื่มเหล้าในงานแต่งเธอก่อน หลังจากนั้นจะได้ดื่มของงานเขาตามแน่ ๆ
เฉียวฉีพอถูกเขาเอาคืนก็สำลักออกมาทันที ก่อนที่เธอจะไม่พูดอะไรอีกเลย
ส่วนกู้ซือเฉียนที่อยู่ข้าง ๆ กลับรู้สึกอารมณ์ดี
เขายกมุมปากขึ้นยิ้มก่อนจะพูดว่า “นายพูดจริงนะ? แค่พวกเราจัดงาน นายก็จะจัดตามทันทีเลยใช่ไหม?”
เรื่องพวกนี้สำหรับหลินเซินแล้ว มีแค่แพ้กับชนะเท่านั้น อย่างอื่นเขาไม่สน
ดังนั้น เขาจึงวางเดิมพันเข้าสู้ทันที “แน่นอนอยู่แล้ว ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น ถ้านายจัดวันนี้ พรุ่งนี้ฉันก็จัดเลย เป็นไงล่ะ? ซือเฉียน นายจะว่าไง?”
เฉียวฉีจ้องเขม็งไปที่กู้ซือเฉียน เพราะกลัวว่าเขาจะพูดอะไรแปลก ๆ ออกมา ก่อนจะพูดขึ้นอย่างร้อนรนว่า “ไม่มีอะไร อย่าไปฟังเขาพูดมั่วนะ”
ขณะที่พูด เธอก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
“สเต๊กอันนี้อร่อยนะ มาสิ หนิงหนิงมาลองชิมสักชิ้น”
พูดไปพลาง เธอก็หั่นสเต๊กเป็นชิ้นเล็ก ๆ วางใส่จานจิ่งหนิงด้วย
จิ่งหนิงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฉันกินต่อไม่ไหวแล้ว อิ่มแล้วล่ะ”
ลู่จิ่งเซินเหลือบมองเธอครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “คุณเพิ่งกินไปเท่าไรเอง ทำไมอิ่มแล้ว? ไม่ได้นะ ต้องกินอีก”
เพราะช่วงนี้จิ่งหนิงรู้สึกว่าตัวเองอ้วนขึ้น ดังนั้นเธอก็เลยมีความคิดที่จะลดน้ำหนัก
แต่ลู่จิ่งเซินกลับไม่ยอม เขาหาข้ออ้างมาเพื่อให้เธอกินเยอะ ๆ ทุกครั้ง
จิ่งหนิงก็จนปัญญา เธอปฏิเสธเขาไม่ได้ ดังนั้น เวลากินข้าวกันสองคน จึงมักจะเป็นตอนที่เธอพูดไม่ออกมากที่สุด
เธอเม้มปาก ก่อนจะพูดขึ้นว่า “คืนนี้ฉันกินไปเยอะแล้ว คุณอย่าทำแบบนี้ อย่างกับจะป้อนอาหารหมู”
ลู่จิ่งเซินยิ้ม “ถ้าคุณกินได้อย่างนั้น ผมจะดีใจมาก”
คำพูดหวานเลี่ยนของคนทั้งคู่ ทำให้หลินเซินรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาชั่วขณะ
เขาทำท่าทางคลื่นไส้อย่างเกินจริง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เอาล่ะเอาล่ะพวกนายทั้งคู่ ทำฉันขนลุกไปหมดแล้ว เป็นคู่สามีภรรยากันมาตั้งนาน จะมาแสดงความหวานกันขนาดนี้ทำไม?”
ลู่จิ่งเซินเหลือบมองเขาเพียงครู่เดียว ก่อนจะพูดขึ้นว่า “คนไม่มีภรรยาไม่มีสิทธิ์พูด”