วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 920 มีเซอร์ไพรส์
ดังนั้น จิ่งหนิงจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอเพียงแค่ส่งเสียง “อืม” เท่านั้น
ลู่จิ่งเซินจึงถามขึ้นว่า “พวกคุณไม่ใช่กำลังเล่นไพ่กันอยู่เหรอ? คุณออกมาทำไม? ไม่เล่นกันแล้ว?”
จิ่งหนิงจึงตอบกลับไปว่า “ไม่เล่นแล้ว เกมจบไปแล้ว พวกเราหิวกันนิดหน่อย ก็เลยจะทำมื้อดึก ฉันเลยจะมาถามพวกคุณว่ากินไหม ถ้ากินจะได้ให้แม่ครัวทำเผื่อ”
ลู่จิ่งเซินไม่ได้ตอบในทันที เขาเหลือบมองไปทางกู้ซือเฉียนกับจี้หลินยวนก่อน
ส่วนกู้ซือเฉียนก็ไม่รู้ว่าไปทำอะไรมา ตอนนี้บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ
เขาใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้า พลางตอบกลับว่า “ฉันกินนิดหนึ่ง”
ด้านจี้หลินยวนก็พยักหน้ารับ “ฉันก็เอาด้วยนิดหนึ่ง”
จิ่งหนิงเลยตอบกลับไปว่า “ได้ งั้นเดี๋ยวฉันไปบอกให้”
จากนั้น เธอก็หันหลังกลับแล้วก็เดินออกไป
คาดไม่ถึง เธอเดินออกไปเพียงไม่กี่ก้าว ก็ถูกกู้ซือเฉียนเรียกเอาไว้เสียก่อน
“เฮ้ รอก่อน”
จิ่งหนิงหันกลับมามองเขา “มีอะไรเหรอ?”
กู้ซือเฉียนตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “คุณเข้าไปแล้ว เรียกเฉียวฉีออกมาหน่อยนะ บอกว่าฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ”
จิ่งหนิงขมวดคิ้วแน่น
เธอใช้สายตาตรวจสอบใบหน้าของกู้ซือเฉียนด้วยความสงสัย แต่ก็ยังดูไม่ออกอยู่ดีว่าเขาคิดจะทำอะไร สุดท้ายเลยทำได้แค่เพียงพยักหน้ารับ “ได้”
เมื่อจิ่งหนิงเดินออกไปแล้ว เธอก็ตรงไปที่ห้องครัวทันที
ขณะเดียวกัน เฉียวฉีก็กำลังจัดการให้สาวใช้ช่วยทำมื้อดึกให้
มื้อดึกวันนี้เป็นเกี๊ยวกุ้งน้ำแบบง่าย ๆ รสชาติค่อนข้างอ่อนแล้วก็สดชื่น พอดีกับฤดูกาลในปัจจุบัน
พอจิ่งหนิงเดินเข้าไป เฉียวฉีก็ถามขึ้นว่า “ว่าไง? พวกเขากินรึเปล่า?”
จิ่งหนิงพยักหน้า “อืม กินทุกคนเลย เธอให้เขาทำเยอะหน่อยก็ดีนะ”
เฉียวฉีพยักหน้ารับ “ตกลง”
ขณะที่พูด เธอก็หันหน้าไปสั่งแม่ครัวด้วย
ระหว่างที่เธอสั่งแม่ครัว จิ่งหนิงก็ยืนอยู่ข้าง ๆ ยังไม่ได้เดินออกไปไหน
รอจนเฉียวฉีจัดการเรียบร้อย เธอจึงพูดขึ้นมาอีกว่า “ใช่แล้ว กู้ซือเฉียนบอกว่าให้เธอไปหาเขาหน่อย เขามีเรื่องจะคุยด้วย”
เฉียวฉีชะงัก ก่อนจะมองเธออย่างประหลาดใจ
“คุยกับฉัน? คุยกับฉันทำไม?”
จิ่งหนิงเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม เธอตอบกลับว่า “ใครจะไปรู้ล่ะ”
ขณะที่พูด เธอก็เหมือนกับนึกอะไรบางอย่างออก ทันใดนั้นนัยน์ตาเธอก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ไม่แน่ว่าอาจจะมีอะไรเซอร์ไพรส์เธอก็ได้ เธอรีบไปเถอะ อย่าไปช้าเกินล่ะ” เฉียวฉีชะงัก ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“เป็นไปไม่ได้หรอก เขาไม่ใช่คนโรแมนติกอะไรแบบนั้น”
ถึงแม้ปากจะพูดไปอย่างนั้น แต่เธอกลับก้าวเท้ามุ่งหน้าไปทางสวนดอกไม้ด้านหลังอย่างรวดเร็ว
ในใจจิ่งหนิงก็แอบสงสัย เลยเดินตามออกไปโดยปริยาย
ระหว่างทาง ก็เจอกับหัวเหยาพอดี หัวเหยาเห็นท่าทางของพวกเธอรีบร้อน จึงถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “พวกเธอจะไปไหนกัน?”
จิ่งหนิงเลยตอบกลับว่า “ไปดูเรื่องสนุก”
เรื่องสนุก?
หัวเหยาชะงัก ก่อนจะรีบกระโดดลุกขึ้นมาจากโซฟาทันที
“เรื่องสนุกอะไร? ฉันดูด้วย!”
ดังนั้น จากตอนแรกที่มีกันเพียงแค่สองคน เพียงครู่เดียวก็กลายเป็นกลุ่มใหญ่ไปแล้ว
ทุกคนมาถึงลานกว้างในสวนด้านหลัง พวกเธอนึกว่ากู้ซือเฉียนจะรออยู่ที่นั่น ไม่คิดว่าพอมาถึงจะเจอแต่สวนที่ว่างเปล่า แล้วคนอยู่ไหนล่ะ?
ไม่ใช่แค่กู้ซือเฉียนที่หายตัวไป แต่ยังรวมถึงลู่จิ่งเซินกับจี้หลินยวนด้วย
จิ่งหนิงหยุดชะงัก รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เฉียวฉีจึงถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “หนิงหนิง เธอบอกว่าเขามีเรื่องจะคุยกับฉัน แล้วตัวเขาอยู่ไหนล่ะ?”
จิ่งหนิงส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ พร้อมกับตอบว่า “ฉันก็ไม่รู้ เมื่อครู่ยังอยู่ที่ระเบียงตรงนั้นอยู่เลย ทำไมตอนนี้ถึงไม่เห็นแล้วนะ”
ทันใดนั้นเอง อยู่ ๆ ภายในปราสาทก็มีเสียงก้องกังวานดังขึ้น
“เฉียวฉี เดินไปข้างหน้าอีกยี่สิบก้าว”
ทุกคนต่างหยุดชะงัก
พร้อมกับหันหน้าไปมอง ก่อนจะพบว่าเสียงนั้นดังมาจากชั้นสอง
ทุกคนมองขึ้นไปบนชั้นสอง เห็นเพียงกู้ซือเฉียนยืนอยู่บนระเบียงตามลำพัง เขามองลงมาด้านล่าง ในมือไม่รู้ว่าถือไมโครโฟนหรือลำโพงอยู่ แต่เสียงเมื่อครู่ดังออกมาจากสิ่งนั้น
ในตอนนั้นเอง ราวกับมีฟ้าผ่าลงมาที่หัวของจิ่งหนิง เธอเหมือนกับคิดอะไรบางอย่างออก นัยน์ตาเกิดเป็นประกายขึ้นมาทันที
ไม่ว่าเฉียวฉีจะเต็มใจหรือไม่ เธอผลักเฉียวฉีออกไปด้านหน้า ก่อนจะดึงหัวเหยากลับเข้าไปในระเบียงทางเดินอีกครั้ง
เฉียวฉียังไม่ทันได้ดึงสติกลับมา
บนระเบียงชั้นสอง สายตาของชายหนุ่มมองเธออย่างลึกซึ้ง เขาจ้องราวกับว่า สามารถมองทะลุผ่านนัยน์ตาลงไปถึงก้นบึ้งหัวใจเธอได้เลย
หัวใจของเธอเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม หัวใจมันถึงได้เต้นเร็วขนาดนี้
เฉียวฉีเม้มริมฝีปากแน่น แต่ก็ทำตามที่เขาบอก เธอก้าวออกไปข้างหน้าอีกยี่สิบก้าว
ตรงที่เธอยืนอยู่เป็นลานกว้าง รอบกายเธอไม่มีอะไรเลย ไม่ใช่แค่ไม่มีคน แต่แม้กระทั่งแสงไฟลอดออกมาสักนิดยังไม่มี
ซึ่งเธอก็เพิ่งจะรู้สึกตัวว่า ในสวนดอกไม้วันนี้ มีบางอย่างแปลกไป
เมื่อก่อนจะต้องมีการเปิดไฟตามทางเดินแทบทุกที่ แต่วันนี้กลับไม่มีไฟตรงไหนติดเลย ส่งผลให้เธอต้องมายืนอย่างโดดเดี่ยวอยู่ในความมืดแบบนี้
ในใจเฉียวฉีรู้สึกกลัวเล็กน้อย แม้ว่าเธอจะคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่นี่เป็นอย่างดี แต่โดยส่วนตัวแล้วเธอก็ค่อนข้างจะกลัวความมืดอยู่ ตอนนี้พอบวกกับความหวั่นไหวในใจ ที่รู้สึกเหมือนกับว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้น เธอก็ยิ่งรู้สึกกลัวขึ้นไปอีก
ทว่า อีกฝ่ายก็ไม่ได้ปล่อยให้เธอคอยนาน
เธอได้ยินกู้ซือเฉียนพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เริ่มได้”
ทันทีที่พูดจบ ก็มีเสียง “วู้” ดังขึ้น จากนั้นรอบกายก็สว่างขึ้นมาทันที
ไม่ใช่แค่ดวงไฟดวงเดียว แต่เป็นดวงไฟที่นับไม่ถ้วน ทั้งหมดลอยขึ้นมาจากพื้นดินพร้อม ๆ กัน
มีหลายดวงที่บินผ่านตัวเธอไปก่อนจะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
เฉียวฉีตกตะลึง พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะเห็นว่ามีโดรนขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วน ลอยอยู่บนท้องฟ้า ก่อตัวเป็นภาพขนาดใหญ่
ภาพนั้นก็คือ…..
ในใจของเธอสั่นไหวอย่างรุนแรง!
เธอเห็นเพียงแค่ดวงไฟเล็ก ๆ หลากสี ยังกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ จนสุดท้ายก็ค่อย ๆ ก่อตัวเป็นภาพภาพหนึ่ง ซึ่งภาพนั้นคือฉากที่เธอพบกับกู้ซือเฉียนครั้งแรกเมื่อตอนอายุแปดขวบ
น้ำเสียงอันทุ้มต่ำและลึกซึ้งของกู้ซือเฉียนลอยมาจากด้านบนว่า
“ตอนที่คุณอายุแปดขวบ เราได้เจอกัน ตอนนั้นเราทั้งคู่ยังเด็ก ไม่เคยคิดเลยว่าในอนาคตเราจะต้องผ่านอุปสรรคผ่านความกังวลใจมากมายมาด้วยกันขนาดนี้”
“ผมยังจำวันที่ผมเจอคุณครั้งแรกได้ คุณถักเปียสองข้าง ตัวเล็กแต่การพูดเก่งไม่เบาเลย คุณใจกล้ามาก ๆ คุณบอกผมว่า คุณเป็นหลานสาวของท่านผู้อำนวยการ ส่วนผมนั้นเป็นลูกศิษย์ท่าน ไป ๆ มา ๆ เราก็เลยได้เป็นพี่น้องกันแต่ผมว่า ผมไม่ได้อยากเป็นแค่พี่น้องกับคุณ”
“ในตอนนั้นคุณทั้งเศร้าแล้วก็ร้องไห้หนักมาก ถึงแม้ภายนอกผมจะดูสงบนิ่งขนาดไหน แต่ความจริงในใจผม กลับสับสน นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้ว่าผู้หญิงร้องไห้ง่ายมากแค่ไหน”
ชายหนุ่มยิ้มออกมาเบา ๆ ราวกับกำลังนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในอดีต
ภาพอันสวยงามเหล่านั้น ก็เหมือนกับไวน์ที่กลมกล่อมที่สุดในโลก มันถูกเก็บเอาไว้ในความทรงจำเขามาโดยตลอด พอนานวันเข้า ก็ยิ่งหอมละมุนมากขึ้นเรื่อย ๆ
เธอได้ยินเสียง “วู้” อีกครั้ง จากนั้นดวงไฟเล็ก ๆ บนท้องฟ้าก็เปลี่ยนรูปร่างกะทันหัน จนกลายเป็นภาพอีกภาพหนึ่ง