วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 949 ดีทั้งสองฝ่าย
ท่านปู่ชิวหรี่ตามองเธอ
“วิธีอะไรดีต่อทั้งสองฝ่าย”
จิ่งหนิงพูดเสียงต่ำว่า: “พวกเราก็ไม่บังคับให้ท่านเอาของออกมาตอนนี้ ท่านทำตามที่พวกเราบอก ประสานงานการกระทำของพวกเรา พวกเราช่วยเสี่ยวฮัวออกมาให้ท่าน แต่หลังจากเสี่ยวฮัวกลับมาแล้ว ท่านต้องเอาของให้พวกเรา แบบนี้ได้ไหม”
ท่านปู่ชิวเม้นปากไว้แน่นๆ
ลู่จิ่งเซินก็พูดตามด้วยว่า: “ผมสามารถนำตัวตนของผมรับประกัน จะช่วยคนออกมาให้ท่านแน่นอน ท่านปู่ นี่กำลังอยู่ในชายแดนของประเทศจีนนะ ถ้าพวกไม่สามารถช่วยคนออกมาได้ แล้วท่านคิดว่ายังมีใครทำได้อีก อีกอย่าง ท่านแน่ใจเหรอว่าหลังจากท่านเอาให้เขาแล้ว เขาจะปล่อยเสี่ยวฮัวจริงๆ ถึงตอนนั้นถ้าเกิดว่าไม่ปล่อยล่ะ ก็จะกลายเป็นว่างเปล่าทั้งคนและของแล้ว”
จริงๆ แล้วท่านปู่ชิวก็ไม่ใช่ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด
แค่เพราะว่าก่อนหน้านี้ไม่ยอมเชื่อใจพวกเขา คิดแต่อยากให้พวกรีบไปให้เร็วที่สุด พอตอนนี้คิดดูแล้ว ความเป็นจริงนี่คงเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด
เขามองลู่จิ่งเซินอย่างลึกซึ้ง ถามเสียงต่ำว่า: “แกแน่ใจ ว่าแกสามารถช่วยเสี่ยวฮัวออกมาได้จริงๆ”
ลู่จิ่งเซินสีหน้าจริงจัง “ผมรับประกันโดยขีวิตของผม”
“ได้ อย่างนั้นฉันก็จะเชื่อใจแกหนึ่งครั้ง”
เขาพูดอยู่ จู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาเดินออกไปข้างนอก
ทุกคนต่างตะลึง รีบตามขึ้นไปด้วยเหมือนกัน
เวลานี้ข้างนอกมืดๆ เงียบๆ อย่าพูดถึงคนเลย แม้แต่เสาไฟฟ้ายังไม่มีเลย
แต่ท่านปู่ชิวกลับสามารถเดินบนทางเขาคดเคี้ยวเลี้ยวลดเหมือนกับกำลังเดินบนถนนเรียบอยู่ ส่วนในเรื่องนี้พวกจิ่งหนิงกลับทำไม่ได้
ลู่จิ่งเซินจูงมือจิ่งหนิงไว้ กู้ซือเฉียนจูงมือเฉียวฉีไว้ ทั้งสี่คนพยายามตามไม่หยุด ในที่สุดก็สามารถตามเขาทัน ไม่ได้เดินหลงทาง
ในใจกำลังสงสัยอยู่ว่าเขากำลังจะไปที่ไหน กลับเห็นเขาขึ้นไปเนินเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง บนเนินเขาก็คือสุสานของท่านย่าชิวนั่นเอง
เฉียวฉีเปลี่ยนสีหน้า
“ท่านมาที่นี่ทำไมอีกแล้ว”
กู้ซือเฉียนส่งสัญญาณให้เธออย่าเพิ่งพูด ทุกคนบินขึ้นไปเนินเขาเล็กๆ ก็เห็นท่านปู่ชิวกำลังนั่งยองต่อหน้าสุสาน กำลังขุดอะไรสักอย่างแรงๆ อยู่
จิ่งหนิงตื่นตัวทันที แป๊บเดียวก็เข้าใจได้แล้ว
เธอผลักลู่จิ่งเซินออกไป “ไปช่วยสิ”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้า แกะกระดุมแขนเสื้อออก พับแขนเสื้อขึ้นมา เดินไปนั่งยองช่วยเขาขู่ด้วยกัน
หลุมนี้ฝังได้ไม่ตื้น เนื่องจากช่วงนี้ไม่เคยฝนตกเลย ดินแห้งมาก ใช้แค่มือขุดลึกยากมาก
ลู่จิ่งเซินจึงเดินไปข้างๆ หักกิ่งไม้ที่หนาเท่าแขนมานั่งยองขุดต่อ
ใช้เวลาประมาณสองนาทีก็ขุดของออกมาได้แล้ว
เห็นแต่ว่านั่นคือผ้าเช็ดหน้าสีเทาผืนหนึ่ง
ท่านปู่ชิวเอาผ้าเช็ดหน้านั้นออกมาข้างนอก หลังจากเอาออกมาแล้วก็รีบเปิดผ้าเช็ดหน้าออกมาทันที สิ่งที่ห่อไว้ข้างใน ก็คือแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์อันใสเป็นประกายสวยงามหนึ่งแผ่น
แต่ละคนต่างอึ้งกันอย่างมาก
ท่านปู่ชิวมองแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ก้อนนั้นด้วยแสงจันทร์มัวหมอง พยักหน้าและยิ้มว่า: “ยังดี ยังดีที่ไม่หาย”
จิ่งหนิงออกสีหน้าดีใจ “ท่านปู่ ที่อยู่ในมือท่านก็คือแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ก้อนนั้นใช่ไหม”
ท่านปู่ชิวมองเธอแวบหนึ่ง “ใช่แล้ว ก็คือแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์”
เขาพูดอยู่และเก็บของไว้ โบกมือ “ไป เรากลับไปก่อนแล้วคุยกัน”
ดังนั้น ทุกคนจึงรีบเดินกลับไปทางวิลล่าอีก
กลับมาถึงวิลล่า ปิดประตู ท่านปู่ชิวให้พวกเขานั่งลง จากนั้นตัวเองนั่งลงตรงที่นั่งเจ้าของบ้าน หยิบแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์แผ่นนั้นออกมาอย่างมือสั่น วางไว้บนโต๊ะ
“เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว ฉันก็ไม่ปิดบังทุกคนแล้ว บอกความจริงให้พวกแกเลยแล้วกัน เรื่องของแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์นี้ ความจริงฉันรู้ตั้งนานแล้ว ตอนนั้นที่ครึกโครมอยู่ต่างประเทศ ฉันเคยเห็นสิ่งนี้ในหนังสือพิมพ์โดยบังเอิญ เลยจำได้ว่าเหมือนฉันจะมีก้อนหนึ่งที่คล้ายๆ กับก้อนนี้
ฉันจึงเอาออกมาดู เอ๊ะ บังเอิญจริงๆ เลย ก็คือก้อนนี้ไง ตอนนั้นเสี่ยวฮัวยังไม่ได้ถูกคนลักพาตัวไป ในใจฉันคิดว่าของนี้ก็ไม่ได้พิลึกอย่างที่ข้างนอกลือกันอย่างนั้นนิ จึงไม่ได้ใส่ใจมากสักเท่าไหร่
หลังๆ มา ฉันเห็นว่าร่างกายของฉันเริ่มแย่ลงกว่าเดิมแล้ว ฉันรู้ว่าของอยู่ที่นี่กับเรา คือพวกเราไม่เชื่อประสิทธิผลของมันหรอก แต่คนอื่นเขาเชื่อกันไง
เสี่ยวฮัวอายุยังน้อย เป็นคนบริสุทธิ์ ไม่ค่อยมีประสบการณ์ทางสังคมเท่าไหร่ ฉันกลัวเธอราษฎรเดิมไม่มีความผิด แต่เพราะมีหยกกับตัวจึงมีความผิด บวกกับของนี่ยังพิลึกเช่นนี้ ทุกคนเพื่อที่จะแย่งมันให้ได้ แย่งจนหัวแตกเลือดไหล สิ้นเนื้อประดาตัว
ฉันคิดว่าสิ่งนี้ไม่ควรเรียกว่าเครื่องราง แต่ควรเรียกว่าภัยพิบัติอันตราย ถ้าเป็นภัยพิบัติอันตรายแล้ว ก็ไม่ต้องเหลือไว้ในโลกนี้อีกแล้ว ดังนั้นฉันจึงหาคืนหนึ่งแอบฝังมันไว้ข้างๆ สุสานของภรรยาผม
แต่นึกไม่ถึงเลย ผ่านไปไม่นานเสี่ยวฮัวก็เกิดเรื่องแล้ว ฉันรู้ว่าหลี่เก๋อเป็นคนลักพาตัวเธอไป หลี่เก๋อเป็นคนรุ่นหลังของหลี่จง ฉันก็ไม่ได้อยากแจ้งตำรวจมีเรื่องกับเขา อีกอย่าง ถ้าแจ้งตำรวจจริงๆ เอาเรื่องในอดีตนั้นขึ้นมา ไม่แน่ใครจะเป็นคนติดคุกกันแน่
เพราะฉะนั้นฉันจึงคิดว่า ถ้าเขาอยากได้จริงก็เอาให้เขาไปเลยละกัน แต่ฉันก็ไม่ได้โง่ ถ้าเกิดว่าฉันเองของให้เขาแล้ว แต่เขาไม่ปล่อยคนจะทำยังไง
ดังนั้นฉันก็ไม่ได้ขุดเอาของออกมา คืนนี้เขานัดเจอกับฉัน ฉันคิดจะคุยกับดูก่อนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แค่เขายอมปล่อยคน ฉันเห็นคนปลอดภัยแล้ว ฉันก็จะบอกเขาของถูกฝังไว้ที่ไหนทันที ถ้าเขาไม่เชื่อ ฉันขอแลกตัวประการกับเขา ฉันมัดมือมัดขาไว้พาเขาไป แค่เขายอมปล่อยเสี่ยวฮัวไป
แต่วันนี้เขาไม่ได้พาเสี่ยวฮัวมาตามที่ตกลงกันไว้ ใจฉันนี่สงบลงไม่ได้เลย รู้สึกตลอดเลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วหรือเปล่า ตอนนี้ถ้าพวกคุณยอมช่วยเธอให้ฉัน ฉันก็ไม่อ้อมค้อมกับพวกคุณแล้ว ฉันเชื่อพวกคุณ เพราะฉะนั้นถึงแม้ตอนนี้ยังช่วยคนออกมาไม่ได้ก็ตาม แต่ฉันยอมเอาของให้พวกคุณ ถ้าพวกคุณหลอกฉัน ฉันมีวิธีเอากลับมาแน่นอน ถ้าพวกคุณไม่ได้หลอกฉัน สิ่งนี้เอาให้พวกคุณก็ยังดีกว่าตกอยู่ในมือของหลี่เก๋อ”
พอเขาพูดจบ ทุกคนจึงเข้าใจว่าท่านปู่ที่อยู่ข้างหน้าคนนี้จริงๆ แล้วไม่ได้ขี้งกแปลกประหลาดอย่างที่พวกเขาคิดแบบนั้นเลย
การหาเรื่องเหล่านั้นของเขาก่อนหน้านี้ ก็แค่อยากยั่วให้พวกเขาไป แล้วค่อยเอาของไปช่วยเหลนสาวของตัวเองเท่านั้น
ส่วนตอนนี้ ตัวเองยังไม่ได้ช่วยคนออกมาเลย แต่เขากลับเอาของออกมาให้แล้ว เห็นความจริงใจของท่านได้เลย
ลู่จิ่งเซินลุกขึ้นมา ยกมือทำความเคารพกับเขาอย่างนับถือ
“ท่านผู้อาวุโสมีคุณธรรมสูงส่ง ก่อนหน้านี้พวกเราเข้าใจท่านผู้อาวุโสผิดแล้ว ผมขอโทษกับท่านในที่นี้”
ท่านปู่ชิวโบกมือ หัวเราะอย่างรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“ท่านผู้อาวุโสอะไรเล่า ฉันเป็นท่านผู้อาวุโสได้ซะที่ไหน ตอนเป็นวัยรุ่นก็ขุดของในดิน ตอนนี้แก่แล้ว ขอแค่สงบสุขและปลอดภัยก็เท่านั้น ฉันก็รู้ คนที่ทำอาชีพนี้อย่างพวกเราเนี่ยจบไม่ดีหรอก หลี่เก๋อเขาถ้าเกลียดฉันจริงๆ จะมาเอาชีวิตของฉัน ฉันจะยกให้เขาโดยที่ไม่พูดอะไรเลย แต่เสี่ยวฮัวไม่เกี่ยว เธอยังเป็นเด็กสาวอายุสิบแปดปีที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เธอผิดตรงไหน หรือเธอสมน้ำหน้าที่ตายในมือของโจรเหล่านั้นจริงๆ เหรอ”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้า “สิ่งที่ท่านพูดมาถูกต้องแล้ว คุณเสี่ยวฮัวไม่เกี่ยวอยู่แล้ว ก็เพราะว่าเธอไม่เกี่ยว ดังนั้นไม่ว่ายังไงพวกเราก็จะช่วยเธอออกมาแน่นอน”