วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 960 เจอกันที่บ่อนกาสิโน
ถึงแม้ลู่หลันจือจะไม่น่าเชื่อถืออยู่ตลอด แต่ก็มีชื่อเสียงเรื่องความใจกว้างกับคนรอบข้าง
รวมถึงสถานะอันโดดเด่นของเธอ พ่อแม่ก็เป็นผู้บุกเบิกแผ่นดิน หลานชายก็เป็นผู้บริหารบริษัทลู่ซื่อกรุ๊ปแห่งแรกในประเทศจีน
ด้วยเหตุนี้หลายปีที่ผ่านมานี้ ถึงเธอจะหย่าร้างไปแล้ว แต่ชีวิตส่วนตัวก็ยังมั่งคั่งอยู่ตลอด เหล่าหนุ่มน้อยตามมาติดๆ ไม่รู้ตั้งเท่าไร
ลู่หลันจือมีความสุขอย่างสง่าผ่าเผย เนื่องจากในปีนั้นนายหญิงพูดออกมาแล้วว่าไม่อนุญาตให้เธอเข้ามามีส่วนร่วมในบริษัท ในใจเธอก็รู้ดี นายหญิงไม่ตั้งใจจะแบ่งบริษัทให้เธอส่วนหนึ่ง ดังนั้นเลยล้มเลิกความคิดที่จะมีลูก
อย่างไรแล้วถ้าลูกคนนี้เกิดมา ก็มีศักดิ์เทียบเท่าลู่จิ่งเซิน แต่ระหว่างพี่น้องต่างกันราวฟ้าและดิน เรื่องนี้อย่างไรแล้วเธอก็ไม่สามารถยอมรับได้
ดังนั้นถ้าเกิดมาแล้วโดนปฏิบัติอย่างเย็นชา สู้ไม่เกิดดีกว่า
ลู่หลันจือคิดในแง่ดีมาก เธอรู้ถึงแม้ตอนนี้ลู่จิ่งเซินจะดูถูกข่มเหงตน แต่ในใจเขาก็ยังเห็นตัวเองเป็นน้าอยู่
ถ้าแก่เฒ่าแล้วจริงๆ ตัวเองไม่มีความสามารถแล้ว ลู่จิ่งเซินก็ไม่ทอดทิ้งเธอไม่สนใจหรอก
ดังนั้น เธอไม่มีอะไรต้องกังวลเลย วันนี้มีเหล้าก็เมาก่อน มันเป็นเรื่องที่ดี
สภาพจิตใจเช่นนี้ยิ่งทำให้เธอใจกว้างไม่ตระหนี่ขึ้นเรื่อยๆ และเหล่าหนุ่มน้อยที่ถูกสถานะและความสวยของเธอดึงดูด ก็ยิ่งแย่งชิงเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
ลู่หลันจือพาเห้อหยวนไปเดินเล่นสักรอบ และได้ยินข้อมูลที่ตัวเองสนใจไม่น้อยเลยอย่างที่คิดไว้
เธอถึงได้รู้ ที่แท้สมาคมพนันหินในครั้งนี้ ก็คือพ่อค้าอัญมณีผู้ยิ่งใหญ่ต่างชาติเป็นผู้จัดขึ้น เหมืองแร่พวกเขาไม่ได้อยู่ในประเทศ แต่อยู่ประเทศT
เธอต้องการลงทุนเหมืองแร่ ก่อนหน้านี้ก็เคยส่งคนไปสอบถามสถานที่เหมืองแร่ที่มีชื่อเสียงไม่กี่แห่งในเมืองTมาก่อน แต่ไม่ได้ยินเลยว่าช่วงนี้มีขุดหยกชั้นดีอะไรออกมาได้
ไม่รู้คนกลุ่มนี้ ครั้งนี้ขุดมาจากที่ไหน?
ขณะที่กำลังคิดในใจ ก็ได้ยินเสียงอุทานดังมาจากด้านหน้า
เธอพาเห้อหยวนเดินไป แค่เห็นคนกลุ่มหนึ่งล้อมรอบ พอไปสอบถาม ถึงได้รู้ว่าที่แท้ก็มีคนซื้อหิน ตัดหินตรงนั้น แล้วพบว่ามันคือหยกชั้นดี
เธออยากรู้อยากเห็น ให้เห้อหยวนรออยู่ด้านนอก ตัวเองเบียดเข้าไปดูสักหน่อย
เมื่อเห็นมัน ดวงตาก็เป็นประกายอย่างช่วยไม่ได้
หยกชั้นดีอย่างที่คิดไว้เลย!
แค่เห็นคนคนหนึ่งโอบหินขนาดใหญ่ ตัดจนเป็นมุมยื่นออกมา ความมันเงาเขียวมรกตเหมือนน้ำเปล่งปลั่งออกมา แค่เห็นก็รู้แล้วว่าอย่างน้อยก็เป็นหยกชั้นดีระดับสีเขียวจักรพรรดิ
ผู้คนรอบๆ ตื่นเต้นมาก แต่ละคนเดากันว่าหยกชิ้นดีใหญ่แค่ไหน
ปากหลายๆ คนย่อมสามารถละลายทองได้ พูดออกมาทุกอย่างโดยธรรชาติ ลู่หลันจือมองจากประสบการณ์ตัวเอง หยกชิ้นนั้นไม่มีทางเล็ก อย่างน้อยก็น่าจะใหญ่สี่กำปั้น
หยกชิ้นใหญ่ขนาดนี้ จะมีมูลค่าเท่าไรกันนะ!
ต่อมา เมื่อรู้ว่าคนคนนั้นซื้อหยกชิ้นนี้ ใช้เงินไปมากกว่าสองล้านกว่าหยวน ดวงตาก็แดงอย่างช่วยไม่ได้
เธอรีบถอยออกมาจากฝูงชน กำลังจะหาคนไปสอบถามเจ้าของของที่นี่ จู่ๆ ก็มีร่างมาชน
ลู่หลันจือไม่ได้สังเกต ก็โดนชนจนเซ จึงตะคอกโดยไม่รู้ตัว “ใครอ่ะ? เดินไม่เอาตามาด้วยเหรอ?”
“ขอโทษค่ะ ขอโทษ……”
เสียงผู้หญิงอ่อนโยนดังขึ้น เธอเงยหน้าขึ้นมามอง ก็ตกตะลึงทันที
แค่เห็นผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งยืนตรงหน้า อายุไม่ต่างจากเธอมาก บุคลิกอ่อนโยน และใบหน้าสวยงาม
ผู้หญิงคนนั้นสวมชุดเดรสสีอ่อน ผมยาวม้วนขึ้นไป เผยคอระหงยาวสวย ทั้งๆ ที่เข้าสู่วัยกลางคนแล้ว แต่ทั้งร่างกลับมีความรู้สึกสวยมีเสน่ห์ของหญิงสาวอย่างบอกไม่ถูก
สีหน้าเธอมืดลงทันที
ผู้หญิงสวย มักจะไม่ชอบผู้หญิงสวยอีกคนโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายสวยกว่าตน
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าเกลียดเพศเดียวกัน
เธอทำหน้าเย็นชา “ไม่เห็นเหรอว่าตรงนี้มีคน? ชนโดยประมาท บาดเจ็บแล้วเธอจะรับผิดชอบไหม?”
ผู้หญิงคนนั้นยิ้มประจบสอพลออย่างรู้สึกผิด “ขอโทษจริงๆ ค่ะ เมื่อกี้ฉันรีบตามหาคน เลยไม่ได้ระวัง เอาแบบนี้ไหมคะ คุณดูสิว่าคุณบาดเจ็บตรงไหน ถ้าจำเป็นฉันจะชดใช้ค่ารักษาพยาบาลให้คุณได้นะคะ หรือไม่ก็พาคุณไปตรวจที่โรงพยาบาล?”
เมื่อลู่หลันจือได้ยิน ก็ยิ่งโกรธทันที
“ใครอยากได้ค่ารักษาพยาบาลจากเธอ? นี่เธอดูถูกฉันเหรอ? คิดว่าฉันรีดไถเงินเธอเหรอ? เธอรู้ไหมว่าฉันเป็นใครถึงได้กล้าพูดกับฉันแบบนี้!”
เสียงแหลม ดึงดูดคนที่เดิมทีชมการตัดหินอยู่ข้างๆ ให้หันศีรษะมาทีละคน
สีหน้าผู้หญิงคนนั้นค่อนข้างกระอักกระอ่วน ดูเหมือนตกใจกลับกับสถานการณ์แบบนี้ มือไม้อ่อนไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
ในเวลานี้ ชายผู้ใส่สูทลำลองคนหนึ่งก็รีบเดินเข้ามา
“ไฉ่เวย!”
ผู้หญิงที่เดิมทีกระวนกระวายทำอะไรไม่ถูก ทันใดนั้นก็เหมือนหาที่พึ่งได้ รีบเดินเข้าไป
“เชวซู่”
“เกิดอะไรขึ้น?”
ชายที่ถูกเรียกว่าเชวซู่จับมือเธอไว้ ขมวดคิ้วแน่น แล้วมองลู่หลันจือ
โม่ไฉ่เวยส่ายหน้า แววตารู้สึกผิด “ขอโทษนะเชวซู่ ฉันเหมือนก่อเรื่องให้คุณอีกแล้ว ฉัน……”
ลู่หลันจือขัดคำพูดเธอ
“เฮ้! นี่ผู้ชายของเธอใช่ไหม? ชนคนแล้วไม่ขอโทษแถมยังทำท่ามั่นใจอีก ทำไม? อยากลากผู้ชายของเธอมาช่วยเธอสนับสนุนเหรอ?”
คำพูดของเธอ ยิ่งทำให้โม่ไฉ่เวยกระอักกระอ่วน
อยากอธิบาย แต่เพราะความกดดันของอำนาจเธอ สุดท้ายประโยคเดียวก็ไม่สามารถพูดออกมาได้
จากคำพูดของทั้งสองคน เชวซู่วิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นได้แล้ว
เขาดึงโม่ไฉ่เวยไว้ด้านหลัง มองลู่หลันจือด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“ขอโทษครับ คุณผู้หญิงท่านนี้ ที่ภรรยาผมชนคุณโดยไม่ได้ระวัง ผมขอโทษคุณแทนเธอด้วย แต่นี่ไม่ใช่ข้ออ้างที่คุณจะดูหมิ่นคนอื่นตามใจชอบไหม?”
สิ่งที่ลู่หลันจือเกลียดมากที่สุดในที่ชีวิตคือมีคนขัดแย้งตน
ปกติอยู่ตระกูลลู่ นั่นเพราะรู้ว่าตนไม่มีสิทธิ์พูด ก็เลยถ่อมตัวต่ำต้อย
แต่อยู่ข้างนอก ใครเจอเธอแล้วไม่เรียกเธอว่าคุณลู่ด้วยความเคารพ?
ตอนนี้ผู้ชายคนนี้กลับใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับเธอ ความโกรธของลู่หลันจือเพิ่มขึ้นทันที
“ฉันดูหมิ่นเหรอ? ฉันดูหมิ่นหล่อนแล้วมันทำไม? ถ้าหล่อนไม่ชนฉัน ฉันจะว่าหล่อนได้เหรอ? ทำไม? พวกเธอชนคนแล้วยังดูมีเหตุผลอีกใช่ไหม?”
ท่าทางไม่มีเหตุผลของเธอ ทำให้เชวซู่ขมวดคิ้วแน่นขึ้น ความเกลียดชังเคลื่อนผ่านดวงตาอย่างรวดเร็ว
ผู้คนโดยรอบถูกดึงดูดมากขึ้นเรื่อยๆ โม่ไฉ่เวยสีหน้าอับอาย ดึงแขนเสื้อเขา
“เชวซู่ ช่างเถอะ”
เชวซู่รู้ว่าเธอกลัวการถูกล้อมรอบ จึงปกป้องเธอไว้ในอ้อมแขน พูดขึ้นเสียงเข้ม “คุณผู้หญิง ภรรยาผมใจดีและอ่อนโยน ไม่อยากโต้เถียงกับคุณ ในเมื่อคุณบอกว่าเธอชนคุณ ได้ คุณต้องการอะไรก็พูดมาตรงๆ ไม่จำเป็นต้องโวยวายเสียงดังที่นี่”
ลู่หลันจือเห็นอีกฝ่ายอ่อนลง จึงทำเสียงฮึดฮัดเย็นชาอย่างภูมิใจ
“ฉันก็ไม่ต้องการอะไรหรอก คุณแค่ให้เธอพูดคำว่าขอโทษค่ะสามคำกับฉันต่อหน้าทุกคนก็พอแล้ว”
โม่ไฉ่เวยได้ยินดังนั้น ก็รีบพูดคำว่าขอโทษค่ะสามคำด้วยเสียงทุ้มต่ำ
สีหน้าเชวซู่ย่ำแย่มาก ไม่ได้โกรธที่โม่ไฉ่เวยขอโทษเธอ แต่โกรธที่ผู้หญิงตรงหน้าค้านหัวชนฝา และหยิ่งผยองเกินไป
เขามองลู่หลันจืออย่างเย็นชาดุดัน “โอเค ตอนนี้ขอโทษจบแล้ว เราไปได้แล้วใช่ไหม?”