วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 964 มาหาเธอเพื่อลงทุน
ที่ตระกูลลู่ ถ้าถามว่าที่นั่นใครมีเงิน ก็แน่นอนว่าต้องเป็นลู่จิ่งเซิน
แต่ลู่หลันจือไม่กล้าไปหาลู่จิ่งเซินตรงๆ อย่างไรแล้วหลานชายตัวเองคนนี้ มีชื่อเสียงเรื่องมีเหตุผลกับคนภายนอก แต่สำหรับน้าของตัวเองนั้นไม่มีเหตุผลเลย
บางครั้งเธอก็สงสัยอย่างรุนแรง ว่าเขาคือหลานชายคนนั้นที่ตัวเองเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโตหรือเปล่า
แต่ผู้ชายน่ะ แต่งานแล้วก็เป็นแบบนี้กันหมด มีภรรยาแล้วก็ลืมแม่ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ดังนั้นเรื่องนี้ เธอไม่สามารถไปพูดกับลู่จิ่งเซินโดยตรง แต่ต้องไปคุยกับจิ่งหนิงก่อน ลองไปรับฟังความคิดเห็นก่อน
ดังนั้น ลู่หลันจือตัดสินใจแล้ว ก็ขับตรงไปที่ชั้นล่างตึกอานหนิงกั๋วจี้
ในเวลานี้ จิ่งหนิงยังทำงานอยู่
เธอโทรหาจิ่งหนิง เมื่อเชื่อมต่อได้ก็รีบยิ้มอย่างรักใคร่แล้วพูดขึ้น “คือหนิงหนิงอ่า เธอทำงานอยู่ไหม?”
ฝั่งตรงข้าม จิ่งหนิงค่อนข้างประหลาดใจ “ใช่ค่ะ คุณน้ามีเรื่องอะไรเหรอคะ?”
“ไม่มีอะไรๆ นี่ฉันเห็นว่าจะกลางวันแล้ว อยากชวนเธอไปกินอาหารกลางวันด้วยกัน ที่ร้านอาหารกวางตุ้งร้านนั้นแถวบริษัทพวกเธอโอเคไหม? ฉันรู้เธอชอบกินอาหารรสจืด อาหารที่นั่นรสจืดเป็นพิเศษ”
จิ่งหนิงหัวเราะเบาๆ “คุณน้ามีเรื่องอะไรพูดได้เลยค่ะ ตอนกลางวันฉันมีประชุม กลัวว่าจะหาเวลาออกไปไม่ได้”
“อุ๊ยตาย กองทัพต้องเดินด้วยท้อง กินข้าวไม่เสร็จจะไปประชุมได้ไง? แถมตอนนี้เธอท้องอยู่ด้วยนะ ทำงานหนักขนาดนั้นไม่ได้นะ ฉันไม่สน ฉันอยากให้เธอออกมากินข้าวเป็นเพื่อนฉัน ฉันรอที่ร้านกวางตุ้งที่บอกไปก่อนหน้านี้นะ เธอต้องมา”
พูดจบ ก็วางสายไปทันที
จิ่งหนิงไม่คิดว่าเธอจะทำแบบนี้โดยตรง มองสายที่วางไปแล้ว ก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกชั่วขณะหนึ่ง
เสี่ยวเหอเข้ามาจากด้านนอก วางรายงานกองหนึ่งบนโต๊ะทำงานของเธอ แล้วพูดขึ้น “เจ้านายคะ นี่คือรายงานไตรมาสที่แล้วของซิงฮุย คุณดูหน่อยนะคะ”
จิ่งหนิงพยักหน้า แล้วดูเวลาอีกครั้ง
“ตอนบ่ายฉันค่อยมาดูแล้วกัน ตอนนี้ฉันต้องออกไปข้างนอกสักหน่อย ฉันอ่านจบแล้วจะส่งอีเมลกลับไปให้เธอทันที”
เสี่ยวเหอพยักหน้า จิ่งหนิงหยิบเสื้อโค้ต หยิบกระเป๋าแล้วออกจากบริษัทไป
เมื่อเธอมาถึงร้านอาหารกวางตุ้ง พบว่าลู่หลันจือนั่งอยู่ด้านในแล้ว อาหารก็สั่งเรียบร้อยแล้วด้วย
ในห้องอาหารจุดธูปหอมอ่อนๆ ลู่หลันจือยิ้มพูดขึ้น “หนิงหนิงมาแล้ว รีบนั่งสิ เธอดูนี่สิอาหารสองสามอย่างนี้ที่ฉันสั่งเป็นของโปรดเธอทั้งนั้นเลย แล้วก็ธูปหอมอันนี้ มันคือธูปหอมสำหรับหญิงตั้งครรภ์โดยเฉพาะ ไม่ทำลายสุขภาพ เธอวางใจได้”
จิ่งหนิงยิ้ม นั่งลงฝั่งตรงข้ามเธอ “ทำไมวันนี้คุณน้าดูดีใจขนาดนี้ นึกอยากนัดฉันกินข้าวขนาดนี้ล่ะคะ?”
ลู่หลันจือยิ้มกระอักกระอ่วน นิ้ววางไว้ใต้โต๊ะ ประสานกันอย่างไม่สบายใจและประหม่า
“คือ……ฉันรู้ว่าไม่กี่ปีมานี้ฉันปฏิบัติไม่ค่อยดีกับเธอ น้าอายุมากแล้วไง อารมณ์ไม่ค่อยดี เธอต้องเข้าใจหน่อยนะ คราวก่อนคำพูดพวกนั้นที่ฉันพูดที่บ้านเธอก็เป็นคำพูดเพราะโมโห เอาจริงเอาจังไม่ได้ เธออย่าโกรธฉันเพราะคำพูดพวกนั้นเด็ดขาดเลยนะ”
จิ่งหนิงชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้ม
“คุณน้าไม่ต้องเป็นห่วง ฉันไม่ได้โกรธค่ะ”
“งั้นก็ดีแล้ว งั้นก็ดีแล้ว” ลู่หลันจือยิ้ม เหลือบมองเธอ แล้วรีบพูดขึ้นอีกครั้ง “กินข้าว กินข้าวก่อน เรากินข้าวเสร็จค่อยคุยกัน”
จิ่งหนิงเห็นว่าเป็นแบบนี้ ก็ไม่ฝืนใจ
เธอยุ่งมาทั้งเช้า เดิมทีก็หิวแล้ว ถ้าลู่หลันจือไม่เรียกเธอออกมา คาดว่าเธอก็คงทานอาหารในบริษัทโดยตรง
เดิมทีแล้วลู่จิ่งเซินไม่อยากให้เธอเหนื่อยขนาดนี้หรอก แต่เธอชอบทำงาน ดังนั้นลู่จิ่งเซินจึงห้ามเธอไม่ได้
โชคดีตอนนี้เธอท้อง ไม่ทานอาหารห่อกลับบ้าน ลู่จิ่งเซินเตรียมครัวขนาดเล็กให้เธอที่บริษัท ได้เวลาก็จะบังคับให้เธอหยุดแล้วมาทานอาหาร ถือว่าเป็นการรักษาโภชนาการ
ทั้งสองทานอาหารกันอย่างเงียบๆ ถึงแม้ลู่หลันจือจะมีข้อบกพร่องมาก แต่อย่างไรแล้วก็โตมากับตระกูลลู่ตั้งแต่เด็ก การเลี้ยงดูในชีวิตก็ไม่ต้องพูดถึง ยามรับประทานอาหารไม่สนทนา ยามนอนไม่พูดคุย
ด้วยเหตุนี้ นอกจากเสียงเคี้ยวทานอาหารบนโต๊ะอาหารแล้ว ก็ไม่มีใครพูดอะไรอีกเลยในชั่วขณะหนึ่ง
จนกระทั่งทานอาหารเสร็จ จิ่งหนิงวางชามตะเกียบลง ก็หยิบทิชชูมาเช็ดปากอีกครั้ง ก่อนจะมองไปทางลู่หลันจือที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
“ตอนนี้กินเสร็จแล้ว คุณน้ามีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะค่ะ ฉันต้องรีบกลับบริษัท จะอยู่ที่นี่นานเกินไปไม่ได้”
ลู่หลันจือเห็นว่าเป็นเช่นนี้ ก็รีบวางชามตะเกียบลง และไม่อ้อมค้อม พูดขึ้นตรงๆ “วันนี้ฉันไปที่สมาคมพนันหินมา รู้จักเจ้าของคนหนึ่งที่ใช้ประโยชน์เหมืองแร่ด้วยตัวเอง เขาบอกว่าเขาเจอเหมืองอัญมณีที่ไม่มีใครเคยขุดที่ประเทศT อยากร่วมมือกับฉันซื้อเหมืองแร่แห่งนี้ด้วยกัน”
จิ่งหนิงเลิกคิ้ว
ลู่หลันจือพูดต่อ “หนิงหนิง เธอก็รู้ หลายปีที่ผ่านมานี้น้าทำธุรกิจมาเยอะมาก แต่ก็มีไม่กี่อย่างที่สำเร็จ ถึงปกติฉันจะมีกินมีใช้ ดูแล้วก็อยู่ดีกินดี แต่ในใจฉันก็มักรู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่าง ไม่ค่อยสบายใจ ครั้งนี้ฉันคิดว่าเป็นโอกาสที่ดี อยากจะลองดูมากเลย แต่ด้านเงินทุนลำบากนิดหน่อย”
จิ่งหนิงยิ้มพูดขึ้น “เหมืองแร่ที่อีกฝ่ายบอกอยู่ส่วนไหนของประเทศT คุณเข้าใจมันแล้วหรือยัง?”
ลู่หลันจือส่ายหน้า “ฉันถามแล้ว เขาไม่ยอมพูดอ่า บอกว่าต้องรู้ก่อนว่าฉันมีความสามารถในการถือหุ้น ถึงจะยอมบอกฉัน นี่ฉันมีเงินไม่พอ ก็เลยต้องกลับมารวบรวมไม่ใช่เหรอ?”
จิ่งหนิงพยักหน้า
ธุรกิจอัญมณี เพราะตระกูลของจี้หลินยวนเมื่อก่อนเคยเริ่มทำ ดังนั้นเธอจึงเข้าใจไม่น้อย
รู้ว่าเหมืองแร่ที่ไม่มีใครพบแบบนี้ มันเป็นทรัพยากรที่มีค่ามาก ปกติแล้วเพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้ จะเก็บข้อมูลเป็นความลับมากจริงๆ ไม่บอกคนนอกง่ายๆ
เธอคิดแล้วถามขึ้น “คุณยังขาดเงินเท่าไร?”
ลู่หลันจือค่อนข้างกังวล “อีกฝ่ายอยากให้ฉันออกพันห้าร้อยล้าน ตอนนี้ในมือฉันมี……สี่ร้อยล้าน”
จิ่งหนิงตกตะลึง ค่อนข้างประหลาดใจ
“พันห้าร้อยล้าน? เยอะขนาดนี้เลยเหรอ?”
ลู่หลันจือมีรอยยิ้มกระอักกระอ่วน “มันเยอะหน่อยน่ะ แต่ถ้าเราลองคิดอีกมุม การลงทุนขนาดใหญ่ แสดงว่าเหมืองแร่มันใหญ่มากเลย ไม่งั้นเหมืองแร่ขนาดเล็กปกติมันต้องการเงินเยอะขนาดนี้ที่ไหนกัน?”
จิ่งหนิงคิด นี่มันก็จริง
แต่เธอยังรู้สึกค่อนข้างสงสัย ด้วยเหตุนี้จึงพูดขึ้นเสียงเรียบ “เรื่องนี้มันใหญ่เกินไป ฉันคนเดียวไม่มีทางตัดสินใจได้ ถ้าคุณต้องการลงทุนจริงๆ เกรงว่าต้องลองคุยกับจิ่งเซินค่ะ”
ลู่หลันจือพยักหน้าซ้ำๆ “ฉันรู้ๆ มันเกี่ยวข้องกับเงินทุนมหาศาลขนาดนี้ ฉันยอมให้เธอแบกรับไม่ได้หรอก ต่อไปฉันจะไปคุยกับจิ่งเซิน เธอก็รู้ จิ่งเซินน่ะไม่ค่อยเชื่อใจฉัน เขาเชื่อใจแค่เธอ ถ้าฉันไปเอ่ยปาก เขาต้องไม่ตกลงแน่ๆ ตอนนี้พ่อแม่ก็เข้าข้างเขา ในใจในสายตาก็มีแค่หลานรักอย่างเขาเท่านั้น ลูกสาวอย่างฉันคนนี้ไม่มีสถานะ ฉันไม่มีทางเลือกน่ะ ทำได้แค่มาหาเธอ หนิงหนิง ฉันไม่ขออะไรอย่างอื่น แค่หวังว่าถึงตอนนั้นที่ฉันไปคุยกับจิ่งเซิน เธอมาอยู่ข้างๆ ช่วยฉันพูดหน่อยได้ไหม?”
จิ่งหนิงมองเธอ แค่เห็นใบหน้าลู่หลันจือ แฝงไปด้วยคำวิงวอนอย่างระมัดระวัง ซึ่งนี่มันหาได้ยากมากสำหรับเธอที่คุ้นเคยกับความมั่นใจสูง