วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 965 ความต้องการทางจิตใจ
เธอเม้มปาก พูดขึ้นเสียงเรียบ “ได้ค่ะ ฉันสัญญากับคุณ แต่คุณก็ต้องสัญญากับฉันหนึ่งเรื่อง”
ลู่หลันจือดีใจ รีบถามขึ้น “เรื่องอะไร?”
“ต่อไปห้ามพูดเรื่องพวกนั้นกับอานอานอีกนะคะ คุณน้า คุณก็รู้ว่าฉันรักและห่วงใหญ่อานอานเหมือนลูกตัวเองมาตลอด เธอก็คือลูกสาวแท้ๆ ของฉัน ฉันไม่อยากให้มีใครมายุความสัมพันธ์พวกเราให้แตกแยก โดยเฉพาะคนที่เป็นญาติของเรา”
ลู่หลันจือสีหน้าเปลี่ยนไป
จากความหวาดกลัว กลายเป็นความโกรธ สุดท้ายก็ละอายใจอย่างลึกซึ้ง
เธอก้มศีรษะเล็กน้อย น้ำเสียงค่อนข้างขาดความมั่นใจ “ฉัน……ฉันไม่ได้ตั้งใจ ตอนนั้นฉันโกรธเกินไป เป็นผีหลงสติปัญญาไปชั่วขณะหนึ่ง……”
“ฉันไม่สนว่าคุณทำไปเพราะอะไร” เสียงจิ่งหนิงเย็นชา แฝงไปด้วยความเข้มงวดที่ไม่เคยมีมาก่อน “สรุปแล้ว ต่อไปเรื่องแบบนี้ ฉันไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก”
“โอเค ฉันรับประกัน ต่อไปฉันจะไม่พูดมั่วๆ อีกแล้ว”
ลู่หลันจือรีบตกลง
จิ่งหนิงถึงได้พยักหน้า ยืนขึ้นมา
“คุณไม่ต้องเป็นห่วง ตอนที่คุณคุยกับจิ่งเซิน ฉันจะช่วยคุณพูด”
พูดจบ ก็หันตัวเดินออกไป
ลู่หลันจือมองแผ่นหลังเธอจากไป ถึงได้โล่งอกอย่างแรง
หลังจากจิ่งหนิงออกมาจากร้านอาหาร ก็ได้รับสายจากอานอาน
วันนี้วันอาทิตย์ อานอานใช้โทรศัพท์บ้านโทรมา
เมื่อเชื่อมติด ก็ได้ยินเสียงหวานของเด็กน้อย “แม่คะ แม่เลิกงานหรือยัง กินข้าวหรือยังคะ?”
จิ่งหนิงนั่งอยู่ในรถ อดยิ้มไม่ได้ “เลิกงานแล้ว กินข้าวแล้วด้วย อานอานกินข้าวหรือยังลูก?”
“อานอานก็กินข้าวแล้วค่ะ แต่อานอานคิดถึงคุณแม่ ก็เลยโทรมาหาคุณแม่”
“อย่างงี้นี่เอง” จิ่งหนิงคิดแล้วถามเธอ “วันนี้เป็นวันเกิดอานอาน เดี๋ยวรอแม่เลิกงานกลับไป ไปรับอานอานมาฉลองวันเกิดที่บ้านคุณย่าทวดด้วยกันดีไหม?”
อานอานร้องไชโยด้วยความตื่นเต้น “ดีค่ะ หนูอยากกินมูสเค้ก หนูอยากใส่ชุดเดรสที่สวยที่สุดด้วย”
“ได้ ให้ป้าหลิวหาชุดเดรสตัวเล็กสวยๆ ให้หนูนะ ใส่เสร็จแล้ว รอแม่กลับไปรับหนู”
“ได้ค่ะ แม่คะ หนูรักแม่นะ”
“แม่ก็รักหนูเหมือนกัน บ๊ายบายจ้ะ”
“บ๊ายบายค่ะแม่”
วางสายไปแล้ว เธอนั่งในรถ มุมปากยกยิ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
จากนั้น ก็ลงรถเดินไปที่ตึกใหญ่บริษัท
จิ่งหนิงทำงานตลอดเวลาจนถึงห้าโมงครึ่งถึงได้เลิกงาน
ลู่จิ่งเซินก็เลิกงานนานแล้วเช่นกัน ทุกคนรู้ว่าวันนี้คือวันเกิดเจ้าหญิงน้อย จึงเลิกงานล่วงหน้าโดยเฉพาะ กลับบ้านไปรับเธอมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน
จริงๆ แล้วเดิมทีพวกจิ่งหนิงชินกับการไปทานอาหารที่บ้านหลังเก่าในวันสุดสัปดาห์ อย่างไรแล้วปกติไม่จำเป็นต้องมา ทุกสัปดาห์ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนสองผู้อาวุโสให้ครึกครื้นอยู่แล้ว
วันนี้บังเอิญเป็นวันเกิดอานอานพอดี ได้มาฉลองร่วมกันพอดี
กลับถึงบ้าน ก็ไปรับเด็กน้อยคนโตและคนเล็กทั้งสองคน จากนั้นก็ขับออกไปที่บ้านหลังเก่า
ระหว่างทาง จิ่งหนิงก็คุยเรื่องลู่หลันจือกับลู่จิ่งเซิน
ลู่จิ่งเซินฟังจบ การตอบสนองแรกก็คือปฏิเสธอย่างที่คิดไว้
หลายปีที่ผ่านมานี้ ลู่หลันจือทำธุรกิจมามากมาย มีอุตสาหกรรมทุกประเภท แต่ไม่สำเร็จสักอย่าง ล้มเหลวหมดเลย
ลู่จิ่งเซินและท่านปู่ลู่ รวมถึงนายหญิงหชิน แทบจะเชื่อแล้วว่าเธอไม่เหมาะกับทำธุรกิจ
เห็นท่าทางคึกคักร้องตะโกน จริงๆ แล้วก็เป็นแค่เสือกระดาษ มีความคิดเห็นยิ่งใหญ่แต่สมองเรียบง่าย บ่อยครั้งที่ใครพูดไม่กี่คำล่อเหยื่อเธอก็ติดกับดักทั้งหมด
ผ่านไปตั้งหลายปี ก็ไม่รู้ว่าถูกหลอกเอาเงินไปเท่าไรแล้ว
ถูกหลอกเอาเงินก็ยังเป็นเรื่องเล็ก หลักๆ คือพูดออกไปแล้วมันน่าอาย
อย่างไรแล้วตอนที่ท่านปู่ลู่เป็นหนุ่ม เป็นรุ่นมีพรสวรรค์ นายหญิงหชินก็ถือว่าเป็นวีรสตรี ลู่จิ่งเซินยิ่งไม่ต้องพูด แม้แต่พ่อแม่ของลู่จิ่งเซินที่เสียไปตั้งแต่ยังวัยรุ่น ก็เป็นชายหญิงที่มีชื่อเสียงเรื่องพรสวรรค์
แต่พอมาถึงลู่หลันจือ ทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง นอกจากใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเก่ง ก็ทำอะไรอย่างอื่นไม่เป็น
ด้วยเหตุนี้ เรื่องการลงทุนพันห้าร้อยล้านนี้ ลู่จิ่งเซินไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน
แต่จิ่งหนิงมีความคิดไม่เหมือนเขา
เธอพูดขึ้นเสียงเรียบ “ปีนี้คุณน้าอายุสี่สิบปีแล้ว ไม่หุนหันพลันแล่นทำตามอำเภอใจเหมือนตอนเป็นสาวๆ หรอก ทำอะไรก็ละเอียดรอบคอบกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย และฉันมักรู้สึกว่าบางเรื่องเราไม่สามารถมองแค่ผลลัพธ์สุดท้ายและผลประโยชน์ที่จะได้รับเท่านั้น ยังมีความต้องการทางจิตใจของอีกฝ่ายด้วย”
ลู่จิ่งเซินหันไปมองเธอ “ความต้องการทางจิตใจ?”
“ใช่” จิ่งหนิงยิ้มเล็กน้อย “คุณเคยคิดไหม ทำไมคุณน้าลงทุนธุรกิจไปเยอะขนาดนั้นแล้วยังล้มเหลว แต่ครั้งนี้ถึงแม้ต้องลงทุนมหาศาลมาก เดิมทีแล้วเธอก็มีชีวิตที่สุขสบาย ถึงจะไม่ทำอะไรเลย แค่โบนัสทุกปีของลู่ซื่อก็พอที่จะทำให้เธอใช้ชีวิตที่ไร้กังวลแล้ว แต่ทำไมเธอยังยืนกรานจะต้องทำธุรกิจของตัวเองขนาดนี้ล่ะ?”
ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วขึ้นมา “ทำไมล่ะ?”
“เพราะรู้สึกถึงความสำเร็จไงล่ะ”
จิ่งหนิงมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง “ตระกูลลู่ของเรา ทุกคนล้วนมีพรสวรรค์ที่พระเจ้าประทานให้ เฉลียวฉลาดมาก ทำอะไรก็สำเร็จไปหมด มีแค่เธอคนเดียวที่ดูเหมือนทำอะไรก็ไม่สำเร็จ มักรู้สึกว่าเป็นตัวถ่วงของทุกคน เธอเป็นคน ทุกคนมีความนับถือตัวเอง ไม่มีใครอยากเป็นภาระคนอื่นไปตลอดหรอก เธอก็อยากให้ตัวเองทำผลงาน หรืออาชีพของตัวเองบ้าง” จริงๆ แล้วนี่เป็นเรื่องที่ดี แค่เมื่อก่อนเธอใช้วิธีที่ผิดทุกครั้งเท่านั้นเอง แต่ครั้งนี้ เท่าที่ฉันรู้ น่าจะค่อนข้างน่าเชื่อถือ เราสนับสนุนดูก็ไม่เสียหาย ถ้าสำเร็จล่ะ? ก็ถือเป็นการแก้ปัญหาความปรารถนาของเธอ ใช่ไหมล่ะคะ?”
คำพูดของเธอ ทำให้ลู่จิ่งเซินจมอยู่ในความคิด
ผ่านไปสักพักหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงเข้ม “ในเมื่อคุณพูดแบบนี้แล้ว งั้นก็ให้เธอลองอีกสักครั้ง”
จิ่งหนิงยิ้มเล็กน้อย “เราไม่ต้องให้เธอยืมทั้งหมด อย่าว่าแต่ทั้งหมดตระกูลลู่ แค่ให้ยืมเงินมหาศาลขนาดนี้ เกรงว่าจะกดดันเธอหนักมากแล้ว เธอเริ่มต้นก็ทำธุรกิจใหญ่ขนาดนี้ กลัวว่าจะรับความกดดันไม่ไหว แล้วกระวนกระวาย”
ลู่จิ่งเซินเลิกคิ้ว “แล้วความหมายคุณ……”
“เหมืองอัญมณีน่ะ ถ้าเป็นของจริง ไม่สนว่าจะลงทุนเท่าไร ก็ต้องได้กำไรแน่ๆ ไม่งั้นเราก็ถือว่าเอาเงินพวกนี้ไปลงทุนสิ เราก็ถือว่าเป็นพันธมิตรสักครั้ง”
ลู่จิ่งเซินได้ยินดังนั้น ก็ยิ้มทันที
“คุณนี่คิดทุกอย่างรอบคอบเพื่อเธอจริงๆ ถ้าคุณน้ารู้ จะต้องประทับใจตายแน่”
จิ่งหนิงก็เม้มปากยิ้ม “ฉันไม่ขอให้เธอประทับใจหรอก แค่อยากให้เธอราบรื่นดั่งใจหวัง ในอนาคตใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ ไม่ก่อปัญหาอีก”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็ทำตามที่คุณพูดทั้งหมด เราจะลงทุน”
หลังจากทั้งสองเจรจากันแล้ว ก็หยุดหัวข้อนี้
ไม่นานนัก รถก็มาถึงบ้านหลังเก่า
ลู่หลันจือมาถึงก่อนพวกเขา เห็นพวกเขาเข้ามา ก็รีบลุกขึ้น รอยยิ้มสุภาพจริงใจมากกว่าครั้งไหนๆ
“จิ่งเซิน หนิงหนิง อานอาน จิ้งเจ๋อ พวกเธอมาแล้วเหรอ รีบมานั่งเร็ว”
ขณะที่เธอพูด ก็เดินไปอุ้มจิ้งเจ๋อน้อยขึ้นมา
“โอ๊ยเจ้าตัวแสบ ทำไมหนักขึ้นอีกแล้ว? คุณย่ากูว จะอุ้มหนูไม่ไหวแล้วนะ”
จิ้งเจ๋อน้อยหัวเราะคิกคัก “คุณย่ากูว หนูไม่ใช่เจ้าตัวแสบ หนูเป็นเด็กดี”