วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 977 คุยส่วนตัว
จิ่งหนิงฟังจบก็ได้พยักหน้า
“แล้วตอนที่คุณรู้จักเธอ เธอก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วใช่ไหม”
เจ้านายหยูขมวดคิ้วเล็กน้อย ถอนหายใจว่า: “ใช่สิ ตอนนั้นที่ผมเจอเธอครั้งแรก ก็รู้สึกออกว่าเธอกับคนทั่วไปไม่เหมือนกัน เธอเหมือนมีความปรารถนาดีต่อโลกใบนี้อยู่ตลอด แต่ก็รู้สึกไวมากเช่นกัน ตกใจง่ายมาก ผมก็เดาว่าใช่เธอเคยผ่านอะไรมาก่อนหน้านี้หรือเปล่า”
เขายิ้มอย่างพะอืดพะอม “แน่นอนอยู่แล้ว เรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของเขา ผมก็ถามอะไรมากไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจ หลังจากเมื่อวาน ผมเพิ่งรู้ว่าเป็นเหตุผลนี้นี่เอง”
จิ่งหนิงเงียบสักพัก
“อันที่จริง ฉันมีคำขอที่ไม่สมเหตุสมผลเรื่องหนึ่ง หวังว่าเจ้านายหยูสามารถตอบตกลงได้”
“คุณเชิญพูดเลย”
“ถึงแม้ฉันจะเป็นลูกสาวของเธอ แต่ตอนนี้เธอจำฉันไม่ได้แล้ว ดังนั้นก็ปฏิเสธการเข้าใกล้สำหรับฉันมากด้วย แต่ฉันยังคงเป็นห่วงเธอมากเช่นเคย เมื่อวานฉันเห็นสภาพของเธอ เหมือนจะต่างกับคนทั่วไป ไม่ว่าทางกายหรือทางใจ ฉันอยากหาหมอมาตรวจให้เธอคนหนึ่ง”
“แน่นอน ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอจำฉันได้เท่านั้น ฉันแค่อยากแน่ใจสุขภาพและความปลอดภัยของเธอ แต่ถ้าให้ฉันไปบอกเรื่องนี้ เธอต้องไม่ยอมรับแน่เลย เพราะฉะนั้นฉันอยากเชิญเจ้านายหยูมาออกหน้าให้หน่อย ก็บอกว่าคือคุณหาเพื่อนที่เป็นคุณหมอในเมืองหลวงเจอ ลองตรวจให้เธอดู ได้ไหม”
เจ้านายหยูตะลึง ต่อมาหัวเราะเอิ๊กอ๊ากขึ้นมา
“คุณหญิงลู่ ผมรู้ว่าคุณมีเจตนาที่ดี แต่จากที่ผมคิดแล้ว คือมันไม่จำเป็นเลย”
จิ่งหนิงขมวดคิ้ว “ยังไงเหรอ”
เจ้านายหยูยิ้มว่า: “คุณน่าจะยังไม่รู้ใช่ไหม คนที่อยู่ข้างคุณแม่ของคุณคนนั้นคือคุณเชวซู่ ความจริงเขาเป็นหมอเทวดาท่านหนึ่ง ตอนนั้นที่ผมถูกเขาช่วยไว้ ก็เพราะผมโดนพิษงูในทะเลทราย คือเขาที่รักษาผมให้หาย ได้ข่าวว่าฝีมือการรักษาโรคของเขาเป็นระดับโลกและเป็นระดับสุดยอด แต่นิสัยของเขาคนนี้แปลกมาก ไม่ชอบมีชื่อเสียง และไม่ถนัดพบปะสังสรรค์ ดังนั้นระดับของชื่อเสียงกลับไม่เท่าพวกหมอที่ใช้วิธีการไม่ชอบเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศเหล่านั้นแล้ว ในเมื่อคุณแม่ของคุณแต่งงานกับเขาแล้ว และยังอยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปีแล้วด้วย ร่างกายคงไม่เป็นไรแล้วแหละ”
จิ่งหนิงรู้สึกอึ้งเล็กน้อย “เขาเป็นหมอเหรอ”
“ใช่สิ ถ้าคุณไม่เชื่อ สามารถหาเพื่อนสนิทที่เป็นหมอไปสืบดูในวงการแพทย์ คนนอกไม่รู้จักชื่อของเขา แต่ภายในวงการแพทย์รู้ดีอย่างมากเลยนะ”
จิ่งหนิงหันหลังสบตากับลู่จิ่งเซิน
ลู่จิ่งเซินเข้าใจความหมาย ควักมือถือออกมา ส่งข้อความออกไปให้กับเอมี่
ไม่นาน ข้อความของเอมี่ก็ตอบกลับมาแล้ว
“อะไรนะ เชวซู่ เขาอยู่ไหน คุณเห็นมอนสเตอร์ตัวนั้นเหรอ OH, MY GOD! ฉันก็อยากเจอเขาเหมือนกัน ฉันยังอยากหาเขาสอบถามปัญหาหลายข้อที่ฉันไม่เคยเข้าใจสักทีก่อนหน้านี้เลย คุณรีบบอกฉันมาว่าเขาอยู่ที่ไหน”
ลู่จิ่งเซินปิดหน้าจอมือถือลงด้วยสีหน้าเฉยชา
เขาหันหลังพยักหน้าให้กับจิ่งหนิง จิ่งหนิงจึงรู้ว่าเจ้านายหยูไม่ได้พูดโกหก
ทีนี้ก็ได้วางใจลงสำหรับเรื่องสุขภาพของโม่ไฉ่เวย
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าเบาบางดังมาจากข้างนอก
ประตูของห้องรับแขกถูกคนผลักออกมา เชวซู่พยุงโม่ไฉ่เวยเดินเข้ามา
“พี่หยู…”
เธอเพิ่งเรียกออกเสียง ก็เห็นอีกสองคนที่นั่งอยู่ในห้อง ตะลึงเล็กน้อย ต่อหน้าสีหน้าก็เปลี่ยนแล้ว
นิ้วมือดึงแขนเสื้อของเชวซู่ไว้แน่นๆ โดยสัญชาตญาณ เชวซู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย กอดเธอเข้ามาในอ้อมแขน มองคนในห้องด้วยสายตาเย็นชา
จิ่งหนิงลุกขึ้นมา
“อุ๊ย พวกคุณมาแล้วเหรอ รีบมานั่งเลย”
เจ้านายหยูรู้สึกตัวได้ก่อน รีบออกมาไกล่เกลี่ยอย่างเฮฮา
โม่ไฉ่เวยกับเชวซู่เข้าไปในห้อง เมื่อเดินผ่านข้างจิ่งหนิง ฝีเท้าชะงักเล็กน้อย ในที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรเลย เดินผ่านเธอนั่งอีกฝั่งแล้ว
“พวกคุณสองคน ทำไมอยู่ๆ ก็นึกถึงจะมาที่นี่เหรอ”
เจ้านายหยูรู้ เนื่องจากร่างกายของโม่ไฉ่เวยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เวลาส่วนใหญ่พวกเขาจะพักผ่อนอยู่ในห้องมากกว่า ปกติจะออกมาตอนใกล้ๆ ตอนเที่ยง
แต่ตอนนี้ยังแปดโมงเช้าอยู่เลย
โม่ไฉ่เวยเม้มปาก เผยรอยยิ้มอันสงบสุขออกมา
“เรามาเพื่ออยากบอกพี่หยูหน่อย ครั้งนี้ที่เรามาเมืองหลวงก็หลายวันแล้ว สิ่งที่อยากเห็นอยากเล่นก็ได้เห็นและเล่นมาหมดแล้ว วันนี้มาเพื่อบอกลา”
เจ้านายหยูอึ้ง หน้าถอดสี
“บอกลา ทำไมกลับไปเร็วขนาดนี้ พวกคุณไม่ชินกับอยู่ที่นี่เหรอ”
โม่ไฉ่เวยรีบส่ายหัว “ไม่ใช่”
เธอมองจิ่งหนิงแวบหนึ่ง สายตามีความรู้สึกผิดเล็กน้อย จากนั้นพยายามยิ้มว่า: “พวกเราก็แค่ยังมีอีกหลายที่ที่อยากไป ไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่นานเกินไป ขอบคุณสำหรับการดูแลของพี่หยูในช่วงนี้ รอวันหลังมีโอกาสพวกเราค่อยมารวมตัวกัน”
เจ้านายหยูเห็นสถานการณ์แล้วขมวดคิ้วเข้ม
ถึงแม้จะไม่อยากให้พวกเขาไป แต่ก็มิอาจรั้งเอาไว้ได้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผมก็พูดอะไรมากไม่ได้ ต่อไปพวกคุณคิดจะไปไหนต่อ”
โม่ไฉ่เวยส่ายหัว “เรายังไม่ได้ตัดสินใจเลย คิดว่าเดินไปด้วยดูไปด้วย ชอบที่ไหนก็อาศัยอยู่ที่นั่นนานหน่อย”
เจ้านายหยูได้ยินก็ยิ้มออกมาแล้ว
“อย่างนี้ก็ดี ยังไงพวกคุณก็ไม่ได้รีบ สามารถเดินดูไปทั่วได้ นานๆ ทีออกมาครั้ง เล่นให้สนุกสำคัญที่สุด”
โม่ไฉ่เวยกับเชวซู่ต่างพยักหน้ากัน
แต่ละคนอยู่ๆ พูดอะไรกับอีกฝั่งไม่ออก จิ่งหนิงเดินขึ้นมา มองเธอด้วยสายตาลึกซึ้ง
“ที่คุณรีบไปอย่างนี้ เพราะฉันหรือเปล่า”
โม่ไฉ่เวยชะงักเบาๆ
เธอไม่กล้าสบตาจิ่งหนิง แววตาไม่นิ่งพูดว่า: “คุณหญิงลู่เข้าใจผิดแล้ว ถึงแม้ฉันจะรู้ว่าเมื่อก่อนเราเคยมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกันมาก แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอดีตไปแล้ว ปัจจุบันฉันเป็นคนใหม่แล้ว และจำคุณไม่ได้ด้วย จะมาหลบคุณได้ยังไงกัน”
จิ่งหนิงกลับไม่เชื่อ
เธอเม้มริมฝีปากไว้แน่นๆ สักพัก พูดกับเจ้านายหยูว่า: “ฉันอยากคุยกับเธอเป็นส่วนตัว”
เจ้านายหยูอึ้ง มองโม่ไฉ่เวย
เชวซู่ขมวดคิ้ว จิ่งหนิงเพิ่มเติมว่า: “ฉันขอคุยไม่กี่ประโยค พูดจบฉันก็ไปแล้ว”
โม่ไฉ่เวยดึงแขนเสื้อของเขาไว้แน่นๆ ผ่านไปสักพัก ในที่สุดก็คลายออกมาแล้ว
“อะซู่ คุณไปอยู่รอฉันข้างนอกดีกว่า ฉันขอคุยกับคุณหญิงลู่หน่อย”
เชวซู่พยักหน้า ทีนี้จึงออกไป
เจ้านายหยูก็ออกไปแล้วแน่นอน ลู่จิ่งเซินกุมมือของจิ่งหนิง ต่อมาก็ออกไปตาม
ประตูของห้องรับแขกถูกปิดลงอย่างไร้เสียง จิ่งหนิงมองผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้า กาลเวลาไม่ได้เหลือร่องรอยต่างๆ อยู่บนหน้าของเธอเลย ยังคงเป็นหน้าตาไม่ยินดียินร้ายกับลาภยศสรรเสริญและสวยงามเหมือนเดิม
ทุก ๆ อาการของเธอ ไม่มีความแตกต่างจากอดีตสักนิดเลย เวลาสิบปีนี้ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงหน้าตาของเธอสักอย่างเลย
แต่ในสายตาของจิ่งหนิงแล้ว กลับคล้อยห่างและแปลกตาขนาดนั้น
เธอจับนิ้วมือไว้แน่นๆ พูดด้วยเสียงต่ำว่า: “หลายปีนี้ คุณสบายดีไหม”
เหมือนโม่ไฉ่เวยจะตื่นเต้นเล็กน้อย เนิ่นนานจึงพยักหน้า “สบายดี”
“คุณกับเขา…รู้จักตั้งแต่เมื่อไหร่”
โม่ไฉ่เวยตะลึง ผ่านไปหลายวินาทีแล้ว จึงรู้สึกตัวว่าเธอหมายถึงเชวซู่
เธอขมวดคิ้ว ส่ายหัว “ฉันก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกัน อย่างไรก็คือเมื่อฉันตื่นขึ้นมาก็เห็นเขาแล้ว”